การปฏิบัติเรื่องสติปัฏฐาน เบื้องต้นจะทำอย่างไรดีครับ
โดย chatchai.k  13 พ.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 46955

การปฏิบัติเรื่องสติปัฏฐาน เบื้องต้นจะทำอย่างไรดีครับ

เวลาปฏิบัติ เป็นตัวเราไปเสียทุกที ทางตาก็เราเห็น เห็นเป็นนามอะไรต่ออะไร นึกไป นึกมา แพร่สะพัดไปหมด ไม่เข้านามรูปปริจเฉทญาณอะไรที่ว่านี้ ได้โปรดอธิบายอีกครั้ง

เพื่อจะให้การปฏิบัติแน่วแน่ และไม่กระสับกระส่าย เราจะใช้ควบกับ อานาปานสติ ผมตั้งชื่อพิเศษของผมว่า อานาปานสติปัฏฐานได้ไหมครับ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 13 พ.ย. 2566

บางท่านยังไม่ทราบเรื่องของการเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ท่านฟังมาพอสมควร ขณะที่ฟังก็เข้าใจ แต่เวลาที่สติเกิดบ้างจริงๆ ท่านกล่าวว่าท่านสับสน คือ ยังไม่ใช่ความรู้ชัดจริงๆ ว่า ขณะนั้นเป็นการเจริญอบรม สติปัฏฐานแล้วหรือยัง

เวลาที่จะทำวิปัสสนา จะยุ่งยาก เพราะว่าจะทำ จะทำได้อย่างไร และจะถูกได้อย่างไรถ้ามีตัวตนที่จะทำอย่างนั้น พอเริ่มก็จะทำ หมายความว่า มีความต้องการที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

ทางตา ระลึกเป็นปกติธรรมดาได้ไหม ประการแรกที่สุด ที่ท่านจะเจริญความรู้จนถึงความสมบูรณ์ของปัญญา ที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ต้องมาจากความสามารถที่จะระลึกถึงลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่โดยขั้นการฟัง แต่เวลาที่จะระลึกเพื่อที่จะได้รู้ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน จะต้องสามารถรู้ความต่างกันของรูปธรรมกับนามธรรม คือ ที่กำลังเห็นเป็นสภาพรู้ทางตา สังเกต สำเหนียกรู้ในลักษณะ รู้ว่าลักษณะรู้ ไม่ใช่รูปธรรม ไม่มีสีสัน แต่เห็นสี เพราะฉะนั้น ที่กำลังเห็น คือ กำลังรู้นี้ เป็นแต่เพียงสภาพรู้ชนิดหนึ่ง ซึ่งสภาพรู้ในวันหนึ่งๆ มีหลายลักษณะ ทางตาสภาพรู้ คือ ขณะที่กำลังเห็น ทางหูสภาพรู้ คือ ขณะที่กำลังได้ยิน เป็นนามธาตุชนิดหนึ่ง เป็นสภาพรู้แต่ละทาง และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏแต่ละทางเท่านั้น ไม่ใช่ทำอย่างอื่น พอจะเป็นไปได้ไหมอย่างนี้ ปกติธรรมดา แต่อย่าไปทำ

โดยมากความต้องการผลจะทำให้ท่านหาวิธี ลองผสม ลองใช้อย่างนั้นกับอย่างนี้รวมกัน เผื่อว่าจะมีสัมปชัญญะบริบูรณ์ขึ้น และสติจะได้ไม่หลงลืม จดจ้องอยู่ที่หนึ่งที่ใดได้นาน นี่เป็นลักษณะของความต้องการ อย่างถ้าท่านต้องการให้สติเกิดติดต่อกันนานๆ แต่ทางตาก็ระลึกไม่ได้ ระลึกไม่ถูก ทางหูระลึกไม่ถูก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ปกติธรรมดาระลึกไม่ถูก เพราะฉะนั้น ก็มีความต้องการที่จะให้สติระลึกอยู่ที่หนึ่งที่ใด ก็มีการผสมรวมกันขึ้น เพื่อจะให้สติเกิดที่นั่นมากๆ นี่เป็นเพราะความต้องการ การเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานนั้น รู้แล้วละ แต่ถ้ายังไม่รู้ ไม่ละ และลักษณะที่จดจ้อง เป็นลักษณะที่ละหรือเปล่า

ธัมมานุปัสนา การระลึกลักษณะของสภาพธรรม และธรรมก็กว้างมาก ทุกสิ่งเป็นธรรม แต่ว่าขณะนี้ที่กำลังปรากฏอยู่ ธรรมคืออะไร ทราบแต่ชื่อ แต่ว่าจริงๆ แล้ว การเจริญสติปัฏฐานเพื่อให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของธรรมนั่นเอง ที่กำลังปรากฏอยู่ตามปกติ ไม่ใช่รู้ชื่อของธรรม แต่รู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏอยู่

การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เป็นชื่อ แต่เป็นสติที่รู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน คือ รู้สภาพของธรรมแต่ละชนิด ทางตาก็เป็นธรรม ขณะนี้เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่มีอะไรที่จะพ้นไปจากธรรมเลย เป็นการรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่รู้เพียงชื่อ

เพราะฉะนั้น จะมีประโยชน์ไหมกับการที่จะไปผสมวิธีต่างๆ ขึ้น แต่ว่าไม่ช่วยทำให้ปัญญาสามารถที่จะสำเหนียกรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม ลักษณะที่เป็นรูปธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติได้

และขณะที่กำลังผสมวิธีต่างๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง เกิดความรู้อะไรขึ้น

ถ้าไม่ใช่ความรู้จริงๆ ไม่ใช่การสำเหนียกที่จะรู้สภาพที่เป็นนามธรรมที่เป็นสภาพรู้ และลักษณะที่เป็นรูปธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้จริงๆ ตามปกติ

วิธีผสมอย่างอื่นทั้งหมด ไม่ได้เกื้อกูลให้เกิดการรู้ชัดและการละได้เลย และที่เรียนถามท่านว่าได้อะไร ได้ประโยชน์อะไรบ้าง ท่านบอกว่าได้เห็นไตรลักษณ์

ถ้าไม่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม ไม่รู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมแล้ว ท่านเห็น ไตรลักษณ์ของอะไร ท่านไม่รู้ลักษณะของนามธรรมทางตา ไม่รู้ลักษณะของรูปธรรมทางตา ท่านไม่รู้ลักษณะของนามธรรมทางหู ไม่รู้ลักษณะของรูปธรรมทางหูตามปกติ ตามความเป็นจริง ท่านเห็นไตรลักษณ์ของอะไร เห็นตามหนังสือ ถ้าเห็นจริงๆ ต้องเป็นวิปัสสนาญาณ แต่วิปัสสนาญาณโดยไม่รู้ลักษณะของนามของรูป จะเป็นวิปัสสนาญาณได้ไหม จะเป็นการรู้ไตรลักษณ์ได้ไหม จะเป็นการประจักษ์ไตรลักษณ์ได้ไหม จะกล่าวว่ารู้ไตรลักษณ์ โดยไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไม่ได้

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 273