ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๖
~ พุทธประสงค์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ก็เพื่อที่จะรู้สภาพธรรมที่มีจริงด้วยพระองค์เอง ทรงมีพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้คนอื่นได้เข้าใจ เป็นคำในภาษามคธ ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนาซึ่งแต่ละภาษาที่ไม่ได้ใช้ภาษานั้น ก็ใช้ภาษาของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงมาจากการตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ด้วยคำต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ในภาษาของแต่ละชนชาติ
~ ธรรมทาน (การให้ธรรม) ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคให้อะไรใครที่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด? พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมทานที่ให้ชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนจากความไม่รู้เป็นความเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงตามกำลังของปัญญาที่มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็ได้ไตร่ตรองธรรม
~ ใครไม่เปลี่ยนบ้างหลังจากที่ได้ฟังพระธรรม มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่กำลังของปัญญา การฟังแต่ละครั้ง ก็เพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกแล้วคนนั้นก็จะรู้ได้ว่า เพราะความเห็นถูกความเข้าใจถูก จึงละคลายความติดข้องที่เคยไม่รู้และเคยติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ลาภ ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเอาอะไรมาเป็นลาภ ก็ไม่มี ใช่ไหม? แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นลาภจริงหรือเปล่า? ได้มาชั่วคราวแล้วสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะเป็นของใคร ไปหาที่ไหนในสากลจักรวาลก็ไม่มีสิ่งนั้นอีกแล้ว เพราะว่า สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วสิ่งนั้นดับไป เหลือแต่ความจำและความติดข้องในสิ่งนั้นที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ลาภอย่างนั้นได้มาเพื่อความไม่รู้และความติดข้องเพิ่มขึ้น แต่ว่าลาภที่ประเสริฐ ก็คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้วก็ได้เข้าใจพระธรรมซึ่งละคลายความไม่รู้และความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่ความติดข้องซึ่งยากแสนยากที่จะละได้ ไม่เกิดอีกเลย หมดสิ้นได้ นี่คือ ลาภอันประเสริฐ
~ เกิดมาในสังสารวัฏฏ์นับประมาณไม่ได้โดยจำนวนว่ากี่แสนโกฏิกัปป์แล้วก็ตาม ก็ยังคงอยู่อย่างนี้ ต้องมีการเกิดการตายวนเวียนไปในภพภูมิต่างๆ ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดลงได้ แต่ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงก็อุปมาเหมือนกับปล่อยสัตว์ออกจากกรง คือ ทุกคนติดอยู่ในกรงของสังสารวัฏฏ์ ใหญ่มาก อรูปพรหมก็ยังเป็นกรง รูปพรหมก็เป็นกรง สวรรค์ชั้นต่างๆ ก็ยังเป็นกรง เพราะฉะนั้น กว่าจะออกจากกรงของสังสารวัฏฏ์ได้ก็อาศัยการได้เข้าใจพระธรรมจากการที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ด้วยเหตุนี้ก็ย้อนกลับมาที่การฟังพระธรรม เห็นไหม? ประโยชน์ของการฟังจริงๆ ก็ต้องเกิดจากการที่เห็นประโยชน์ แล้วก็ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ไม่ฟุ้งซ่าน และก็ไม่มีการพูดคุย ซึ่งขณะใดที่มีการพูดคุย คิดถึงเรื่องอื่น ขณะนั้นไม่ได้ฟังสิ่งที่กำลังได้ยิน เพียงแต่ผ่านหูไปเท่านั้นเอง
~ คุณ คือ ขณะที่เข้าใจ เพราะความเข้าใจ จึงรู้คุณ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณก็เป็นผู้มีคุณที่ได้รู้ได้เข้าใจถูกต้องในคุณ จึงไม่ใช่ผู้เนรคุณ เพราะมีคุณคือความเข้าใจตามที่ได้ฟังถูกต้อง จึงรู้คุณอย่างยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ อะไรที่ว่า "ยาก" ไม่ยากเท่ากับการที่จะสละสิ่งที่สะสมมาที่เป็นความติดข้องทั้งหมดจนกระทั่งสามารถที่จะใสสะอาดขึ้น
~ กุศลแม้เพียงเล็กน้อย มีประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าแต่ละหนึ่งขณะก็ค่อยๆ มากขึ้น ค่อยๆ ละสิ่งที่หนาแน่นเหลือเกิน ยากเหลือเกิน ยิ่งกว่าจักรวาลของความไม่รู้ ให้ค่อยๆ พ้นไปได้ ไม่คำนึงเลยว่าจะกี่แสนกัปป์ในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่รีบร้อนกันไปคิดว่ารู้แล้ว
~ เป็นผู้ตรงต่อทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เปลี่ยนไม่ได้ ทำให้ง่ายไม่ได้ รีบร้อนไม่ได้ ทั้งหมดเพื่อที่จะได้รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้และไม่ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดอย่างยิ่งของทุกอย่างที่กำลังมีในขณะนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย
~ อวิชชาความไม่รู้อยู่ไหน? ไม่ไกลไปจากแต่ละหนึ่งขณะ แล้วแต่ละขณะจะเป็นอะไรได้ จะเป็นคนก็ไม่ได้ จะเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้ เพียงหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งละความไม่รู้ความติดข้องและความคิดว่าธรรมง่ายซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
~ อกุศลทั้งหลายเมื่อวานนี้และวันก่อนๆ และวันนี้ตั้งแต่เช้า จะละคลายไปได้ก็ด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม งานที่สำคัญที่สุดใหญ่ที่สุดคืองานละกิเลส งานอื่นชั่วคราว ใช่ไหม? เดี๋ยวก็เสร็จ ใช่ไหม? ก็ทำได้ แต่ว่า งานที่จะต้องทำทุกชาติ ถ้าสามารถที่จะมีปัญญาที่รู้ว่ากิเลสทั้งหลายที่สะสมมา ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะละอกุศลได้เลยแม้เล็กน้อยก็ละไม่ได้ เพราะว่าเกิดมากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
~ งานที่สำคัญที่สุดในชีวิตทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ งานละกิเลสด้วยความเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น งานอื่นก็ชั่วครั้งชั่วคราวแค่เช้าถึงกลางวันบ่ายถึงเย็น แต่ว่างานนี้ทุกโอกาส และเป็นภาระหนักที่สุดใหญ่ที่สุดยากที่สุดด้วย แต่ถ้าไม่เริ่มทำ ก็ไม่มีทางที่จะทำงานนี้ได้สำเร็จ แต่งานนี้สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อยด้วยการเข้าใจพระธรรม ~ ฟังพระธรรม ต้องเข้าใจจริงๆ ขณะนี้ทุกคนกำลังทำงานเพื่อละกิเลส เป็นงานจริงๆ งานที่ใหญ่ที่สุดด้วย ไม่มีงานอะไรที่จะใหญ่ยิ่งกว่านี้ คือ การที่เห็นโทษของอกุศลแล้วก็ทำงานเพื่อที่จะละอกุศลให้หมดไม่เหลือเลย เพราะว่า พระธรรมก็ทรงแสดงไว้ชัดเจน ทุกข์ทั้งหลายต้องมาจากกิเลสความไม่สะดวกอันตรายทั้งหลายทั้งหมดที่ไม่น่าพอใจ ต้องมาจากอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ขณะใดที่เป็นกุศล ก็มีญาติสนิทมีมิตรสหายที่จะทำให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ เพราะฉะนั้น เวลานี้ทุกคนที่ฟังพระธรรม ต่างคนต่างทำงาน ถูกต้องไหม? เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพื่อที่จะละกิเลส
~ จะเกลียดคนอื่นไหม จะโกรธคนอื่นไหม หรือ จะเมตตาแล้วก็ให้อภัย เพราะขณะนั้นมีปัญญาที่เห็นโทษว่าขณะใดที่โกรธเกลียดคนอื่น ก็คือ สะสมสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งจะตามไปไม่ว่าจะเกิดอีกไม่ใช่คนนี้แล้ว เป็นคนอื่นเป็นคนใหม่ตามกรรม แต่สิ่งที่สะสมมาก็ยังมีอยู่เต็ม แล้วก็ยังจะเพิ่มขึ้นตามความไม่รู้ด้วย
~ ถามนิดเดียว ใครมีขยะ (สิ่งสกปรก สิ่งที่จะต้องทิ้ง) น้อย? ได้ยินคำว่าขยะ น้อยแค่ไหนหรือว่ามากแค่ไหน [ขยะ คือ กิเลส] นี่คือการที่ว่าเพียงได้ยินคำนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจจิตของตนเองด้วยความตรง ว่า ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ความจริง ขณะนั้นก็ต้องเป็นอกุศล แล้วอกุศลมีตั้งแต่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แล้วก็ยังมีต่อไปอีก ติดข้อง แล้วก็ยังมีต่อไปอีก เมื่อไม่ได้สิ่งที่พอใจ ก็โกรธเคือง แล้วยังมีต่อไปอีก โกรธคนนั้น พยาบาทคนนี้ ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดี แล้วอย่างนี้จะไม่เน่าหรือ? สะสมไปเรื่อยๆ ทุกวันมากมาย แล้วกลิ่นจะแค่ไหน แล้วความเน่าจะแค่ไหน ถ้าไม่มีธรรมที่จะเยียวยารักษา ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วย
~ เหตุที่ทำให้เกิดความไม่ดี ก็คือ ความไม่รู้ นี่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าค่อยๆ รู้ขึ้น ความดีก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เราจะประมาทความไม่ดีหรือความไม่รู้ไม่ได้เลยว่ามากแค่ไหน วันทั้งวันไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเป็นพื้นฐานและการสะสมมาที่จะเป็น "ดี" บางกาลก็เกิดได้ เช่น การให้ทานหรือการไม่ประพฤติเบียดเบียนคนอื่น เป็นต้น ก็ตามการสะสมมา แต่ก็ยังมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะดีอย่างไรก็ตาม พอไหม? จะดีขึ้นอีกได้ไหมถ้าไม่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง?
~ ถ้าไม่มีคุณความดี ไม่มีทางแม้แต่ที่จะเข้าใจธรรม เพราะอกุศลเพิ่มขึ้นทุกวัน ใช่ไหม? แล้วก็ถ้าไม่เห็นว่ากุศลแม้เพียงเล็กน้อยถ้าไม่ทำหรือไม่เกิดขึ้น ขณะนั้นเหมือนเดิม อกุศลก็เพิ่มขึ้นแล้ว
~ คุณสูงสุดของพระธรรม คือ ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่มีมาก่อน คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๕
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในความดีของ อ.คำปั่น อักษรวิลัยและยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ใครไม่เปลี่ยนบ้างหลังจากที่ได้ฟังพระธรรม มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่กำลังของปัญญา
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบองค์พระศาสดาด้วยจิตที่บริสุทธิ์
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ธรรมมีมนัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบเท้าบูชาคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ