คนที่ตายตอนที่นอนหลับก็มี แต่อยากทราบว่ามีการตายขณะหลับสนิทหรือมีภวังค์หรือไม่ ถ้ามี แล้วอารมณ์ก่อนจุติจิตเป็นอารมณ์ขณะภวังค์หรือก่อนภวังค์ (ก่อนหลับสนิท) หรือว่าตอนจะจุติ จิตจะตื่นจากภวังค์ชั่วขณะเพื่อรับรู้อารมณ์อื่่นก่อนแล้วจุติ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การดูกิริยาภายนอกว่าเหมือนการนอนหลับ แต่การหลับที่พระองค์ทรงแสดง คือขณะที่เป็นภวังคจิต อันเป็นชาติวิบาก ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ยังไม่สิ้นชีวิตครับ คือในขณะที่หลับสนิท แต่ขณะที่ดูเหมือนหลับสนิท แต่ขณะที่ฝัน ขณะนั้นเป็นวิถีจิต ไม่ได้หลับสนิทครับ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ก่อนจุติ คือ จิตที่ทำหน้าที่เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ สิ้นชีวิตนั่นเอง ก่อนจุติจิตจะเกิดของผู้ยังมีกิเลส จะต้องมีชวนจิตสุดท้าย 5 ขณะเกิดขึ้น นั่นแสดงว่า ขณะที่เป็นชวนจิต ขณะนั้นเป็นวิถีจิตแล้ว ขณะนั้นก็ตื่นแล้ว ซึ่งขณะใดที่มีชวนจิตเกิด ก็ไม่ใช่ขณะที่เป็นภวังคจิต เพราะภวังคจิต เป็นวิถีมุตตจิต คือไม่อาศัยทวารเกิดขึ้น ดังนั้น ขณะที่หลับสนิท เป็นภวังคจิต แล้วจุติจะเกิดต่อทันทีไม่ได้เลย เหตุผลเพราะจะต้องมีชวนสุดท้าย 5 ขณะเกิดขึ้น รู้อารมณ์ก่อนสิ้นชีวิตครับ เพราะฉะนั้น หากหลับสนิิทอยู่ และจุติจิตจะเกิด ก็ต้องตื่นขึ้น ด้วยเป็นวิถีจิตสุดท้าย ที่เป็นชวนจิต 5 ขณะที่เรียกว่า มรณาสันนวิถี และ จุติจิตจึงเกิดต่อ สิ้นชีวิตในขณะนั้นครับ ดังนั้นหลับสนิทแล้วสิ้นชีวิตทันทีไม่ได้ครับ ต้องมีชวนจิตเกิดขึ้นก่อนสิ้นชีวิตครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความตาย ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิตขณะสุดท้ายในภพนี้ชาตินี้เกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ซึ่งจะต้องกล่าวถึงขณะจิตสุดท้ายเท่านั้น ที่เรียกว่า ตาย (สมมติมรณะ) สิ้นสุดจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก และตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อ จุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น คือ ปฏิสนธิจิต เกิดเป็นบุคคลในภพใหม่ทันที ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์จะไม่ตายในขณะที่เป็นชวนะ ไม่ได้ตายในขณะที่หลับสนิท (ซึ่งเป็นภวังคจิต) แต่ก่อนตายต้องมีวิถีจิตเกิดขึ้น มีชวนจิตเกิด ๕ ขณะอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นจิตที่มีกำลังอ่อนมากแล้ว ก่อนที่จุติจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก และประการที่สำคัญ จุติจิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ไม่สามารถบังคับบัญชาหรือยับยั้งได้เลย ชีวิตของแต่ละบุคคล ก็เหลือน้อยเต็มทีแล้วด้วยกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด เพราะสัตว์โลกทั้งปวง เป็นผู้ถูกความตายครอบงำไว้ ดังข้อความใน[เล่มที่ 63] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๕ (เตมิยชาดก) ที่ว่า
"เมื่อด้ายที่เขากำลังทอ ช่างหูกทอไปได้เท่าใด ส่วนที่จะต้องทอก็ยังเหลืออยู่น้อยเท่านั้น แม้ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่ง ย่อมไม่ไหลไปสู่ที่สูง ฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่กลับมาสู่ความเป็นเด็กอีก ฉันนั้น แม่น้ำซึ่งเต็มฝั่ง ย่อมพัดพาเอาต้นไม้ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไป ฉันใด สัตว์ทั้งปวงย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไป ฉันนั้น" ความจริง เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่มีใครพ้นจากความตายไปได้เลย ถูกความตายครอบงำไว้จริงๆ หนีไปทางไหนก็ไม่สามารถพ้นไปได้ ไม่มีใครจะหนีความตายได้ เพราะเหตุว่าสัตว์โลกทั้งหลายเมื่อเกิดมาแล้วก็จะต้องตาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด ไม่ว่าจะอยู่ถึงสวรรค์ชั้นใดก็ตาม ความตายก็ครอบงำไว้ เพราะความจริง คือ สัตว์โลกทั้งหมดที่เกิดมาแล้วจะต้องตาย หนีความตายไม่พ้นเลย
ดังนั้น ไม่ว่าจะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมจากส่วนใดก็ตาม ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง และเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต เพราะเหตุว่า ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องตาย แต่ก่อนที่จะตาย ซึ่งก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นวันใด เวลาใด นั้น ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระให้กับชีวิตให้มากที่สุด ประโยชน์หรือสาระที่ว่านั้น ได้แก่ ความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง อันเกิดจากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะต้องสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป จนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ไม่ต้องมีการเกิด ไม่ต้องมีการตายอีกเลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ก่อนตายชวนจิตเหลือ 5 ขณะ เกิดได้ 6 ทวาร ทั้งทางปัญจทวารและมโนทวาร ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น เห็นจีวร นึกถึงกุศลกรรมที่เคยทำไว้ ก็ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ หรือ เห็นเครื่องมือ ธนู ปืน มีด ก็นึกถึงอกุศลกรรมที่เคยทำไว้ เช่นกัน ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิค่ะ
ขอบพระคุณมากครับ และอนุโมทนาในกุศลและเมตตาธรรมทุกท่านที่อธิบายให้กระจ่างครับ
ขออธิบายเพิ่มเติมจากท่านอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องจุติและปฏิสนธิจิตดังนี้....
จุติจิตไม่จำเป็นต้องเกิดต่อจากมรณาสันนวิถีทันที บางประเภทเกิดต่อจากภวังค์ และบางประเภทเกิดต่อจากตทารัมมณะ ตามข้อความที่ปรากฏในคัมภีร์วิภังค์ค่ะ....
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้า 194
คำว่าในฐานะนี้ หมายถึงมรณาสันนวิถี (วิถีใกล้ความตาย)
ประเภทใดประเภทหนึ่งใน ๔ อย่าง เหล่านี้คือ
ประเภทที่ ๑ จิตเสพชวนะ ๕ ครั้ง มีตทารัมมณะ ๒ ครั้ง แล้วจุติ
ประเภทที่ ๒ จิตเสพชวนะ ๕ ครั้ง แล้วจุติ
ประเภทที่ ๓ จิตเสพชวนะ ๕ ครั้ง มีตทารัมมณะ ๒ ครั้ง แล้วมีภวังค์....แล้วจุติ
ประเภทที่ ๔ จิตเสพชวนะ ๕ ครั้ง มีภวังค์.....แล้วจุติ
รายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ที่กระทู้นี้ค่ะ
อารมณ์ของจุติจิต
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอเรียนถามว่า ถ้าเป็นจุติจิตที่ทำให้เกิดเป็นวิปากในอเหตุกจิตนำไปปฏิสนธินั้น เป็นเพราะเหตุใดค่ะ และวิปากในอเหตุกจิตจะนำไปเกิดเป็นอะไรได้บ้างค่ะ
ขอความกรุณาอธิบายให้ทราบด้วยค่ะ
เรียนความเห็นที่ 8 ครับ
เมื่อจุติดับไป เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิเกิดต่อสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส ปฏิสนธินั้น เป็นอเหตุกปฏิสนธิจิต ซึ่งปฏิสนธิจิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ที่เป็นอเหตุกปฏิสนธิ มี 2 ประเภทคือ
1.อเหตุกกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ กุศลวิบาก) เป็นผลของกุศลกรรมญาณวิปปยุตต์อย่างอ่อน (กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา) ซึ่งทำให้เกิดปฏิสนธิประเภทนี้เพราะเกิดจากมหากุศลจิตญาณวิปปยุตต์ให้ผลครับ
2.อกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก) เป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งทำให้เกิดปฏิสนธิประเภทนี้เพราะเกิดจากอกุศลจิต ๑๑ ดวง เว้นโมหอุทธัจจสัมปยุตต์ ไม่ให้ผลในปฏิสนธิกาล
อเหตุกกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ กุศลวิบาก) ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ที่บ้า ใบ้ บอด หนวก แต่กำเนิดและเทวดาขั้นต่ำ
อกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก) ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิครับ มีสัตว์นรก เป็นต้น
กราบขอบพระคุณค่ะ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านค่ะ
เมื่อปฏิิสนธิเพราะ อุเบกขาสันตี 2 ภวังคจิตที่รักษาภพสืบต่อก็จะเป็นอุเบกขาสันตี 2 พอจุติกิจเกิดขึ้นอีกตอนตายจะเป็นอารมณ์เดียวกันอีกหรือเปล่าค่ะ อย่างนั้นถ้าเกิดเป็นสุนัขก็จะเป็นสุนัขอีกต่อไปใช่หรือไม่ค่ะ ขอความกรุณาอธิบายให้เข้าใจด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ปฏิสนธิในชาตินี้ ภวังคจิตในชาตินี้และจุติในชาตินี้มีอารมณ์เดียวกันครับ แต่ขณะที่จุติจิตเกิด ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แต่มีอารมณ์เดียวกับ ปฏิสนธิจิตและภวังคจิตครับ
ถ้าปฏิสนธิจิตเกิดเป็นสุนัข ภวังคจิต ทำกิจดำรงภพชาติความเป็นสุนัข แต่เมื่อจุติจิตเกิดไม่ได้ทำกิจดำรงความเป็นสุนัข แต่ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นสุนัขครับ ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณค่ะ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านค่ะ
อกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก) เป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งทำให้เกิดปฏิสนธิประเภทนี้เพราะเกิดจากอกุศลจิต ๑๑ ดวง เว้นโมหอุทธัจจสัมปยุตต์ ไม่ให้ผลในปฏิสนธิกาล
...................................................................................................................
จาก คห. 9 ทำไมโมหอุทธัจจสัมปยุตต์ ถึงไม่ให้ผลในปฏิสนธิกาล อุทธัจจะสัมฯ เป็นความฟุ้งซ่าน รับอารมณ์ไม่มั่นคง ที่เกิดภายในตัวเรา ทำไมไม่ให้ผลในปฏิสนธิกาลค่ะ
ขอความกรุณาอธิบายด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
เรียนความเห็นที่ 13 ครับ
โมหอุทธัจจสัมปยุตต์ ไม่ให้ผลเกิดปฏิสนธิในปฏิสนธิกาล ข้อความได้อธิบายว่า เพราะ มีการไม่ปฏิสนธิเป็นสภาพคือ เป็นธรรมที่เป็นอย่างนั้นที่จะไม่ให้ผลปฏิสนธิ ซึ่ง รายละเอียด ยากทีเดียว ก็อธิบายเพิ่มเติมครับว่า ธรรมบางอย่างละได้ด้วยทัสสนะ คือโสดาบัตติมรรค ธรรมบางอย่างละได้ภาวนา คือ มรรคที่สูงขึ้นๆ ไป มีอรหัตตมรรค เป็นต้น ดังนั้น โมหะที่ประกอบด้วยวิจิกิจฉา แม้จะมีกำลังน้อยกว่า โมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน แต่ก็ให้ผลนำเกิด ปฏิสนธิได้ เพราะว่าธรรมนั้นละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค คือ วิจิกิจฉานั่นเอง คือพระโสดาบันละได้แล้ว ดังนั้นโมหะที่ประกอบด้วยวิจิกิจฉา จึงนำปฏิสนธิได้ เพราะเป็นธรรมที่ละได้ทัสสนะคือโสดาปัตติมรรคนั่นเอง
ส่วนโมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน ไม่นำฏิสนธิ เพราะเป็นธรรมที่ละได้ด้วยภาวนาคือสูงกว่าโสดาบัน เพราะถ้าโมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านให้ผลนำปฏิสนธิได้ พระโสดาบันท่านยังมี อกุศลประเภทนี้ อกุศลก็ต้องไม่ให้ไปสุคติ ดังนั้น ถ้านำปฏิสนธิได้ และพระโสดาบันก็ยังมีโมหะที่ประกอบกับความฟุ้งซ่าน ท่านก็ต้องไปอบายได้ หากอกุศลประเภทนี้นำปฏิสนธิได้ครับ แต่พระโสดาบันจะไปอบายไม่ได้ครับ เพราะฉะนั้น โมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน จึงไม่นำปฏิสนธิตามสภาพ ตามเหตุผลที่กล่าวมาครับ ซึ่งหาอ่านได้ที่ อภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา หน้า 232 ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อาจารย์ค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูง พอเข้าใจได้บ้างนิดหน่อยค่ะ
อุทธัจจะ เป็น อนุสัยกิเลส อย่างนั้นใช่มั้ยค่ะ
เรียนความเห็นที่ 15 ครับ
ไม่ใช่อนุสัยกิเลสครับ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เป็นอนุสัยกิเลส จึงทำให้โมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านทำกิจปฏิสนธิไม่ได้ครับ เพราะวิจิกิจฉาก็เป็นอนุสัยกิเลสที่เกิดร่วมกับโมหมูลจิตแต่ก็ทำกิจปฏิสนธิได้ครับ แต่เหตุผลที่ โมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านทำกิจปฏิสนธิไม่ได้ เพราะถ้าทำกิจปฏิสนธิได้ ซึ่งถ้าเป็นอกุศล มีโมหะก็จะต้องไปอบาย บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านยังมีโมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าโมหะที่เกิดกับความฟุ้งซ่าน นำปฏิสนธิได้ พระโสดาบันก็ต้องไปอบายภูมิ เพราะท่านมีโมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านอยู่ครับ แต่ความจริงพระโสดาบันท่านไม่ไปอบายภูมิแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลประการหนึ่ง จึงทำให้โมหะที่ประกอบด้วยความฟุ้งซ่านไม่ทำกิจปฏิสนธิครับ และตัวสภาพธรรมเองไม่ทำกิจปฏิสนธิด้วย ตามเหตุผลที่กล่าวมาครับ
อกุศลวิบากปฏิสนธิ (อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก) เป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งทำให้เกิดปฏิสนธิประเภทนี้เพราะ เกิดจากอกุศลจิต ๑๑ ดวง เว้นโมหอุทธัจจสัมปยุตต์ ไม่ให้ผลในปฏิสนธิกาล
.................................................................................................................
กราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์ค่ะ
เพราะพระโสดาบันท่านยังมีโมหะประกอบด้วยความฟุ้งซ่านอยู่และเพราะตัวสภาพธรรมเองไม่ทำกิจปฏิสนธิด้วย