ขอเรียนถามท่านอาจารย์นะครับ
1. ปีติเจตสิกและโสมนัสเวทนาเจตสิกนั้นมีความต่างกันอย่างไรครับ
2. สัญญาเจตสิกเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาเจตสิกหรือ
3. มีบุคคลที่ความทรงจำหายไปเพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางร่างกายส่วนสมองทำให้ความรู้สึก ต่างๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะลืมความรู้สึกต่างๆ ไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นและบอกว่ามีความสุขมากเพราะจำอะไรไม่ได้อยากทราบว่าสัญญาเจตสิกนั้นเป็นส่วนทำให้ทุกข์หรือไม่ครับ
4. สุขเวทนาเจตสิก เป็นเหตุให้เกิดโสมนัสเวทนาเจตสิกหรือไม่ครับ
5. ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนประสาทสัมผัสเสียหาย รับความรู้สึกสุขทางผิวกายไม่ได้แต่ยังมีความทรงจำถึงความรู้สึกเก่าๆ ได้ การจำความรู้สึกเก่าๆ ที่สุขกายเป็นโสมนัสเวทนาหรือสุขเวทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1. ปีติเจตสิกและโสมนัสเวทนาเจตสิกนั้นมีความต่างกันอย่างไรครับ
» ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ แม้แต่ในเรื่องของปีติ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นความเอิบอิ่ม ปลาบปลื้มใจ เกิดร่วมกับโสมนัสเวทนา ซึ่งจะเป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้เพราะเหตุว่าปีติ เป็นปกิณณกเจตสิกเกิดได้กับจิตทั้ง ๔ ชาติเลย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจ-จัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นครับ ปีติเจตสิก เป็นเจตสิกที่ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม ร่าเริง จึงเกิดร่วมกับโสมนัสเวทนาเท่านั้น ไม่เกิดร่วมกับเวทนาอื่นๆ เลย
ปีติเจตสิก เกิดร่วมกับจิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ๕๑ ดวง คือ กามโสมนัสจิต ๑๘ ดวง ปฐมฌานจิต ๑๑ ดวง ทุติยฌานจิต ๑๑ ดวง ตติยฌานจิต ๑๑ ดวง จิตที่มีโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วยนั้นมี ๑๑ ดวง คือ จตุตถฌานจิต ๑๑ ดวง ทั้งนี้เพราะจตุตถฌานจิตประณีตกว่าตติย-ฌาน ซึ่งมีปีติเจตสิกเกิดร่วมด้วย
พระธรรมที่เข้าใจก็เกิด ปีติ ได้ในขณะนั้น ซึ่งหนทางที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เป็น ปีติ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ส่วนโสมนัสเวทนา เป็นเวทนาเจตสิก ที่มุ่งหมายถึงความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่ได้หมายถึง ความปลาบปลื้มที่เป็นปิติ ครับ
2. สัญญาเจตสิกเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาเจตสิกหรือไม่ครับ
» สัญญา หมายถึง ความจำ สัญญาเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาได้ โดยปัจจัยหลายๆ ปัจจัย แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเวทนาอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เกิดร่วมกันจึงเกิดขึ้นได้ ครับ
3. มีบุคคลที่ความทรงจำหายไป เพราะได้รับการกระทบกระเทือนทางร่างกายส่วนสมองทำให้ความรู้สึกต่างๆ ไม่เหมือนเดิม เพราะลืมความรู้สึกต่างๆ ไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นและบอกว่ามีความสุขมากเพราะจำอะไรไม่ได้ อยากทราบว่าสัญญาเจตสิกนั้นเป็นส่วนทำให้ทุกข์หรือไม่ ครับ
» รูป ย่อมมีผลต่อการเกิดขึ้นของจิตเช่นกัน และที่ลืมไม่ได้เลย กรรม ที่เป็นอกุศลกรรม เป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้มีความผิดปกติของร่างกาย และเกิดความเป็นบ้า หลงลืมได้ เมื่อรูป คือ มหาภูตรูป ถูกทำลาย และรูปอื่นๆ ผิดปกติ ดังในพระสูตรที่กล่าวถึงงูทั้ง ๔ ตัว คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ว่า หากธาตุไหนมากไป เกิดความผิดปกติ ก็ทำให้ร่างกายผิดปกติไปด้วย งูตัวใด ตัวหนึ่งก็กัด เพราะฉะนั้น เมื่อรูปอื่น ที่บัญญัติว่าเป็นมะเร็งเป็นปัจจัยให้รูปอื่น มีปัญหา ไม่สมดุล มี ธาตุ ๔ ไม่สมดุลกัน การทำลาย ความมีปัญหาของรูป ความผิดปกติของรูปย่อมมีผลต่อการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดโมหะ ความฟุ้งซ่านได้
อย่างคนที่เจ็บปวดทางร่างกาย เพราะความมีปัญหาของรูป ก็เป็นปัจจัยให้เกิดโทสมูลจิตได้บ่อยๆ เพราะการสะสมกิเลสมาส่วนหนึ่ง และเพราะความผิดปกติของรูปก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง สำหรับผู้เป็นปุถุชน ทำให้เกิดกิเลสได้ ครับ
โดยนัยเดียวกัน เมื่อ สมอง คือ รูปธรรมถูกทำลายมากๆ ก็ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุ ๔ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิตสำหรับปุถุชนได้ รวมทั้งเกิดอกุศลได้มากขึ้นนั่นคือ โมหมูลจิตที่เกิดพร้อมกับความฟุ้งซ่านมากขึ้น ก็ทำให้จำไม่ได้ หลงลืมมากขึ้นนั่นเอง ครับ เพราะ ความผิดปกติของรูป เป็นปัจจัย ครับ ซึ่งเวทนาเจตสิกก็เป็นนามธรรม และ รูป ก็มีผลกับนามธรรม จึงมีผลกับเวทนาเจตสิกได้เป็นธรรมดาครับ ซึ่งสัญญาเจตสิก ไม่ได้มีส่วนที่ทำให้ทุกข์เท่านั้น สภาพธรรมอื่นๆ มากมายที่ทำให้เกิดโทมนัสเวทนา หรือ ทุกข์ทางกาย ครับ
4. สุขเวทนาเจตสิก เป็นเหตุให้เกิดโสมนัสเวทนาเจตสิกหรือไม่ครับ
» ไม่เสมอไปครับ สภาพธรรมอื่นๆ ทำให้เกิดโสมนัสเวทนาได้ครับ
5. ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจนประสาทสัมผัสเสียหาย รับความรู้สึกสุขทางผิวกายไม่ได้แต่ยังมีความทรงจำถึงความรู้สึกเก่าๆ ได้ การจำความรู้สึกเก่าๆ ที่สุขกายเป็นโสมนัสเวทนาหรือสุขเวทนาครับ
» นึกถึงเรื่องเก่าแล้วเกิดความสุขใจ เป็นโสมนัสเวทนา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-เมื่อกล่าวถึงธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเท่านั้น ปีติก็มีจริงโสมนัสก็มีจริง แต่เป็นธรรมที่แตกต่างกัน ไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่ว่าเวลาเกิดก็จะเกิดพร้อมกัน ขณะที่สุขใจเป็นโสมนัสก็จะมีความเอิบอิ่มเกิดร่วมด้วย เป็นธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นไปได้ทั้งกุศล และอกุศล ตามความเป็นจริงของธรรมในขณะนั้นที่ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลียนแปลงได้
-เมื่อกล่าวถึงธรรมที่เป็นเจตสิกแต่ละอย่าง ก็จะเกิดร่วมกันกับเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยและเกิดร่วมกับจิตในขณะนั้น สัญญาเป็นเจตสิกประการหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกขณะเวทนาเป็นเจตสิกประการหนึ่งที่เกิดกับจิตทุกขณะเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสัญญากับเวทนาจะเกิดพร้อมกันเสมอแล้วก็ยังเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นๆ เกิดด้วย สัญญาที่เคยจำเรื่องราวในอดีตเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ในอนาคตได้ตามการสะสมของแต่ละบุคคล เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และในขณะนั้นก็จะไม่ปราศจากสัญญาที่ทำกิจจำหมายในอารมณ์เลย
-สัญญาเป็นสภาพที่จำ เกิดกับจิตทุกขณะ กิจของสัญญาคือจำหมายในอารมณ์ แต่ที่บอกว่าจำไม่ได้ ก็เพราะตรึกไม่ได้นั่นเอง ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ แต่ว่ากิจของกิจ ของสัญญาย่อมไม่เปลี่ยน และที่ว่าเป็นสุขอย่างที่กล่าวมานั้นต้องพิจารณาว่า ความรู้สึกที่เป็นสุขใจก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นไปกับโลภะในขณะนั้นก็ได้ แต่ถ้ากล่าวถึงสุขใจที่แท้จริงต้องถึงเรื่องของใจที่ปราศจากกิเลสใจที่ปราศจากอกุศล ซึ่งจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา
-ความรู้สึกที่เป็นสุขนั้นมี ๒ อย่าง คือ ความรู้สึกที่เป็นสุขทางกายอันเป็นผลกุศลกรรมและ ความรู้สึกที่เป็นสุขทางใจอย่างหนึ่ง เวทนาทั้งสองอย่างนั้น ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขต่อไปได้ ที่เป็นไปกับความติดข้องต้องการ หรือ ปัญญาก็สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่าสุขเวทนาเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
-ความจริงของธรรมใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกที่เป็นสุขจะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตามครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ปิติก็เกิดร่วมกับโสมนัสได้ ยินดีปลาบปลื้มที่ได้เข้าใจความจริงจากที่ไม่เคยรู้มาก่อน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ