ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ได้_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันศุกร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔
โดย khampan.a  11 มิ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 34397

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ได้"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันศุกร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔


[ดอกบัวบานที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ๑๐ มิ.ย. ๒๕๖๔]


~ ถ้าไม่เคยได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะไม่รู้ว่าไม่รู้อะไรด้วย
~ เริ่มเห็นความจริง ว่า ความไม่รู้ มีมาก ไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่รู้ว่าไม่รู้ จนกว่าจะเริ่มรู้ความลึกซึ้งของคำที่ได้ฟัง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ให้เข้าใจความจริงซึ่งกำลังมีในขณะนี้
~ ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่าความไม่รู้ มากและลึกขนาดไหน
~ แปลความหมายของคำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะไม่รู้ว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร แม้ว่ามีจริงๆ เดี๋ยวนี้
~ คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะตอบไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงๆ คืออะไร
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ยิน ฟังไว้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ได้ฟัง
~ จำได้ว่าสภาพรู้กำลังรู้ทางตา คือ เห็น แต่สภาพรู้จริงๆ ไม่ได้ปรากฏว่านี่เป็นสภาพรู้เท่านั้น
~ ทั้งวัน ทุกคนตอบได้ว่ามีสภาพรู้ ขณะเห็น กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ ขณะได้ยิน กำลังรู้เสียง ทุกคนตอบได้ แต่ถามว่ารู้จักเห็นจริงๆ ที่กำลังเห็นหรือเปล่า รู้จักได้ยินจริงๆ ที่กำลังได้ยินหรือเปล่า
~ สภาพรู้ เป็นอะไรไม่ได้ นอกจากเกิดขึ้นแล้วรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ตลอดเวลา
~ คนที่ฟังธรรม เห็นความลึกซึ้งของธรรม เพราะแม้ว่ากำลังพูดเรื่องทุกอย่างของธรรม ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้จักธรรมแต่ละหนึ่งที่พูด
~ ฟังธรรม เพื่อเข้าใจยิ่งขึ้น ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จะทำให้เริ่มเข้าใจสิ่งที่มี ตามที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย จนสิ่งนั้นปรากฏให้รู้ได้
~ ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ ไม่ใช่ต้องไปจำว่าอวิชชา (ความไม่รู้) แต่เดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น อวิชชา คือ การไม่รู้ความจริง เดี๋ยวนี้ มีอวิชชา เมื่อกี้นี้ มีอวิชชาไหม?
~ อวิชชา มี ตั้งแต่เกิด ก่อนเกิด มีอวิชชาไหม? เพราะว่า การเกิด เป็นผล โดยปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น) เพราะฉะนั้น มีอวิชชา นานแสนนานมาแล้ว ใช่ไหม?
~ ทุกวันทุกชาติเหมือนวันนี้ซึ่งมีอวิชชาและมีอย่างอื่นๆ ทั้งหมดทั้งวัน เพราะมีอวิชชาด้วย ใช่ไหม?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นปกติความเป็นไปของธรรมตั้งแต่ก่อนเกิด ชาติก่อนๆ ที่แล้วมา ก็มีอวิชชา แล้วก็มีความเป็นไปในทุกวันเหมือนชาตินี้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นไปในอดีตที่ทำให้เกิดปัจจุบัน และปัจจุบันที่มีอวิชชา ก็จะทำให้เกิดอนาคต
~ ปฏิจจสมุปบาท แสดงความเป็นไปตั้งแต่ในอดีต ทำให้เกิดปัจจุบัน และเหตุการณ์ในปัจจุบันด้วย ก็จะทำให้เกิดอนาคต เช่นเดียวกันกับอดีตทำให้เกิดปัจจุบัน
~ อวิชชาในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารในอดีต เพราะฉะนั้น สังขารที่นี่ ที่ทำให้เกิดวิญญาณ หมายถึงเฉพาะเจตนาเจตสิกที่กระทำกรรมเท่านั้น อวิชชาในอดีต ทำให้เกิดการกระทำในอดีต ซึ่งมีเจตนาเป็นสังขาร ที่จะทำให้เกิดวิญญาณคือปฏิสนธิในชาตินี้ เพราะฉะนั้น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ กล่าวคือ อดีตอวิชชา อดีตสังขารคือกรรม ทำให้เกิดปฏิสนธิจิต
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงขณะนี้ ว่า อะไรมี จึงทำให้สิ่งใดมี
~ การศึกษาธรรม ต้องละเอียดที่จะเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะเข้าใจความเป็นธรรมแต่ละหนึ่งละเอียดขึ้น
~ ถ้าไม่เข้าใจความละเอียด ไม่มีอะไรที่จะเอาความไม่รู้ออกไปได้เลย เพราะไม่รู้
~ อวิชชา ไม่ได้มีเฉพาะเดี๋ยวนี้ แต่มีอวิชชาก่อนๆ นี้ด้วย อวิชชาก่อนๆ ในชาติก่อนๆ ทำให้เกิดการกระทำ แต่สำหรับสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายเฉพาะเจตนาเจตสิกที่ทำกรรมหนึ่งๆ เท่านั้น
~ ที่เข้าใจว่าเป็นแต่ละคน ก็เป็นธรรม เป็นจิตแต่ละหนึ่งที่สะสมมาตั้งแต่อดีตที่ทำกรรมและสะสมทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งทำให้เป็นบุคคลต่างๆ หลากหลายในแต่ละวันและในแต่ละหนึ่งขณะ

~ ธรรมทุกอย่างที่เกิด ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะปรุงแต่งให้เกิด ไม่ได้ ต้องมีปัจจัยที่อาศัยกัน ทำให้เกิดขึ้น จึงเป็นสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป)
~ ธรรมทั้งหมด เป็นจริงแต่ละหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้ แต่ความหลากหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยนัยต่างๆ แต่ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่โดยภาวะ (ความเป็น) ที่ต่างกัน

~ ทุกคำ ต้องเข้าใจจริงๆ ได้ยินคำว่า ขันธ์ ไม่ใช่ไม่มี แต่มี เป็นอะไรบ้าง? เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ เปลี่ยนความหมายของขันธ์ ไม่ได้เลย
~ นิพพาน เป็นธรรม แต่นิพพานไม่ใช่สังขารธรรม นิพพานไม่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น จึงเป็นวิสังขารธรรม
~ สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ แต่ต้องใช้ชื่อ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่มีลักษณะจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ มี ๔ อย่าง (จิต เจตสิก รูป และนิพพาน) ชื่อว่า ปรมัตถธรรม
~ เดี๋ยวนี้มีธรรมมากมายหลายอย่าง เพียงแค่ปรากฏและหมดไป ลึกซึ้ง จึงเป็นอภิธรรม
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่สามารถจะรู้ได้เอง ค่อยๆ เป็นความเข้าใจถูก จนกว่าจะรู้จักธรรมแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้จริงๆ ว่า เป็นธรรม

~ ถ้าเริ่มรู้จักตัวธรรม โดยการฟัง เข้าใจทีเล็กทีละน้อย ก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ที่ยึดมั่นหนาแน่นมั่งคงมากในสิ่งที่มีเพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม
~ ๒๕๐๐ กว่าปี มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่คนในครั้งนั้นทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ความเข้าใจของคนในสมัยนั้น ได้สืบต่อมาจนถึงคนในสมัยนี้ ที่สามารถจะระลึกได้ว่าทุกคำเป็นสิ่งที่มีจริง การตรัสรู้มีจริง การแสดงธรรม มีจริง คนที่สามารถเข้าใจความจริงมีจริงๆ ได้
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำจริง ซึ่งมีทุกขณะ ไม่ต้องเลือกเลย ไม่ต้องคอยเลย เดี๋ยวนี้ก็มี ที่จะรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ เกิดดับจริงๆ ไม่เหลือจริงๆ ไม่มีเรา ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นธาตุ (ธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) อายตนะ (ธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละหนึ่ง) ปฏิจจสมุปบาท (ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น) ก็เพื่อให้เข้าใจความจริงว่าไม่มีเราเลย มีแต่ธรรมที่เกิดจึงมี แล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
~ ฟังธรรมทั้งหมด เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของแต่ละคำ ไม่ใช่รีบไปจำมากๆ เสียเวลามากๆ แล้วก็ลืม จะมีประโยชน์อะไร
~ ความเข้าใจเริ่มต้นได้ทุกขณะ เมื่อไม่ลืมว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ และความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งก็ปรากฏ แต่เพราะไม่รู้ นั่นคือ อวิชชา ก็ทำให้มีการปรุงแต่งเป็นเรื่องราวสิ่งนั้นสิ่งนี้จนกระทั่งกระทำกรรมซึ่งเป็นอภิสังขาร (สภาพธรรมที่ปรุงแต่งอย่างยิ่ง คือ เจตนา ที่เป็นบุญบ้าง บาปบ้าง ปรุงแต่งให้มีการเกิดต่อไป)

~ ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ได้ ไม่ว่าสมัยโน้นเป็นคนขอทานโรคเรื้อน เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นเศรษฐี เป็นชาวนาชาวไร่ที่ข้าวเสียหาย ทุกคนมีการสะสมมาที่จะได้ฟัง เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้ที่เริ่มเข้าใจและเข้าใจขึ้น ก็เผื่อแผ่แสดงความจริงนี้ให้คนอื่นได้รู้ต่อๆ ไป จะได้เหมือนครั้งหนึ่งในครั้งพุทธกาลที่ยังมีผู้ที่ได้ฟังพระธรรม




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 11 มิ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 2    โดย Centella  วันที่ 11 มิ.ย. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยเศียรเกล้า


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 11 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย swanjariya  วันที่ 11 มิ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Selaruck  วันที่ 12 มิ.ย. 2564

กราบขอบคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย kukeart  วันที่ 14 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ