คือการสะสมบุญกุศลไปเรื่อยๆ จนอินทรีย์แก่กล้า สามารถบรรลุธรรมได้โดยง่าย เหมือนอย่างพระเจ้าพิมพิสาร เกิดในเทวโลก7ครั้ง ในมนุษย์โลก7ครั้ง ครั้งล่าสุดก็จะได้โสดาบัน สกิทาคามี ก็ไม่เห็นว่าท่านจะเสื่อมลงที่ต่ำอะไรเลย มีความ สุขทิพย์กับภูมิเทวดา และภูมิมนุษย์ แล้วการดำเนินบุญบารมีแบบนี้ ก็ง่ายแก่การบรรลุธรรม ด้วย แต่การพยายามในยุคนี้ยากจริงๆ กิเลสในมนุษย์ช่วงนี้ มีรอบด้าน ทั้งมือถือ IT สิ่ง อำนวยสุขเยอะมาก นอกจากไปอยู่บ้านนอก หรือเข้าป่าไปอยู่แบบพระป่านั่น ถึงจะจัดการ กิเลสไหว
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เข้าใจได้ยากเพราะเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้แต่เรื่องของหนทางในการละกิเลส ดับกิเลส ก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่จะเข้าใจและมีความ เห็ถูกต้องในหนทางดับกิเลสครับ
พระธรรมที่พระพุทะเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงในเรื่อง บารมี 10 อันเป็นหนทางดับกิเลส ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่าบารมีให้ถูกต้องก่อนครับ ว่าคืออะไร บารมี โดยความหมาย คือ ธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง แสดงว่า มีสองฝั่ง ฝั่งนี้ที่เราอยู่ คือ ฝั่ง ของกิเลส หรือ ฝั่งของสภาพธรรมที่เป็น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ฝั่งของสังสารวัฏฏ์ ที่มีการเวียนว่ายตายเกิด แต่มีอีกฝั่งหนึ่ง คือ ฝั่งที่ไม่มีกิเลส ฝั่งที่ไม่มีการเกิดขึ้นของ สภาพธรรมที่ทำให้ทุกข์ ฝั่งที่ไม่การเวียนว่ายตายเกิด และไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพ ธรรมเลย อันเป็นฝั่งที่เกษม คือ พระนิพพาน เป็นอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้น บารมี คือ ธรรมที่ เป็นคุณธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน บารมี จึงเปรียบเหมือนเรือที่พาไปถึงฝั่งได้ แต่ฝั่งตรงข้ามนั้น มหาสมุทร ทะเลกว้างใหญ่ และภัยในมหาสมุทรก็มีมากมาย ทั้งน้ำวน สัตว์ร้าย ลมทะเล พายุ นั่นก็คือ หมู่กิเลสต่างๆ ที่เป็นภัยของการข้ามฝั่ง นั่นเองครับ
บารมี มีความหมายดังนี้ครับ
1.บารมี หมายถึง คุณธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน บารมีย่อมผูกย่อมประกอบ สัตว์ทั้งหลายไว้ในพระนิพพานนั้น. หรือ บารมีย่อมไป ย่อมถึง ย่อมบรรลุถึงพระนิพพาน
2.คุณธรรม 10 ประการ ที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ ชื่อว่า บารมี นั่นคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา 10 ประการนี้ ที่พระองค์ทรงกระทำ ชื่อว่า บารมี
3. บารมี คือ ธรรมที่ขัดเกลาสัตว์อื่นให้หมดจดจากมลทินคือกิเลส
จะเห็นได้ว่า บารมี เป็นคุณธรรมที่ทำให้ถึงการดับกิเลสและพระนิพพาน จึงเป็นเรื่อง ยากยิ่งในการเจริญบารมี เพราะเป็นเรื่องของการทวนกระแสของกิเลส ที่สะสมมามาก และ เป็นเรื่องการเจริญอบรมคุณธรรมอย่างยาวนาน นั่นเองครับ
การจะเป็นบารมีได้นั้น จะต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่มีความเห็นถูก ที่เห็นโทษของ กิเลส เห็นโทษของสังสารวัฏฏ์ จึงมีปัญญาความเห็นถูก ที่จะเจริญกุศลประการต่างๆ อัน เป็นไปเพื่อละกิเลส และถึงการไม่เกิดอีก กุศลที่เจริญนั้น จึงจะเป็นบารมี ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นถูก กุศลที่เจริญ จะเป็นบารมีไม่ได้เลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อถึงฝั่งคือการดับกิเลสครับ ดังนั้น ปัญญา จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นบารมี ครับ เมื่อเข้าใจความหมายและความละเอียดในเรื่องของบารมีแล้วนะครับ ก็กลับมาที่คำถาม ในกระทู้ที่ว่า
ทำไมถึงไม่เลือกทางสร้างบารมี ในการละกิเลส
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง อันเป็นพื้นฐานและสิ่งสำคัญที่สุดในการศึกษาพระ ธรรม คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไมได้ ไม่มีใครเลือก ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน เลือก เพราะไม่มีเรา ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชา ไมได้ ดังนั้น แม้แต่เรื่องของบารมี ที่เป็นคุณธรรมประการต่างๆ ที่ทำให้ถึงฝั่ง ก็เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่มีเรา ไม่มีตัวตนที่จะทำ จะสร้างบารมี สร้างคุณธรรม ประการต่างๆ เพราะอนัตตา บังคับบัญชาไมได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็จะเกิดขึ้นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสะสมปัญญามาน้อย สะสมความดีมาน้อย ก็คิดว่าจะต้องพยายาม สร้างบารมี จะทำคุณธรรมประการต่างๆ แต่ทำไม่ได้เลย เพราะเมื่อสะสมคุณความดีมาน้อย จะทำให้เกิดทันที เป็นไปไม่ได้ จึงไม่มีใครจะสร้าง จะทำให้บารมีประการต่างๆ เกิดขึ้นได้
ที่สำคัญ อาศัยการฟังพระธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ โดยไมได้จะคิดจะสร้างบารมี แต่ ขณะที่เข้าใจพระธรรม ถูกต้องตามควาเมป็นจริงในขณะนั้น เป็นบารมีแล้ว เป็นปัญญาบารมี ที่จะทำให้ถึงฝั่งในการดับกิเลสในอนาคตได้ ขณะนั้นไม่ได้คิดที่จะทำบารมี จะสร้างบารมี เพราะฉะนั้น แทนที่จะสร้างบารมี แต่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ฟัง สิ่งที่ศึกษา ขณะนั้นก็เป็นบารมี แล้ว แม้จะไม่เรียกชื่อเลยก็ตามทีครับ และเมื่อปัญญาเจริญขึ้นจากการฟังพระธรรม ศึกษา พระธรรม ปัญญาก็จะทำหน้าที่เห็นโทษของกิเลส และเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศลมาก ขึ้น โดยเข้าใจว่าเจริญกุศลประการต่างๆ เพราะเห็นโทษของกิเลสและจะดับกิเลสนั่นเอง เมื่อมีการเจริญขึ้นด้วยความเห็นถูกอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล เนกขัมมะ วิริยะ ขันติ สัจจะ...อุเบกขา ขณะที่เจริญกุศลด้วยความเข้าใจถูก กุศลนั้นก็เป็นบารมีประการต่างๆ แล้ว ซึ่งก็เกิดขึ้นเอง เพราะมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น โดยขณะนั้นแม้ไม่คิดจะสร้างบารมี แต่คุณความดีที่เป็นบารมีก็เกิแล้ว ตามกำลังของปัญญาทีเพิ่มขึ้นจากการฟังพระธรรมครับ จึงไม่ต้องทำบารมี หรือ สร้างบารมี แต่อบรมเหตุคือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม กุศล ประการต่างๆ ก็เกิดขึ้นเนื่องด้วยวามเห็นถูก ก็เป็นบารมีแล้วในขณะนั้นครับ
ส่วนคำกล่าวที่ว่า
แต่การพยายามในยุคนี้ยากจริงๆ กิเลสในมนุษย์ช่วงนี้ มีรอบด้าน ทั้งมือถือ IT สิ่งอำนวย สุขเยอะมาก นอกจากไปอยู่บ้านนอก หรือเข้าป่าไปอยู่แบบพระป่านั่น ถึงจะจัดการกิเลส ไหว
กิเลสเกิดขึ้นที่ใจ ไมได้เกิดขึ้นภายนอกเลยครับ ดังนั้นการละ สละกิเลส ก็คือ ขณะที่ กิเลสเกิดขึ้นในขณะนี้ ที่ใจในขณะนี้ ซึ่งกิเลสไม่ได้เลือกสถานที่เกิดว่าจะเป็นในเมือง นอกเมือง ในป่า ที่เงียบสงัด กิเลสไม่ได้เลือกเกิดเลย ตราบใดที่ยังเป็นผู้หนาด้วยกิเลส แล้ว กิเลสก็สามารถเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาตามเหตุปัจจัยของกิเลสที่สะสมมาคัรบ ดังนั้น ในเมื่อไฟไหม้บนศรีษะในขณะนี้ กิเลสกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ จึงไม่ใช่รอไปดับไฟใน สถานที่อื่น แต่ขณะนี้ไฟคือกิเลสกำลังเกิดอยู่ ดับด้วยความเข้าใจ ด้วยปัญญา ด้วยเข้าใจ ความจริงว่า ในขณะนี้มีธรรม เมื่อเข้าใจว่า ปัญญาจะต้องรู้ความจริงที่เป็นธรรม ธรรมเป็นสิ่ง ที่มีจริง ธรรมจึงไม่ใช่จะมีตอนไปอยู่ป่า จะละกิเลสตอนที่อยู่ป่าเลย แต่ธรรมมีแล้วในขณะ นี้ ปัญญาอบรมให้สามารถดับกิเลสได้ ละกิเลสในขณะนั้นได้ ด้วยความเข้าใจถูกว่า กิเลส ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ดังนั้นไม่ว่ายุคสมัยใด ตราบใดทีเป็นปุถุชน กิเลสไม่ลดน้อยลงไปเลย ตามวัตถุ ยุคสมัยที่มีวัตถุน้อย เช่น ไม่มีมือถือ ก็ไม่ได้ทำให้ กิเลสน้อยเลย แต่กิเลส ก็สามารถเกิด ติดข้อง ในสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่มือถือ แต่เป็นสิ่งที่มีใน สมัยนั้นก็ได้ครับ ดังนั้นไม่ว่ายุคสมัยใด กิเลสก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา และไม่ว่ายุคสมัย ใด ตราบใดที่เป็นผุ้อบรมปัญญามา ก็สามารถเข้าใจความจริง ไม่ว่ายุคสมัยไหน เพราะ ปัญญาสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่จำกัดเวลาและสถานที่เช่นเดียวกับกิเลส เช่นกันครับ หนทางที่ถูกคือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญ ขึ้น จนรู้ความจริงในขณะนี้ได้ครับ โดยไม่ต้องไปสถานที่อื่นเลยครับ เพราะสภาพธรรมที่ จัดการ ละกิเลส คือ ปัญญา ไม่ใช่สถานที่ครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ต้องเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อได้ิยินคำอะไร ก็ควรที่จะได้เข้าให้ถูกต้อง ไม่สำคัญว่าได้รู้แล้วในสิ่งที่ยังไม่รู้ แม้แต่ในเรื่องของบารมี กับ กิเลส ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากว่า บารมี คือ คุณความดีทุกอย่างทุกประการ เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส เป็นธรรมที่จะทำให้ถึงซึ่งฝั่งคือการดับกิเลส เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ สภาพจิตที่ดีงามที่ประกอบด้วยโสภณเจตสิกประการต่างๆ นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น ทาน (การสละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น) ศีล (การสำรวมกาย วาจา ให้เป็นปกติ ไม่กระทำทุจริตกรรม) เนกขัมมะ (การออกจากกาม ออกจากอกุศล) ปัญญา (ความเข้าใจถูก เห็นถูก) วิริยะ (ความเพียรในทางที่เป็นกุศล) ขันติ (ความอดทนต่อสภาพธรรมที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา) สัจจะ (ความจริงใจในการเจริญกุศล) อธิษฐานะ (ความตั้งใจมั่น ความมั่นคงในการเจริญกุศล) เมตตา (ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน หวังดีต่อผู้อื่น) อุเบกขา (ความเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศล) ล้วนเป็นความดีที่ควรอบรมเจริญเป็นอย่างยิ่ง และประการที่สำคัญ บารมีทุกบารมีจะขาดปัญญาไม่ได้เลย บารมี สามารถอบรมเจริญได้ในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่มีตัวตนที่ไปทำหรือไปสร้าง แต่เป็นความน้อมไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้น แม้แต่ในขณะที่ฟังพระธรรม ด้วยความอดทน ด้วยความตั้งใจ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ก็เป็นบารมี ที่เป็นไปเพื่อขัดเกลา อวิชชา (ความไม่รู้) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) รวมถึงกิเลสประการอื่นๆ ด้วย เพราะกิเลส เป็นธรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง เป็นเหตุทำให้สัตว์โลกวนเวียนอยู่อยู่ในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น วันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดมาก ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ตาม และในขณะที่อกุศลจิตเกิดนั้น มีกิเลสเกิดขึ้นร่วมด้วยเสมอ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้วันเดียว ในวันก่อนๆ ในชาติก่อน ก็เป็นอย่างนี้ คือ มีอกุศลจิตเกิดมาก สะสมอกุศลมามาก ดังนั้น สิ่งที่จะต้องขัดเกลาซึ่งเป็นอกุศล นี้ จึงมีมากอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อยแล้วจะถึงซึ่งฝั่งของการดับกิเลสได้อย่างไร และการที่จะดับได้นั้นก็ต่อเมื่อปัญญาเจริญขึ้นรู้ความจริง เพราะเมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็จะอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการอื่นๆ เจริญขึ้นตามระดับของปัญญา และปัญญาก็เป็นบารมีประการหนึ่งที่ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นในทันทีทันใด ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการสะสมอบรมเจริญบารมีซึ่งเป็นความดีประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพราะการที่จะดำเนินไปถึงซึ่งฝั่งของการดับกิเลส จะปราศจากปัญญาไม่ได้เลย
พระอริยะทั้งหลาย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอริยสาวกทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ที่ได้สะสมอบรมเจริญบารมีมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น จึงสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ในที่สุด ดังนั้น เมื่อรู้ว่า บารมี คือ ความดีทุกประการ ก็ควรที่จะได้สะสมบารมีในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มจากความเข้าใจถูก เห็นถูก จากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมคำสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดก็ตาม ก็เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ การดับกิเลส พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง, หนทางแห่งการดับกิเลสนั้น มีอยู่แล้ว คือ การอบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การจะดำเนินไปตามทางดังกล่าวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละคนจริงๆ ถ้าดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง โอกาสแห่งการดับกิเลส พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ก็ย่อมจะมีได้ แต่ถ้าเป็นผู้ไม่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม แล้ว การดับกิเลส ไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณมากครับ จะคอยสะสมธรรมและบุญไปเรื่อยๆ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ