ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้า 21
ปาโปปิ ปสฺสติ ภทฺรํ ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
คนผู้ทำบาป ย่อมเห็น บาปว่าดี ตลอดกาล ที่บาปยังไม่ให้ผล
ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ.
แต่ เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว
ข้อความในอรรถกถา
บุคคลผู้ประกอบบาปกรรมมีทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ ชื่อว่าคนผู้บาป ... บาปกรรม ของเขานั้น ยังไม่ให้ผลในปัจจุบันภพหรือสัมปรายภพเพียงใด. (ผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี เพียงนั้น) . แต่เมื่อใดบาปกรรมของเขานั้นให้ผลในปัจจุบันภพหรือในสัมปรายภพ, เมื่อนั้น ผู้ทำบาปนั้น เมื่อเสวยกรรมกรณ์ต่างๆ ในปัจจุบันภพ และทุกข์ในอบายในสัมปรายภพอยู่ ย่อมเห็นบาปว่าชั่วถ่ายเดียว.
กระผมมีคำถามดังต่อไปนี้ครับ
1. เราทราบกรณีที่เป็นทิฏฐธรรม หมายถึง ธรรมที่เห็นผลในปัจจุบัน จากกรณีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เช่น อดีตก่อนบวชของพระโสไรยยะเถระที่การทำผิดทางใจต่อท่านพระมหากัจจายนะจนเพศเปลี่ยน นันทมานพที่กระทำผิดทางกายต่อพระอุบลวรรณาเถรีจนถูกแผ่นดิบสูบ เทวดาที่อยู่ในบ้านต่อไม่ได้เพราะสรรเสริญการไม่ให้กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น อย่างโจรที่ถูกตำรวจจับที่เป็นข่าวแต่ละวัน อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นผลของกรรมชาตินี้หรือไม่ อันนี้ก็ไม่ทราบได้เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้พยากรณ์บุคคลนั้นไว้
แต่ผลของกรรมที่กำลังปรากฏนี้ เช่น เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทราบได้เลยว่าเป็นผลของกรรมในชาตินี้หรือไม่ แล้วจะทราบได้อย่างไร เพราะผู้นั้นก็ไม่ได้รู้เหตุปัจจัยตามความเป็นจริง หรือว่าจะต้องเป็นผู้ที่อบรมภาวนาจนกระทั่งแทงตลอดในปัจจยปริคหญาณถึงจะทราบได้ ว่ากรรมใดเป็นเหตุให้มีการเห็นในขณะนี้
2. และถ้าผู้นั้นไม่ได้มีปัญญาระดับที่จะทราบชาติที่แล้วได้ ไม่ทราบว่าผู้ที่ได้ปัจจยปริคหญาณ จะทราบได้หรือไม่ว่าเห็นขณะนี้เป็นผลของกรรมชาติที่แล้ว
ขอกราบอนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กระผมมีคำถามดังต่อไปนี้ครับ
1. เราทราบกรณีที่เป็นทิฏฐธรรม หมายถึง ธรรมที่เห็นผลในปัจจุบัน จากกรณีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เช่น อดีตก่อนบวชของพระโสไรยยะเถระที่การทำผิดทางใจต่อท่านพระมหากัจจายนะจนเพศเปลี่ยน นันทมานพที่กระทำผิดทางกายต่อพระอุบลวรรณาเถรีจนถูกแผ่นดิบสูบ เทวดาที่อยู่ในบ้านต่อไม่ได้เพราะสรรเสริญการไม่ให้กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นต้น อย่างโจรที่ถูกตำรวจจับที่เป็นข่าวแต่ละวัน อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นผลของกรรมชาตินี้หรือไม่ อันนี้ก็ไม่ทราบได้เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้พยากรณ์บุคคลนั้นไว้
แต่ผลของกรรมที่กำลังปรากฏนี้ เช่น เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทราบได้เลยว่าเป็นผลของกรรมในชาตินี้หรือไม่ แล้วจะทราบได้อย่างไร เพราะผู้นั้นก็ไม่ได้รู้เหตุปัจจัยตามความเป็นจริง หรือว่าจะต้องเป็นผู้ที่อบรมภาวนาจนกระทั่งแทงตลอดในปัจจยปริคหญาณถึงจะทราบได้ ว่ากรรมใดเป็นเหตุให้มีการเห็นในขณะนี้
เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นสภาพที่ปกปิดด้วย เพราะเมื่อมีการได้รับผลของกรรม ก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเป็นผลของกรรมอะไร ในชาติไหน และ กรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทราบได้อีกว่า จะให้ผลเมื่อใด เพียงแต่สามารถที่จะพิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลได้ว่า เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าน่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ ก็ต้องมาจากเหตุที่ไม่ดีคืออกุศลกรรม ในทางตรงกันข้ามเมื่อได้รับสิ่งที่ดี น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ก็ต้องมาจากเหตุที่ดีคือกุศลกรรม แม้แต่ตัวอย่างของโจรผู้ร้ายที่ถูกจับ ก็ไม่สามารถจะทราบได้ว่ามาจากอกุศลกรรมในชาตินี้ที่เขาทำ หรือว่า มาจากอกุศลกรรมในชาติก่อนๆ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ประกอบอกุศลกรรมอยู่เนืองๆ ก็ย่อมจะเอื้ออำนวยให้อกุศลกรรมที่เคยทำแล้ว ให้ผลได้เป็นอย่างมาก จึงเป็นเครื่องเตือนที่ดีว่า ไม่ควรทำอกุศลกรรมโดยประการทั้งปวง
สำหรับการเห็น แน่นอนเป็นผลของกรรม เกิดจากเหตุปัจจัย เพราะการเห็นเกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง กล่าวคือ มีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย มีสีที่กำลังปรากฏ มีตาซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น และ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกับจิตเห็น แต่ก็ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าเห็นขณะนี้ มาจากกรรมอะไร ในชาติไหน ครับ
2. และถ้าผู้นั้นไม่ได้มีปัญญาระดับที่จะทราบชาติที่แล้วได้ ไม่ทราบว่าผู้ที่ได้ปัจจยปริคหญาณ จะทราบได้หรือไม่ว่าเห็นขณะนี้เป็นผลของกรรมชาติที่แล้ว
ผู้ได้วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ (ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความเป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม กล่าวคือ รู้ชัดว่านามธรรม รูปธรรม แต่ละอย่าง มีปัจจัยเป็นเหตุให้เกิด) ก็ไม่ได้รู้ถึงกรรมในอดีตได้ว่า กรรมอะไร ในชาติไหนที่ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้นในขณะนี้ แต่รู้ว่าเห็นเกิดได้ เพราะกรรม เป็นปัจจัย เพราะในขณะที่ปัจจยปริคคหญาณเกิด ก็ประจักษ์แจ้งรู้ชัดตรงตามความเป็นจริง ในการเกิดขึ้นของสภาพธรรม ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ในขณะที่สภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ยินดีในกุศลจิตครับ
กราบอนุโมทนาครับ
เรื่องกรรมเป็นเรื่องปกปิด และยากจะทราบได้ โดยเฉพาะนานักขนิกกรรมปัจจัยที่ปกปิดและลึกซึ้งอย่างยิ่ง
แต่ก็ยังมีปัญญาประเภทหนึ่งที่มีเจตนาในอดีตเป็นอารมณ์เช่นกัน ข้อความในวิสุทธิมรรคบางส่วน แสดงไว้ว่า ยถากัมมูปคญาณ ซึ่งพระโยควจร จะต้องได้ทิพยจักษุก่อน จึงเป็นบาทให้ญาณประเภทนี้เกิดได้ และญาณนี้จะมีเจตนาในอดีตทั้งภายใน และภายนอกเป็นอารมณ์ได้
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 215 แสดงว่า
ภิกษุในพระศาสนานี้ ขยายอาโลกกสิณ ไปเบื้องล่างมุ่งหน้าสู่นรก ... ภิกษุนั้นทำในใจอย่างนี้ต่อไปว่า "สัตว์เหล่านั้นทำกรรมอะไรเล่าหนอ จึงเสวยทุกข์นั้น" ลำดับนั้น ญานอันมีกรรมนั้นเป็นอารมณ์ จึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นว่า "สัตว์เหล่านั้น ทำกรรมชื่อนี้ ... " (มุ่งหน้าสู่สวรรค์ก็นัยเดียวกัน)
ส่วนตัวกระผมเข้าใจว่า ผู้ที่ได้อภิญญา ๕ โดยมียถากัมมูปคญาณเป็นบริวาร จะเข้าใจความจริงของกรรมยิ่งกว่าผู้ที่ไม่บรรลุสมถภาวนา และน่าจะเป็นการรู้กรรมที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนั้นๆ เช่น กรรมที่ทำให้เราเกิดในชาตินี้ หรือกรรมที่ทำให้ผู้อื่นเกิดในชาตินี้ เป็นต้น ไม่ได้กล่าวถึงระดับที่ทำให้เกิดจิตเห็นในขณะนี้
ข้อความจาก วิสุทธิมรรค ภาค ๓ ตอน ๒ หน้าที่ 33 แสดงว่า
"ความแตกต่างแห่งกรรม และความแตกต่างแห่งวิบากแห่งกรรม ๑๒ อย่าง (กรรมที่ให้ผลตามคราว ๔ กรรมที่ให้ผลตามลำดับ ๔ กรรมที่ให้ผลตามกิจ ๔) ดังกล่าวนี้ย่อมปรากฏโดยสภาพอย่างถ่องแท้แก่กรรมวิบากญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ไม่สาธารณะกับพระสาวกทั้งหลาย ทั้งความแตกต่างแห่งกรรม และความแตกต่างแห่งวิบาก วิปัสสกภิกษุ (ผู้ที่รู้แจ้งโดยการบำเพ็ญวิปัสสนาเท่านั้น) จะพึงรู้ได้โดยเอกเทศ"
ซึ่งก็หมายถึง ผู้ที่ได้ปัจจยปริคหญาณโดยไม่ได้อบรมเจริญฌานมาเลย ก็รู้ได้เฉพาะบางส่วนตามกำลังปัญญาผู้นั้น ผิดถูกประการใดก็กรุณาชี้แนะด้วย
กราบอนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและกราบยินดีในกุศลจิต อ.คำปั่น และคุณวิทวัต ด้วยค่ะ