[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 234
เถรีคาถา ฉักกนิบาต
๕. อโนปมาเถรีคาถา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 234
๕. อโนปมาเถรีคาถา
[๔๕๕] พระอโนปมาเถรี กล่าวคาถาเป็นอุทานว่า
ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสูง ที่มีสิ่งของเครื่องปลื้มใจมาก มีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณสัณฐานและรูป เป็นธิดาของเมฆีเศรษฐี เป็นผู้อันพระราชบุตรปรารถนา อันพวกบุตรเศรษฐีหมายปองกัน อิสรชนมีพระราชกุมารเป็นต้น พากันส่งทูตไปขอต่อบิดาของข้าพเจ้าว่า จงให้อโนปมาแก่เรา อโนปมาธิดาของท่านนั้นมีค่าตัวเท่าใด เราจักให้เงินและทอง เป็น ๘ เท่าของค่าตัวนั้น.
ข้าพเจ้าได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในโลก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ เข้าไปเฝ้า นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 235
พระโคดมพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดข้าพเจ้า ด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ ณอาสนะนั้น ก็บรรลุผลที่ ๓ [อนาคามิผล] ครั้นแล้วก็โกนผมบวชไม่มีเรือน นับตั้งแต่ตัณหาอันข้าพเจ้าทำให้เหือดแห้งแล้ว ถึงวันนี้ ก็นับเป็นราตรีที่ครบ ๗.
จบอโนปมาเถรีคาถา
๕. อรรถกถาอโนปมาเถรีคาถา
คาถาว่า อุจฺเจ กุเล ดังนี้เป็นต้น เป็นคาถาของพระอโนปมาเถรี.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาในภพเหล่านั้นๆ เพิ่มพูนธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องอบรมบ่มวิมุตติ มาโดยลำดับในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีชื่อเมฆีในนครสาเกต นางมีนามว่า อโนปมา ก็เพราะรูปสมบัติ ในเวลานางเติบโตเป็นสาวแล้ว บุตรเศรษฐี มหาอำมาตย์ของพระราชา และพระราชาเป็นอันมาก ได้พากันส่งทูตไปขอต่อบิดาว่า ขอท่านจงให้ธิดาชื่ออโนปมาแก่ตนเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายจักให้สิ่งนี้ๆ แก่ท่าน นางได้ฟังทูตนั้นแล้วคิดว่า เราไม่ต้องการเป็นฆราวาส เพราะถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยจึงไปเฝ้าพระศาสดาฟังธรรม เริ่มวิปัสสนาไปตามกระแสพระธรรมเทศนาเพราะญาณแก่กล้าแล้ว เมื่อขวนขวายวิปัสสนานั้น ได้ตั้งอยู่แล้วในผลที่สาม [อนาคามิผล] ตามลำดับแห่งมรรค. นางทูลขอบรรพชากะพระศาสดาแล้ว เข้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 236
ไปสำนักของนางภิกษุณี โดยพระบัญชาของพระศาสดา บวชในสำนักของภิกษุณีทั้งหลายได้ทำให้แจ้งอรหัตในวันที่ ๗ ได้พิจารณาการปฏิบัติของตนแล้วได้กล่าวคาถาเหล่านั้นเป็นอุทานว่า
ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสูง ที่มีสิ่งของเครื่องปลื้มใจมาก มีทรัพย์มาก สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณสัณฐานและรูป เป็นธิดาของเมฆีเศรษฐี เป็นผู้อันพระราชบุตรปรารถนา พวกบุตรเศรษฐีพากันหมายปอง อิสรชนมีพระราชบุตรเป็นต้น พากันส่งทูตไปขอต่อบิดาของข้าพเจ้าว่า ขอจงให้อโนปมาแก่เรา อโนปมาธิดาของท่านนั้น มีค่าตัวเท่าใด เราจักให้เงินและทองเป็น ๘ เท่าของค่าตัวนั้น ข้าพเจ้านั้นได้พบพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ เข้าไปเฝ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระโคดมพระองค์นั้นได้ทรงแสดงธรรมโปรดข้าพเจ้า ด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่อาสนะนั้น ก็บรรลุผลที่สาม ครั้นแล้ว ได้โกนผมออกบวชไม่มีเรือน นับตั้งแต่ตัณหาอันข้าพเจ้าทำให้เหือดแห้งแล้ว ถึงวันนี้ ก็นับเป็นราตรีที่ครบ ๗.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺเจ กุเล ได้แก่ ในตระกูลแพศย์ซึ่งสูงสุด. บทว่า พหุวิตฺเต ได้แก่ อุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจเป็นอันมากมีเครื่องประดับเป็นต้น. บทว่า มหทฺธเน ประกอบความว่า เราเกิดแล้วในตระกูลมีทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์อยู่มากประมาณ ๔๐ โกฏิซึ่งเก็บไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 237
เป็นต้น. บทว่า วณฺณรูเปน สมฺปนฺนา ความว่า สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณสัณฐานและสมบูรณ์ด้วยรูป คือมีผิวพรรณน่ารัก ประกอบด้วยสมบัติคือฉวีวรรณที่สะอาดเปล่งปลั่ง และสมบัติของส่วนร่างกายมีพัตราภรณ์เป็นต้น.บทว่า ธีตา เมฆิสฺส อตฺรชา ความว่าเป็นธิดาตัวเองของเศรษฐีชื่อเมฆี.
บทว่า ปตฺถิตา ราชปุตฺเตหิ ความว่า พระราชกุมารทั้งหลายปรารถนาว่า พวกเราจะพึงได้ธิดานั้นอย่างไรหนอ. บทว่า เสฏฺิปุตฺเตหิคิชฺฌิตา ได้แก่ แม้เศรษฐีกุมารทั้งหลาย ก็ต้องการคือมุ่งหวังอย่างนั้น.บทว่า เทถ มยฺหํ อโนปมํ ความว่า พระราชบุตรเป็นต้น ได้ส่งทูตมาขอในสำนักบิดาว่า ขอท่านทั้งหลาย จงให้อโนปมาธิดาแก่เราๆ เถิด. บทว่ายตฺต ํ ตุลิตา เอสา ประกอบความว่า อิสรชนมีกุมารเป็นต้นส่งทูตมาหาบิดาของข้าพเจ้าแจ้งว่า อโนปมาธิดาของท่าน ท่านตีราคา คือผู้รู้ลักษณะกำหนดคำว่า มีคุณค่าเป็นทรัพย์เท่าใด เราจักเพิ่มเป็น ๘ เท่าจากทรัพย์นั้น.คำที่เหลือ มีนัยอันกล่าวมาแล้วในหนหลังแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาอโนปมาเถรีคาถา