ถ้าวันที่ ๒๑ เดือน ๑๒ ปี ๒๐๑๒ ไม่ใช่วันโลกแตก ตามกระแสข่าวทั่วโลก แล้วในตำราพุทธ มีบอกใหม อีกกี่ปี โลกถึงจะแตก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ นั้นว่า การที่โลก จักรวาล จะทลายหมดคือ ช่วงเวลาที่หมดอายุของกัปนั้น ซึ่งกัปหนึ่งใช้เวลายาวนานมาก เปรียบดังเช่น การเอาผ้าอย่างดี ร้อยปี เอาผ้าลูบหินแท่งทึบ สูง ๑๖ กิโลเมตร กว้าง ๑๖ กิโลเมตร จนหินแท่งทึบราบเตียนไป แต่กัปนั้นยังไม่หมด ซึ่งกัปนี้ จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติ ๕ พระองค์ตอนนี้องค์ที่ ๔ จะมีองค์ที่ ๕ คือพระศรีอริยเมตไตรย์ ซึ่งกว่าจะถึงช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ จะอุบัติ แผ่นดินจะต้องหนาขึ้นไป ๑๖ กิโลเมตร และจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานมากๆ นับปีไม่ได้ กว่าจะถึงเวลาที่โลกนี้ จักรวาลทั้งหมดจะทำลายสิ้นกัปนี้ไป ไม่ใช่วันที่ ๒๑ หรือ ใกล้ๆ นี้เลย ที่สำคัญ สัตว์โลกไม่ได้รู้จักโลกตามความเป็นจริง แต่สำคัญโลก ว่าคือสถานที่อยู่ของหมู่สัตว์ แต่ในความเป็นจริง โลกที่เป็นสัจจะ หรือโลกในวินัยของพระอริยเจ้า คือ สภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นและดับไปที่เป็น จิต เจตสิก คือ โลกทางตา โลกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ซึ่งไม่รู้เลยว่าเป็นโลกที่กำลังแตกสลายตลอดเวลา และสัตว์โลกก็ยึดถือด้วยความไม่รู้และเห็นผิดว่า มีเรา มีโลก มีสัตว์บุคคล จึงบัญญัติวันสิ้นโลก ตามความไม่รู้ ทั้งๆ ที่โลกกำลังสิ้นไปทุกขณะ ที่สำคัญเมื่อรู้ว่า สัตว์โลกจะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ต้องรอให้ถึงวันสิ้นโลก หรือกัปทำลายก็ต้องเกิดตาย นับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะสะสมความดี ความเข้าใจพระธรรมและปัญญาเพื่อรู้จักโลกตามความเป็นจริง เปิดโลกที่ปกคลุมมืดสนิทจากอวิชชา เปิดโลกด้วยปัญญา ความเห็นถูก ก็จะอยู่กับโลกด้วยความเข้าใจถูกและไม่หวั่นไหวไปกับข่าวเพราะเข้าใจว่า โลกที่ถูกต้องว่าเป็นแต่เพียง จิต เจตสิกที่เกิดดับไม่ใช่เรา และเหตุที่ทำให้ทุกข์จากการเกิด การตาย ความกลัวเรื่องราวต่างๆ นั่นคือ การละกิเลสที่สะสมด้วยปัญญา
ขณะนี้ยังไม่ตาย และโลกกำลังสิ้นไปทุกขณะ ก็ไม่เป็นผู้ประมาทที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วก็อบรมความดี อบรมปัญญา ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่โลกจะทำลาย แต่ทำขณะนี้ให้ดีที่สุดครับ
ขอนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบนอมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นสิ่งที่จะต้องศึกษาพิจารณาโดยละเอียด ตั้งต้นที่ได้ยินคำอะไรก็จะต้องเข้าใจในคำนั้นๆ ให้ชัดเจนด้วย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กล่าวไว้น่าพิจารณาทีเดียวว่า ยังไม่รู้จักโลกแต่ก็กล่าวว่าโลกจะแตกในวันนั้นวันนี้หรือวันไหนๆ ก็เป็นการพูดคำที่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจ ควรที่จะได้พิจารณาว่า เดี๋ยวนี่มีโลกหรือเปล่า เดี๋ยวนี้อยู่ในโลกหรือเปล่า เดี๋ยวนี้เป็นโลกหรือเปล่า
โลกเป็นโลก ไม่เป็นอย่างอื่น หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน สิ่งที่เกิดแล้วดับ นี้แหละคือ โลก ซึ่งถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า โลกแตกอยู่ทุกขณะ เพราะทุกอย่างที่เกิดมีปรากฏ เป็นโลกแต่ละหนึ่ง
แต่ละคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เพราะสัตว์โลกถูกความตายครอบงำไว้ ต้องตายแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง การเป็นคนดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ สำคัญที่สุดครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระไตรปิฎกไม่ได้แสดงไว้ว่าวันที่ ๒๑ เป็นวันสิ้นโลก แต่แสดงไว้ว่าศาสนาหมดสิ้นเมื่อห้าพันปี ซึ่งโลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ ไฟ ลม แต่อีกนานมาก กว่าโลกจะถูกทำลาย ควรสนใจธรรมในขณะนี้ ซึ่งมีสภาพธรรมที่ปรากฏ สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าปัญญาปรากฏ ค่ะ
กระผมเป็นสมาชิกใหม่ เรื่องอภิธรรมเกี่ยวกับจิต-เจตสิก ไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้เรื่องธรรมะแบบง่ายๆ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลงใหลมัวเมาในสิ่งต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามธรรม (ความเป็นจริง ...) ผมมาดูนักอภิธรรมทุกวันนี้ท่านมีความทรงจำเป็นเลิศ สามารถอธิบายธรรมได้โดยละเอียดพิสดาร โดยใช้ภาษาธรรมที่ท่านได้เล่าเรียนมาอธิบาย มีบ้างไหม? ที่ท่านทั้งหลายจะใช้ภาษาไทยแบบง่ายๆ อธิบายให้คนไทยโดยทั่วๆ ไปได้เข้าใจธรรมได้อย่างถ่องแท้ โดยไม่ต้องแปลจากไทย (บาลี) เป็นไทยอีก ผมคิดว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านคงใช้ภาษาแบบง่ายๆ สื่อให้คนทั่วไปให้เข้าใจพระธรรมของท่านแบบง่ายๆ ตามทิฏฐิและสติปัญญาของแต่ละบุคคลที่จะมองเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤต ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนั้นพอฟังแล้วก็เป็นที่เข้าใจ โดยไม่ต้องแปลภาษาให้เป็นอื่น ศาสดาทั้งหลายที่มีมาในโลกนี้ทั้งอดีตและปัจจุบัน ท่านทั้งหลายก็ใช้ภาษาของท่านเผยแผ่ธรรมของท่านแด่มวลมนุษย์ คนไทยผู้รู้ธรรมหรือวิชาการทางโลกท่านจะต้องพยายามให้ผู้อื่นรู้ตามไม่ว่าเขาผู้นั้นจะจบชั้นอะไรมาก็ตาม จะไม่มีภาษาทางศาสนา (บาลี) หรือภาษาทางวิชาการ หรือภาษาอังกฤษมากเกินไป จนบ่งบอกถึงภูมิปัญญาความรู้ของตนเอง (อตฺตา)
เป็นความคิดเห็นส่วนตน ถ้ามีท่านผู้รู้ให้ความกระจ่างกว่านี้ก็จะเป็นการดีครับ?
ข้อ ๑. จริงหรือครับ ที่บอก พุทธศักราชที่ ๕๐๐๐ ศาสนาพุทธจะหมดสิ้น
ข้อ ๒. โลกจะถูกทำลายด้วย ลม ไฟ และน้ำ
เรียน ความเห็นที่ 5 ครับ
ในความเป็นจริง พระอภิธรรม ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่กำลังมี แม้ไม่เรียกชื่อก็มีอยู่ แม้จะไม่ใช้ภาษาบาลี ก็มีธรรมที่เป็นอภิธรรม อย่างเช่น เห็น ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีเลยว่า จักขุวิญญาณ ก็รู้ว่าเห็นมีจริง ได้ยิน เสียง คิดนึก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ล้วนแล้วแต่เป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้น ในสมัยพุทธกาล คนสมัยนั้นใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารทั่วไปในการพูดคุยกันให้เข้าใจ มาสมัยนี้ การจะเข้าใจความจริง ที่เป็นอภิธรรม ก็เข้าใจตามภาษาของตน ก็ใช้ภาษาไทย เพียงแต่ว่าเราใช้คำบาลี เพื่อคงรากศัพท์ไม่ให้เปลี่ยนไปตามความหมายอื่น เพราะฉะนั้น การศึกษาพระอภิธรรมที่ถูกต้อง คือการศึกษา ไม่ใช่การจดจำชื่อภาษาบาลีต่างๆ แต่อาศัยภาษาบาลี และเข้าใจตามภาษาไทยที่เราเข้าใจ เพื่อสื่อให้เข้าใจความจริงที่เป็นอภิธรรมในขณะนี้ คือสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้น ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ประโยชน์คือการรู้จักตัวอภิธรรมจริงๆ เพื่อละกิเลส คือความไม่รู้และความเห็นผิด เป็นสำคัญ ครับ ซึ่งก็สามารถใช้ภาษาที่ตนเข้าใจในภาษานั้นได้ โดยที่ไม่มุ่งไปที่ภาษาบาลีเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนา
เรียน ความเห็นที่ 6 ครับ
ข้อ ๑. จริงหรือครับ ที่บอก พุทธศักราชที่ ๕๐๐๐ ศาสนาพุทธจะหมดสิ้น
- เป็นจริงอย่างนั้นครับ เมื่อครบห้าพันปี ศาสนาพุทธจะอันตรธาน คืออันตรธานจากใจของสัตว์โลก คือในภพภูมิมนุษย์ ไม่มีคนสามารถแม้แต่ทรงจำพระธรรมได้เลย และไม่มีความเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีการบรรลุธรรม อันเป็นธรรมดาของความเสื่อมในพระพุทธศาสนา ครับ
ข้อ ๒. โลกจะถูกทำลายด้วย ลม ไฟ และน้ำ
- ถูกต้องครับ เมื่อถึงคราวที่กัปป์จะทำลาย บางคราวก็ถูกทำลายด้วยไฟ บางคราวก็ถูกทำลายด้วยลม ด้วยน้ำ ครับ
ขออนุโมทนา
พ.ศ. ๕๐๐๐ พุทธศาสนาอันตรธานเฉพาะในภูมิมนุษย์ครับ (แม้คาถา ๔ บาท ก็ไม่มีผู้เข้าใจ) พระโสดาบัน พระอริยบุคคลขั้นต่ำสุดก็ไม่มี (มิต้องกล่าวถึงพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไป) ส่วนในสวรรค์ ๖ ชั้น และในพรหมโลก ยังมีคำสอนอยู่ครับ เพราะพระอริยบุคคลมากมาย
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม ...
พระไตรปิฎก ๙๑ เล่ม
การค้นหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก