พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า วัจฉะ ชนเหล่าที่กล่าวว่า พระสมณโคดมตรัสว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ฯลฯ ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ชนเหล่านั้นมิได้กล่าวตามคำที่เรากล่าว อนึ่ง ชนเหล่านั้น ใส่ความเราด้วยเรื่องอันไม่มีไม่เป็นจริง วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน ทำร้ายต่อคน ๓ คน ๓ คนคือใคร คือทำอันตรายต่อบุญของทายก ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก อนึ่ง ตัวของผู้นั้นชื่อว่า ถูกก่น (ขุดรากคือความดี) และถูกประหาร (ตายไปจากความดี) เสียก่อนแล้ว วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน๓ คน ทำร้ายต่อคน ๓ คนนี้
ผู้ใดห้ามคนอื่นให้ทาน ย่อมทำอันตรายต่อคน 3 คน คือ
1. บุญของทายกคือผู้ให้
2. ลาภของปฏิคาหกคือผู้รับ
3. ผู้ห้ามชื่อว่าถูกก่น (ขุดรากคือความดี) และถูกประหาร (ตายไปจากความดี) เสียก่อน
ผลของทานในเนื้อนาบุญอันเลิศ คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นำไปสู่สุคติภูมิได้นับพันโกฏิกัปป์ครับขออนุโมทนาครับ
ไม่ให้ทานก็ไม่ได้เจริญกุศลแล้ว ยังห้ามผู้อื่นให้ทานอีกคงไม่ควรอย่างยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 431
บุคคลผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ตรัสว่า กทริโย (ผู้เห็นแก่ตัว) ภาวะแห่งบุคคล ผู้เห็นแก่ตัวนั้น เรียกว่า กทริย (ความเหนียวแน่น) คำว่าความเหนียวแน่น นี้เป็นชื่อของความตระหนี่กล้าแข็ง เพราะบุคคลผู้ประกอบด้วยความตระหนี่นั้น ย่อมห้ามแม้บุคคลอื่นผู้ให้แก่บุคคลเหล่าอื่น
ข้อนี้สมด้วยพระบาลีที่ตรัสไว้ ในสังยุตตนิกายสคาถวรรคว่า *
บุคคลผู้เหนี่ยวแน่น มีความดำริชั่ว เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ย่อมห้าม คนที่กำลังจะให้โภชนาหารแก่คนทั้งหลายที่ ขออยู่ ดังนี้.
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ทรัพย์สมบัติของคนที่ไม่ให้ทาน เปรียบเหมือนคนตาย เพราะคนที่ตายไปแล้ว ไม่สามารถจะแบ่งทรัพย์นี้ให้กับใครได้ และบุคคลที่ให้ทานไม่ได้ เพราะความประมาทและความตระหนี่ค่ะ