ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณโป๊ด ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
โดย วันชัย๒๕๐๔  4 ก.ย. 2566
หัวข้อหมายเลข 46522

เมื่อวันศุกร์ที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์ณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ ได้รับเชิญจากคุณโป๊ด (คุณพุทธ ธนาวสุพัชร) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๘๘ เพื่อไปสนทนาธรรมที่ "โป๊ดแฮร์ครีเอชั่น" (PODE HAIR CREATION) ซอยแบริ่ง ๕๘ ถนนสุขุมวิท ๑๐๗ ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๐๐ น.

ข้อความบางตอนจากการสนทนา

คุณโป๊ด  เรื่องของอกุศล เวลาที่ให้ผล ทำอย่างไรที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่มันปรากฏเป็นอกุศล จะทำใจได้อย่างไรที่มันต้องเกิดขึ้น

ท่านอาจารย์  คุณโป๊ดมีปัญญามากที่จะทำใจ? 

คุณโป๊ด  ท่านอาจารย์ครับ ถ้าจะพูดถึงปัญญามาก คงจะไม่มากขนาดนั้น เพราะว่า เวลามีสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เรามีความรู้สึกว่า เรายังไม่เข้าใจ 

ท่านอาจารย์  แล้วจะไปทำใจได้หรือ?

คุณโป๊ด  ทำใจนี่ทำไม่ได้แน่นอน แต่การเข้าใจนี่ ก็ยังมีความรู้สึกว่า ยังไม่พอใจสิ่งที่มันปรากฏอยู่ 

ท่านอาจารย์  เพราะอยากเข้าใจมากๆ ไม่มีวันจบ แล้วก็จะไม่ได้อย่างที่ต้องการ เพราะขณะนั้น ไม่ใช่ความเข้าใจ แต่เป็นความอยากได้ หรืออยากเข้าใจ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง แต่ละคำ ต้องไตร่ตรอง ให้ตรง ถ้าไม่มี "ความตรง" คือสัจจบารมีจะผิดทันที 

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ฟัง ด้วยความเข้าใจตัวเอง สะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่ แล้วจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แสดงว่า ไม่เข้าใจแม้แต่คำว่า"ธรรม"และคำว่า"อนัตตา"แต่ถ้าถาม ทำไมจะไม่รู้จัก "ธรรม" ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ "อนัตตา" ก็คือ บังคับบัญชาไม่ได้!!

แต่พอถึงเวลา มาแล้ว ความไม่รู้ความจริง ขณะนั้นลืม ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วไม่ใช่หรือ? ถ้าเกิดแล้ว จะไปทำอะไรกับสิ่งที่เกิดแล้ว!! และสิ่งที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เกิด!! จะเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สมควร แล้วใครจะไปทำปัจจัยให้สมควรให้เกิดขึ้นได้? เพราะว่ามีปัจจัยแล้วเกิดทันที!! ไม่คอยให้ใครไปทำอะไรได้เลยสักอย่าง!! 

เพราะฉะนั้น การฟังธรรม แต่ละภพ แต่ละชาติ เราอาจจะได้ยินส่วนนั้นส่วนนี้ ในพระไตรปิฎก คำนั้น คำนี้ กว่าจะเข้าถึง ความเข้าใจโดยตลอดปริยัติไม่ใช่ให้เราเพียง ฟังแล้วอยาก ไม่ใช่!! แต่ต้องรู้ว่า แม้"อยาก"คืออะไร? เป็นเราทั้งหมด ทุกชาติ เกิดบนสวรรค์ก็ยังเป็นเรา เป็นพรหมก็เป็นเรา แต่ความจริง ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพอย่างยิ่ง ในความ"ไม่ใช่เรา" 

เพราะฉะนั้น ก็เริ่มมีปัญญาตั้งแต่ต้น จะเอาอย่างไรดี? จะ "เป็นเรา" หรือว่า จะ "ไม่ใช่เรา" เห็นไหม ต้องตรงจริงๆ ทุกคนเป็นเรามานาน และเราก็อยากทุกอย่าง อยากเข้าใจ อยากไม่โกรธ อยากดี อยากมีความเป็นเพื่อน ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย พิสูจน์!! ที่จะต้องมั่นคงขึ้น ก็คือว่า เดี๋ยวนี้ "เห็น" เกิดตลอดเวลา ไม่มีใครทำ!! นั่งอยู่ คิดไป ได้ยินไป ก็ไม่ใช่เห็น แต่ใครห้ามไม่ให้เห็นเกิด ก็ไม่ได้!! 

เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อละความไม่รู้ แล้วก็ ละความยึดมั่น ว่าเป็นเรา หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยเหตุนี้ แค่ได้ยินคำว่า "ธรรม" ไม่พอ ต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นธรรม เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย จริงหรือเปล่า? หาเมื่อวานนี้สิ อยู่ไหน? ทำอะไรมาบ้าง สนุกไหม ตื่นเต้นไหม ดีใจไหม โกรธไหม ไม่เหลือเลย เดี๋ยวนี้ทุกขณะก็เป็นอย่างนั้น กำลังจะเป็นพรุ่งนี้ของวันนี้ ไม่ต่างกันเลย 

เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจอย่างเดียว เพราะว่า ถ้าเข้าใจผิดนิดเดียว ก็ยังคงเป็นเรา ที่หลงเข้าใจผิด ทำสิ่งที่ผิดต่อไป แต่กว่าจะรู้ความจริงได้ ชาติเดียวไม่พอ!! พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ กี่อสงไขย จะรู้ความจริงที่พระองค์ตรัสให้รู้คือเดี๋ยวนี้!! แปลว่า ธรรมลึกซึ้งมาก กำลังมี แต่ไม่รู้ความจริง จึงฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพสูงสุด ไม่มีใครสามารถจะเอาความไม่รู้ ความต้องการ และความเป็นเราที่ต้องการ ให้หมดสิ้นไปได้ ทั้งๆ ที่ หมดแล้วไม่เหลือ ก็ไม่รู้ ก็ยังพยายามผิดอีกต่อไป 

ด้วยเหตุนี้ เป็นผู้ที่รู้จักว่า "เข้าใจ" เท่านั้น ที่จะรู้ความจริง ซึ่งความจริงเดี๋ยวนี้ ทางตา มากมายหลายอย่าง แต่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง และในขณะนี้ก็มีการได้ยินด้วย แล้วก็มีการคิดด้วย แล้วก็มีความสุข ทุกข์ ต่างๆ ด้วย รู้อะไรสักอย่างไหม? แต่อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ก็แสดงว่า ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงระดับที่ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ แล้วเข้าใจทำไม เข้าใจเพื่อจะถึงอย่างที่คุณโป๊ดต้องการเมื่อกี้นี้แหละ ซึ่ง ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะถึงภาวะที่ต้องการนั้นไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น ต้องฟัง ไตร่ตรอง ต้องการอะไร? และเป็นสิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยความต้องการไหม? หรือว่า ยิ่งต้องการก็ยิ่งไม่ได้ ยิ่งไกล ยิ่งไกลออกไป เพราะเหตุว่า ใครบ้าง ที่ต้องการเข้าใจสิ่งกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ มีแต่คิดถึงสิ่งที่ไกลแสนไกลออกไป โน่น อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะได้อย่างนี้ 

แต่ขณะนี้ สิ่งที่ใกล้ชิดที่สุด อยู่ไหน? ไม่มีอะไรใกล้กว่านั้นเลย ตรงนี้ ทั้งหมด!! (ชี้นิ้วที่ตัวท่าน) โลกกี่โลกกี่โลก ดาวอังคาร ดาวอาทิตย์ อะไรๆ ก็ตามแต่ ถ้าไม่คิด "ตรงนี้" จะมีไหม เพราะฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ตรงนี้ ซึ่งใกล้มาก แต่พอตื่นขึ้นมาก็ลืม "ตรงนี้" แล้ว ไปไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้!! 

แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ด้วยการประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่ด้วยการคิด!! อยาก หรือต้องการ อะไรเลย แต่ด้วยการรู้ความจริง ซึ่งประเสริฐที่สุด เพราะอยู่ในโลกที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ตลอดทุกภพชาติ 

เพราะฉะนั้น เข้าใจถูกต้อง ว่า ความรู้ความเข้าใจ มี ๒ อย่าง ถูกกับผิด เพราะฉะนั้น ก็เริ่มไตร่ตรองทุกคำ ที่ฟัง ว่าอะไรถูกอะไรผิด แล้วค่อยๆ ละสิ่งที่ผิด โดยความเข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ละไม่ได้

ก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมา และเป็นเหตุเป็นผล ที่จะต้องมั่นคงว่า "ธรรม" สิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ถ้ายังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็อีกไกลมาก กว่าจะถึงความเข้าใจในระดับต้นที่ว่า "รอบรู้ในปริยัติ" ปริยัติคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ก็แสดงว่าคนที่ไม่ได้ฟังนี่ "ไม่รู้" ระดับไหน แล้วก็ "อยาก" ระดับไหน 

แต่ถ้ารู้จริงๆ อยากอะไร? สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ หมดแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่เหลือเลย แล้วยังอยากหรือ? ไม่เหลือเลยก็คือ ไม่กลับมาอีกเลย สูญ สุญญตา อนัตตา ความหมายเดียวกัน 

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดียิ่งในกุศลของคุณโป๊ด และในกุศลของทุกๆ ท่าน มา ณ ที่นี้


ขอเชิญคลิกชมกระทู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐


และ ขอเชิญติดตามอ่าน E-Book ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ครั้งต่างๆ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๔

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๘

-ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณโป๊ด ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙


ขอเชิญติดตามชมบันทึกการสนทนาธรรมครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 4 ก.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของท่านอาจารย์ธีรพันธ์ ท่านอาจารย์ณภัทร คุณโป๊ดและทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย namarupa  วันที่ 4 ก.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาคุณโป๊ดและคุณบอยเจ้าภาพงาน และอาจารย์วิทยากรทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 4 ก.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 4    โดย narongdej.kamolpirom  วันที่ 5 ก.ย. 2566

ขอกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ และ อ.ธีระพันธ์ และ อ.ณภัทร และขออนุโมทนาสาธุคุณโป๊ดเจ้าภาพงานนี้

ผมได้มีโอกาสรับฟังผ่านคลิปยูทูป ได้ประโยชน์และสาระมากๆ ครับ โดยเฉพาะได้เพิ่มความเข้าใจในเรื่องราวของ "เห็น" ขึ้นอีกเล็กน้อยว่า แตกต่างจากสิ่งที่ถูกเห็น และ "เห็น" ยังไม่เคยปรากฏแก่ผมตามความเป็นจริงเลย มีแต่สิ่งที่ถูกเห็นที่ก็ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงทีละหนึ่ง แต่ปรากฏรวมกันไปเยอะแยะไปหมด

ขอให้ผมได้มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาเรื่อง "เห็น" เช่นนี้ไปทุกภพทุกชาติไม่ว่าจะนานแสนนานเท่าไหร่ จนกว่าความเข้าใจจะมั่นคงเป็นถิรสัญญาว่าไม่มีเรา จนถึงวันที่ได้ยินเพียงว่า "เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟังเมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง" แล้วจะได้มีดวงตาเห็นธรรม ประจักษ์แจ้งความจริงเหมือนเช่นอย่างท่านพาหิยะบ้าง


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 5 ก.ย. 2566

จิรกาลภาวนา

ยินดีในกุศลจิตครับ