[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 750
๖. การันทิยชาดก
ว่าด้วยการทำที่เหลือวิสัย
[๗๒๗] ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกเอาก้อนหินใหญ่ กลิ้งลงไปในซอกเขาในป่า ดูก่อนการันทิยะ จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยการทิ้ง ก้อนหินลงในซอกเขานี้เล่าหนอ.
[๗๒๘] ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมีมหาสมุทรสี่เป็น ขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอกเขา.
[๗๒๙] ดูก่อนการันทิยะ เราสำคัญว่า มนุษย์ คนเดียว ย่อมไม่สามารถจะทำแผ่นดินให้ราบ เรียบดังฝ่ามือได้ ท่านพยายามจะทำซอกเขา นี้ให้เต็มขึ้น ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสีย เปล่าเป็นแน่. [๗๓๐] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่ามนุษย์ คนเดียว ไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้ ราบเรียบได้ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้ ผู้มีทิฏฐิต่างๆ กันมาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๗๓๑] ดูก่อนการันทิยะ. ท่านได้บอกความจริง โดยย่อแก่เรา ข้อนี้เป็นอย่างนั้น แผ่นดินนี้ มนุษย์ไม่สามารถจะทำให้ราบเรียบได้ ฉันใด เราก็ไม่อาจจะทำให้มนุษย์ทั้งหลาย มาอยู่ใน อำนาจของเราได้ ฉันนั้น.
จบ การันทิยชาดกที่ ๖
อรรถกถาการันทิยชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอโกอรญฺเ ดังนี้. ได้ยินว่า พระเถระให้ศีลแก่คนทุศีลทั้งหลาย มีพรานเนื้อและคนจับปลาเป็นต้น ที่ผ่านๆ มา ซึ่งท่านได้พบได้เห็นเท่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถือศีล ท่านทั้งหลายจงถือศีล. ชนเหล่านั้น มีความเคารพในพระเถระ ไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของพระเถระนั้น จึงพากันรับศีลก็แหละครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา คงกระทำการงานของตนๆ อยู่อย่างเดิมพระเถระเรียกสัทธิวิหาริกทั้งหลายของตนมาแล้วกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลายคนเหล่านี้รับศีลในสำนักของเรา ก็แหละครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา.สัทธิวิหาริกทั้งหลายกล่าวว่าท่านขอรับ ท่านให้ศีลโดยความไม่พอใจ
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 752
ของชนเหล่านั้น พวกเขาไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของท่านจึงรับเอา ตั้งแต่นี้ไป ขอท่านอย่าได้ให้ศีลแก่ชนทั้งหลายเห็นปานนี้. พระเถระไม่พอใจต่อถ้อยคำของสัทธิวิหาริก. ภิกษุทั้งหลายได้สดับเรื่องราวนั้นแล้วก็สนทนากันขึ้นในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าพระสารีบุตรให้ศีลแก่คนที่ท่านได้ประสบพบเห็นเท่านั้น. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นแม้ในกาลก่อน พระสารีบุตรนี้ก็ให้ศีลแก่คนที่ตนได้ประสบพบเห็นซึ่งไม่ขอศีลเลย แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้. ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว ได้เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลา ชื่อว่าการันทิยะ. ครั้งนั้น อาจารย์นั้นให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็นมีชาวประมงเป็นต้นผู้ไม่ขอศีลเลยว่า ท่านทั้งหลายจงรับศีล ท่านทั้งหลายจงรับศีล ดังนี้. ชนเหล่านั้นแม้รับเอาแล้วก็ไม่รักษา. อาจารย์จึงบอกความนั้นแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิกทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่าท่านผู้เจริญ ท่านให้ศีลโดยความไม่ชอบใจของชนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงพากันทำลายเสีย จำเดิมแต่บัดนี้ไป ท่านพึงให้เฉพาะแก่คนที่ขอเท่านั้น อย่าให้แก่คนที่ไม่ขอ. อาจารย์นั้นได้เป็น ผู้วิปฏิสารเดือดร้อนใจ. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ยังคงให้ศีลแก่พวกคนที่ตนได้ประสบพบเห็นอยู่นั่นแหละ. อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายมาจากบ้านแห่งหนึ่ง เชิญอาจารย์ไปเพื่อการสวดของพราหมณ์.อาจารย์นั้นเรียกการันทิยมาณพมาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ฉันจะไม่ไป เธอจงพามาณพ ๕๐๐ นี้ไปในที่สวดนั้น รับการสวดแล้ว จงนำเอาส่วนที่เขาให้เรามา ดังนี้ แล้วจึงส่งไป. การันทิยมาณพนั้นไป
.... (ต่อ)
แล้วกลับมา ในระหว่างทาง เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งจึงคิดว่า อาจารย์ของพวกเราให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็น ซึ่งไม่ขอศีลเลย จำเดิมแต่บัดนี้ไป เราจะทำอาจารย์นั้นได้ให้ศีลเฉพาะแก่พวกคนที่ขอเท่านั้นเมื่อพวกมาณพนั้นกำลังนั่งสบายอยู่ เขาจึงลุกขึ้นไปยกศิลาก้อนใหญ่โยนลงไปในซอกเขา โยนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ ลำดับนั้นมาณพเหล่านั้นจึงลุกขึ้นพูดกะการันทิยมาณพนั้นว่า อาจารย์ ท่านทำอะไร. การันทิยมาณพนั้นไม่กล่าวคำอะไรๆ มาณพเหล่านั้นจึงรีบไปบอกอาจารย์. อาจารย์มาแล้ว เมื่อจะเจรจากับการันทิยมาณพนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกก้อนหินใหญ่ กลิ้งลงไปในซอกเขาในป่า ดูก่อนการันทิยะ จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยการทิ้งก้อน หินลงในซอกเขาเล่านี้หนอ. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า โกนุ ตวยิธตฺโถ ความว่า ประโยชน์อะไรหนอ ด้วยการที่ท่านทิ้งศิลาลงในซอกเขานี้. การันทิยมาณพนั้น ได้ฟังคำของอาจารย์นั้นแล้ว ประสงค์จะท้วงอาจารย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ ซึ่งมีมหาสมุทรสี่ เป็นขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอก เขา. ...... (ต่อ)
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อห หิม ความว่า ก็ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ ให้ราบเรียบ.
บทว่า สาครเสวิตนฺต ได้แก่ อันสาครทะเลใหญ่บรรจบแล้วมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นที่สุด.
บทว่า ยถาปิ ปาณิ ความว่า เราจักกระทำให้ราบเสมอดังฝ่ามือ
บทว่า วิกีริย แปลว่า เกลี่ยแล้ว.
บทว่า สานูนิ จ ปพฺพตานิ ได้แก่ ภูเขาดินและภูเขาหิน. พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- ดูก่อนการันทิยะ เราสำคัญว่า มนุษย์ คนเดียว ย่อมไม่สามารถจะทำแผ่นดินให้ราบ เรียบดังฝ่ามือได้ ท่านพยายามจะทำซอกเขา นี้ให้เต็มขึ้น ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสีย เปล่าเป็นแน่. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กรณายเมยเมโก นี้ ท่านแสดงว่า คนผู้เดียวไม่อาจกระทำได้ คือ ไม่สามารถจะกระทำได้.
บทว่า มญฺามิมญฺเว ทรึ ชิคึส ความว่า เราย่อมสำคัญว่า แผ่นดินจงยกไว้ก่อนเถิด ซอกเขานี้เท่านั้น ท่านพยายามเพื่อต้องการจะทำให้เต็มขึ้น เที่ยวแสวงหาหินทั้งหลายมา คิดค้นหาอุบายอยู่นั่นแล. จะละคือจักละชีวโลกนี้ไป อธิบายว่า จักตายเสียเปล่า. มาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :- ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่ามนุษย์คน เดียว ไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้ราบ เรียบได้ ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้ผู้มี ทิฏฐิต่างๆ กันมาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
คำที่เป็นคาถานั้นมีความว่า ถ้ามนุษย์คนเดียวนี้ ไม่อาจ คือไม่สามารถทำแผ่นดิน คือ ปฐพีใหญ่นี้ให้ราบเรียบ ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์ทุศีลผู้มีทิฏฐิต่างกันมาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน คือท่านกล่าวกะมนุษย์เหล่านั้นว่า พวกท่านจงรับศีล จักนำมาสู่อำนาจของตนไม่ได้ฉันนั้น ด้วยว่าคนที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น ย่อมติเตียนปาณาติบาตว่าเป็นอกุศล ส่วนคนพาลไม่เชื่อสังสาระ เป็นผู้มีความสำคัญในข้อนั้นว่าเป็นกุศล ท่านจักนำคนเหล่านั้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ท่านอย่าให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็น จงให้แก่คนที่ขอเท่านั้น.
... (ต่อ)
อาจารย์ได้ฟังดังนั้นคิดว่า การันทิยะพูดถูกต้อง บัดนี้ เราจักไม่กระทำอย่างนั้น ครั้นรู้ว่าตนผิดแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :- ดูก่อนการันทิยะ ท่านได้บอกความ จริงโดยย่อแก่เรา ข้อนี้เป็นอย่างนั้นจริง แผ่นดินนั้น มนุษย์ไม่สามารถจะทำให้ราบ เรียบได้ ฉันใด เราก็ไม่อาจทำมนุษย์ทั้งหลาย ให้มาอยู่ในอำนาจของเราได้ ฉันนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สมาย ตัดเป็น สมา อย อาจารย์ได้ทำความชมเชยมาณพอย่างนี้. ฝ่ายมาณพนั้นท้วงอาจารย์นั้นแล้ว ตนเองก็นำท่านไปยังเรือน พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร ส่วนการันทิยบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาการันทิยชาดกที่ ๖
กราบอนุโมทนาค่ะ
อานิสงค์การฟังธรรมคือได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้เป็นการเจริญปัญญาเป็นเหตุให้พ้นความติดข้องต้องการที่เป็นความเห็นผิด กราบนอบน้อมต่อพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า กราบขอบพระคุณท่านที่ถามและตอบ...พระสูตรนี้เพิ่งได้ทราบ เจริญปัญญาจริงๆ ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น