ตอนนี้ผมเพิ่งอายุ 21 ปีเท่านั้นเอง เรียนยังไม่จบ แต่หวังตั้งใจไว้ว่าชีวิตนี้ขอเพียรปฏิบัติ ธรรม โชคดีมากสุดๆ แล้วที่ได้โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา แถมยังเป็นเพศ ชาย อวัยวะครบ บวชเรียนได้อีก แต่หากไม่บวช ชีวิตฆราวาสผมหวังไว้ว่าจะปฏิบัติ ธรรมครับ
อยากถามความเห็นพี่ๆ ครับ การมีคู่นำมาซึ่งความสงบเย็น หรือนำมาซึ่งความทุกข์ร้อน กระวนกระวายใจ คือตอนนี้ผมดันไปหลงกิเลส ชอบสาวเข้า สาวเจ้าก็เล่นๆ กับผมเสีย ด้วย ตอนนี้ได้แค่เตือนสติตัวเองว่าเป็นราคะ เป็นตัณหา หาใช่ความรักแท้ไม่ แต่ก็ไม่รู้ว่า จะฝืนไปได้ซักกี่น้ำ กลัวพ่ายกิเลสมันจนมีคู่ขึ้นมาล่ะเป็นเรื่อง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในภาษาไทยคำว่าปฏิบัติ หมายถึง ทำ คนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คิดเอาเองว่า ถ้าไม่ไปทำก็ไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ต้องมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ทีละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นปฏิปัตติได้ คือ ถึงเฉพาะแต่ละลักษณะของสภาพธรรมที่จริงๆ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะต่อไปนี้ นี้ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น พระอรหันตสัม มาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง และทรงมีพระมหากรุณาที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง จึงทรงแสดงพระธรรมประกาศพระศาสนาโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อขัด เกลากิเลส เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม จนกว่าจะสามารถดับกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้อย่างหมดสิ้น
สำหรับการมีคู่ครองนั้น ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะยังไม่สามารถดับความติดข้องยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ ความติดข้อง ความยินดีพอใจ ก็เกิดขึ้นเป็นไป ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ที่ถูกที่ควรแล้ว ถ้าจะมีคู่จริงๆ ก็ควรกระทำให้ถูกต้อง มีการสู่ขอจากผู้ปก ครอง ไม่ควรล่วงศีล เพราะการล่วงศีลเป็นการสร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย มีแต่จะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ความเดือดร้อนโดยส่วนเดียว
ประการสำคัญ ที่ควรจะได้พิจารณา คือ ชีวิตไม่ได้สำคัญอยู่ที่การมีคู่ครองหรือการไม่มีคู่ครอง แต่สำคัญอยู่ที่ได้กระทำตนให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง ชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นไปตามการสะสม ไม่เหมือนกัน และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด สิ่งที่ขาดไม่ไดเลย คือ การสะสมความดีพร้อมทั้งอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพราะกุศลธรรมเท่า นั้น ที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่อย่างอื่น การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล ชีวิตในสังสารวัฏฏ์ยังไม่จบลงเพียงแค่ชาตินี้ ยังต้องมีการเกิดอีกต่อไป เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เกิดมาในภพนี้ชาตินี้ ก็เพียงชั่วคราว ในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีโอกาสที่จะเจริญกุศลได้ทุกอย่าง จึงไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะได้สะสมความดี และ อบรมเจริญปัญญาต่อไป
การอบรมเจริญปัญญา ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศหนึ่งเพศใดโดยเฉพาะ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ก็จะไม่ละเลยโอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ทำให้สงบร่มเย็น และ สิ่งทำให้เดือดร้อนใจ คือ อะไร เกิดที่ไหน เพราะฉะนั้น ก็คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป คือ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ดังนั้น จิต เจตสิกที่ดี คือ กุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้น จิตสงบร่มเย็น เพราะปราศจากอกุศลที่ทำให้เร่าร้อน ส่วนการทุกข์เดือดร้อนใจ คือ ขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ดังนั้น อะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ประการต่างๆ การมีคู่ครอง หรือ การมีกิเลสที่มีในจิตใจ และ ปราศจากปัญญา เพราะต้นเหตุให้เดือดร้อนใจ ทุกข์ใจ ก็คือ โลภะ โทสะ โมหะที่มีในจิตใจ ที่ยังละไม่ได้ เป็นต้นเหตุที่แท้จริง เพราะถ้าไม่มีกิเลส ก็คงไม่ติดข้อง เมื่อได้เห็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นเพศตรงข้ามเลย และแม้จะอยู่คนเดียว ก็ทุกข์เดือดร้อนใจได้ เป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังมีกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ และไม่มีปัญญา
ปัญญา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คิดถูก และ ไม่เดือดร้อน หากปราศจากปัญญาและมีกิเลสที่มีมากแล้ว แม้จะไม่มีคู่ครอง ก็ย่อมทำให้คิดผิด และ เป็นทุกข์เดือดร้อนได้ แต่หากว่า มีคู่ครอง แต่หากมีปัญญาที่เจริญเพิ่มขึ้นจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาย่อมจะคิดถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ แทนที่จะทุกข์มาก ก็ทุกข์น้อยลง เพราะอาศัยการคิดถูกเป็น ปัจจัย เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงทำหน้าที่ละอกุศล เพราะคิดถูกต้องตรงตามความเป็นจริงในขณะนั้น ครับ
การมีคู่ครอง จึงบังคับไม่ได้ จะมี หรือไม่มีก็แล้วแต่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็มีได้ เป็นธรรมดา และสาเหตุแห่งทุกข์ก็มาจากกิเลส ที่สะสมในจิตใจ ไม่ใช่เพียงสิ่งภายนอกที่ยึดถือเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางการดับกิเลส ไม่ใช่เพียงไม่ให้มีคู่ครอง หรือ มีคู่ครอง แต่ทรงแสดงธรรม เพื่อละอกุศลธรรม มีโลภะ เป็นต้น ที่ยิ่งกว่าคู่ครอง สนิทชิดเชื้อมากกว่าการมีคู่ครอง เพราะติดตามจิตใจของบุคคลนั้นไปตลอด
พระองค์ทรงแสดงธรรม เพื่อละโลภะ ความสนิทสนมด้วยกิเลส ด้วยอริยมรรค คือ การเจริญสติปัฏฐาน คือ การรู้ความจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นธรรม ที่นำไปสู่หนทางการดับกิ เลส ซึ่งผู้ที่เจริญตามทางที่พระองค์ทรงแสดงก็บรรลุธรรม ทั้งที่มีคู่ครอง และ ไม่มีคู่ครอง ครับ
อุปสรรคต่อการอบรมปัญญา ไม่ได้อยู่ที่การจะมีคู่ครอง หรือไม่มีคู่ครอง แต่อุปสรรคของการอบรมปัญญาที่แท้จริง คือ กิเลสที่อยู่ในจิตใจ มีเครื่องเนิ่นช้า 3 ประการ ที่เป็น โลภะ มานะ และความเห็นผิด เพราะฉะนั้นหากมีความเข้าใจธรรมที่ผิด แม้จะไม่มีคู่ครอง อุปสรรคก็มีแล้ว คือ อุปสรรค คือ ความเห็นผิด แต่แม้จะมีคู่ครอง หากแต่มีความเห็นถูก ที่ได้จากการฟัง ศึกษาพระธรรม ความเห็นถูกย่อมกำจัดอุปสรรคที่แท้จริง คือ ละอกุศลที่มีในจิตใจได้ ครับ
ในสมัยพุทธกาล จึงมีอริยสาวกผู้ที่บรรลุธรรมในเพศคฤหัสถ์ และ ยังมีคู่ครอง มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เพราะท่านบรรลุธรรม ด้วยสะสมอบรมปัญญามาในอดีตชาติ ฟังพระธรรม บรรลุเป็นพระอริยเจ้า และก็มีคู่ครองเป็นธรรมดา เพราะ ยังเป็นเพศคฤหัสถ์ แต่สำหรับเพศบรรพชิต สตรี หรือ เพศตรงข้ามย่อมเป็นข้าศึก อุปสรรค เพราะเป็นการอบรมปัญญาในเพศที่สละหมดทุกสิ่งแล้ว ครับ
การปฏิบัติธรรม จึงเป็นขณะที่สติและปัญญาเกิดในชีวิตประจำวัน ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น มีคู่ครอง สติและปัญญา ก็เกิดรู้ความจริง เกิดปฏิบัติธรรมได้ หากมีปัญญา ครับ
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่การจะมีคู่ครองหรือไม่มีคู่ครอง แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่จะมีคู่ครองหรือไม่ บังคับไม่ได้ แต่สำคัญที่สุด คือ จะมีคู่ครองหรือไม่มีก็ตาม สมควรที่จะอบรมหนทางการดับกิเลส ด้วยการฟังพระธรรม ตามกาลเวลาอันสมควร เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา อันจะละธรรมที่สนิทยิ่งกว่าคู่ครอง คือ โลภะและกิเลส ที่ติดตามจิตใจไปทุกชาติ มากกว่าคู่ครอง ที่มีเพียงชาตินี้เท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
เคยได้ยินพระหลายๆ ท่านว่าการมีสามี ภรรยา เป็นทุกข์ เป็นห่วง เป็นบ่วงฉุดรัด แบบนั้นพระท่านพูดผิดไหมครับ
เรียน ความเห็นที่ 6 ครับ
สำหรับในส่วนของเพศบรรพชิต เพราะ สตรี หรือ เพศตรงข้ามเป็นข้าศึก กับการ ประพฤติธรรม ของเพศบรรพชิต แต่สำหรับเพศคฤหัสถ์ การมีคู่ครองไม่ได้เป็น เครื่องกั้นในการบรรลุธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอเรียนถามเพิ่มเติมจากอ.เผดิม ในข้อความจากความคิดเห็นที่ 7 ว่าเหตุใดจึงเป็น เช่นนั้น เนื่องจากตามความเข้าใจคิดว่าสภาพธรรมของเพศบรรพชิตและเพศคฤหัสถ์ ไม่น่าจะแตกต่างกัน
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
เพศบรรพชิตเป็นเพศที่สูง เทียบไม่ได้กับคฤหัสถ์ เปรียบเหมือนฟ้ากับดิน เพราะ บรรพชิตต้องถือศีล 227 ข้อ พระภิกษุบวชมาเพื่อสละทุกสิ่ง บุตร ภรรยา ทรัพย์สสบัติ แม้แต่พระพุทธเจ้าที่ ออกบวช ก็ยังสละบุตร ภรรยาและทรัพย์สมบัติ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ควรเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ทำให้สงบร่มเย็น และ สิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจ คือ อะไรเกิดที่ไหน"
"ปัญญา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คิดถูก และ ไม่เดือดร้อน หากปราศจากปัญญาและ มีกิเลสที่มีมากแล้ว แม้จะไม่มีคู่ครอง ก็ย่อมทำให้คิดผิด และ เป็นทุกข์เดือดร้อนได้"
"อุปสรรคต่อการอบรมปํญญา ไม่ได้อยู่ที่การจะมีคู่ครอง หรือ ไม่มีคู่ครอง แต่ อุปสรรคของการอบรมปัญญาที่แท้จริง คือ กิเลสที่อยู่ในจิตใจ มี เครื่องเนิ่นช้า 3 ประการ ที่เป็น โลภะ มานะ และ ความเห็นผิด"
"การอบรมเจริญปัญญา ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศหนึ่งเพศใดโดยเฉพาะ ขึ้นอยู่กับ ว่าผู้นั้นเห็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.คำปั่น อ.ผเดิมและทุกๆ ท่านครับ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
สำหรับสภาพธรรมของเพศบรรพชิต และ เพศคฤหัสถ์ ไม่แตกต่างกัน ตรงที่มี จิต เจตสิก รูป เหมือนกัน แต่ต่างกันโดยเพศ ตามที่อาจารย์วรรณีได้อธิบายมาข้างต้นแล้ว ดังนั้น เพศบรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง ดังเช่น สังข์ขัด คือ สละหมดทุกสิ่ง เพื่อถึงการดับกิเลสเท่านั้น เพราะฉะนั้น เพศบรรพชิต จึงไม่สมควรกับการมีคู่ครอง ครองเรือน เพราะได้สละทุกสิ่ง และ มุ่งตรงต่อการดับกิเลสเท่านั้นครับ ซึ่งบรรพชิต มีสิกขาบท ของพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ดังนั้น ถ้ามีการครองเรือน ทำให้ต้องอาบัติ อาบัตินั้น ย่อมเป็นเครื่องกั้นต่อการบรรลุธรรม แต่การครองเรือนของคฤหัสถ์ ไม่ต้องอาบัติ การครองเรือนของคฤหัสถ์ จึงไม่เป็นเครื่องกั้นของการบรรลุธรรมของ คฤหัสถ์ในชาตินั้น ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าเช่นนั้นการมีคู่ครองไม่เป็นเครื่องปิดกั้นนิพพานใช่ไหมครับ ฆราวาสที่ยัง นอนกอดภรรยา มีลูกมีเมีย จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ไหมครับ
เรียนความเห็นที่ 14 ครับ
ได้ครับ อย่าง สันนติมหาอำมาตย์ ก็มีชีวิต เป็นฆราวาส ปกติ และ เมื่อได้ฟังธรรม ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ครับ
เข้าใจแล้วครับ แต่ถ้าบรรลุอรหันต์เมื่อไหรต้องออกบวชทันทีใช่ไหมครับ จะยังนอนกอดลูกกอดภรรยาได้เช่นเดิมไหม คือกายกอด แต่ใจไม่กอด (ใจเป็นอรหันต์)
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 16 ครับ
ไม่ต้องกล่าวถึงพรอรหันต์ เมื่อเป็นพระอนาคามีแล้ว ย่อมไม่ครองเรือน ไม่เกี่ยวข้องแม้ด้วยกายกับเพศตรงกันข้าม แต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี ผู้เป็นคฤหัสถ์ยังมีการครองเรือนได้ และปุถุชน ผู้ยังครองเรือน ก็สามารถอบรมปัญญาจนถึงความเป็นพระโสดาบันได้ ครับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เครื่องเนิ่นช้า ๓ ประการ คือ โลภะ มานะ และความเห็นผิด
ละความเห็นผิดเป็นอันดับแรก