ดังนั้น จึงมีการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้จนกระทั่งปัญญาความรู้ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น การที่ปัญญาจะเจริญขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ก็ย่อมเป็นไปตามลำดับขั้น ไม่ใช่มีตัวตนที่จะไปทำให้ผลสำเร็จขึ้นได้ อีกทั้งยังต้องมีจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ด้วย กล่าวคือ เป็นผู้ที่ตั้งจิตไว้ชอบ
ถ้าจะศึกษาเหมือนวิชาการทางโลกที่มีการสอบวัดผล มีการมอบใบประกาศนียบัตร-หลัง่ศึกษาจบ หรือแม้กระทั่งการศึกษาธรรม เพื่อที่จะเก่ง เพื่อที่จะรู้มากกว่าบุคคลอื่นเพื่อลาภ ยศ สักการะชื่อเสียง นั้น ไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลสอกุศล เพื่อละความไม่รู้ ครับ ...ขออนุโมทนาครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
00500 เพื่อสำรวมและเพื่อละกิเลส
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ ภิกษุไม่อยู่ประพฤติเพื่อจะหลอกลวงชน ไม่อยู่ประพฤติเพื่อประจบคน ไม่อยู่ประพฤติเพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ สักการะ ความสรรเสริญ ไม่อยู่ประพฤติ ด้วยคิดว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่แท้พรหมจรรย์นี้ ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติเพื่อการสำรวมและเพื่อการละ.
ปฐมนกุหนาสูตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 207
ธรรมเตือนใจวันที่ : 26-06-2551
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ศึกษาธรรมะให้เข้าใจก่อน ปัญญาขั้นการฟังยังดับทุกข์ไม่ได้ ต้องอบรมปัญญาให้รู้จัก ทุกข์ว่า คือสภาพธรรมะทีมีจริงในขณะนั้น เกิดแล้วดับแล้วไม่ใช่เราค่ะ
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ตอบคุณทองหลาง
พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า ทุกข์เกิดขึ้น จิตทำหน้าที่กำหนดรู้ ไม่ใช่ไห้มานั่งทุกข์ สมุทัยเกิดขึ้น จิตทำหน้าที่กำหนดละ ไม่ใช่ไปยินดียินร้ายกับมัน นิโรธก็จะปรากฏกับจิต เพราะเดินตามทางสายกลาง
1. ทุกข์ เป็นสภาวะที่ทนได้ยาก
2. สุข เป็นสภาวะที่ทนได้ง่าย
ฉะนั้นสองข้อนี้จัดเป็นตัวตัณหาใช่หรือไม่? ถ้าตอบว่าใช่ ทำไม่ถึงต่างกัน? ถ้าตอบว่าไม่ใช่ ทำไม่จึงต้องทนเหมือนกัน?
ขออนุโมทนาครับ