ศีลของพระอริยเจ้า เป็นไปได้ไหมครับว่าถึงแม้ว่าจะ "ไม่มีการผิด" แต่ว่าสามารถ "มัวหมอง" หรือ "ด่างพล้อย" ได้ตามการปฏิบัติตนของท่านเหล่านั้น
สงสัยประมาณว่าความสะอาด งดงาม บริสุทธิ์ของศีลในพระอริยะเจ้าชั้นต้นอย่าง โสดาบัน จำเป็นไหมครับที่จะเท่าเทียมกัน? หรือว่า "ไม่ผิดศีล" สำหรับพระอริยเจ้าชั้นต้น แต่ว่า "ความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง"งดงาม ในศีล ในธรรมอาจจะแตกต่างกัน
ขอยกตัวอย่างสมมติขึ้นมานะครับ สมมติว่ามีพระอริยบุคคลในยุคปัจจุบันที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเมือง ยังข้องแวะอยู่กับการ ทำงานหาเลี้ยงชีพทางโลก เกี่ยวข้องกับผู้คนพอสมควร รวมถึงมีครอบครัวที่ต้องดูแล สมมติว่ามีลูกหรือไม่มีลูกก็ได้ ศีลข้อ ๔ ซึ่งสมัยก่อนที่จะบรรลุมรรคผลอาจจะมีผิด / ขาดหรือว่าบกพร่องไปบ้าง แต่ว่าหลังจากบรรลุมรรคผลศีลก็เข้มแข็งขึ้นตามเหตุแห่ง คุณธรรม แต่เป็นไปได้ไหมครับว่า การทำงานหรือว่าอาชีพบางอย่างของโสดาบันที่ ใช้ชีวิตเมืองของท่านนี้ ศีลของท่านอาจมัวหมอง เช่น ไม่พูดโกหก แต่ก็พูดความจริงไม่หมดแค่บางมุม เนื่องด้วยความจำเป็นของงาน ต้องรักษาผลประโยชน์ของนายจ้าง / และหรือผลประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัว บริวาร เป็นที่ตั้งก่อน ในขณะที่ผลประโยชน์จากการไม่รู้ความจริงอย่างครบถ้วนรอบด้านของ สาธารณชนอาจได้รับผลกระทบ (หรือจะพูดอีกมุมหนึ่งก็คือ ไม่ผิดศีล ถูกธรรมในแง่ มีความรับผิดชอบต่อนายจ้าง แต่ว่า ยังคงเบียดเบียนสังคมส่วนรวมอยู่) หรือว่าเมื่อมีเหตุอันต้องพูด ต้องตอบคำถาม สนทนา ปฏิสัมพันธ์กับชาวโลก สิ่งที่ ตอบแล้วอาจผิดศีล ก็ใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องคุย เบี่ยงไปยังประเด็นอื่น หรือไม่ตอบคำถาม เลยหากเป็นไปได้เมื่อเทียบกับโสดาบันท่านที่รักสัจจะ จริงใจทั้งในสิ่งที่ตนคิดและ แสดงออกตามจริต อัธยาศัยของตนด้วยความมีเมตตา มองผลประโยชน์ของผู้ฟัง หรือว่าเน้นน้ำหนักที่จะเอื้อสังคมก่อน ตัวอย่างที่ยกมาแบบนี้ พอจะมองได้ไหมครับ
ว่า ความบริสุทธิ์ของศีลในแต่ละความเป็นโสดาบันบุคคล ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน? ความเสียสละ ความที่ไม่เบียดเบียนสังคม ส่วนร่วมของแต่ละโสดาบันในเพศคฤหัสถ์ ก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน? โสดาบันแต่ละท่านที่เป็นคฤหัสถ์หรือว่าหากินทางโลกก็ เกื้อกูลโลกไม่เท่ากัน ระดับความโลภของแต่ละโสดาบันก็ไม่เท่ากัน?
เพียงแต่ว่าโสดาบันในเพศคฤหัสถ์ที่ยังคงมีความปรารถนาในทรัพย์สินเงินทอง วัตถุ แบบโลกๆ อยู่นั้น จะหาทรัพย์โดยสุจริตเท่านั้น ผมเข้าใจแบบนี้ใกล้เคียงกับข้อเท็จ จริงทางธรรมไหมครับ?
แล้วมีตัวอย่างในพระไตรปิฎกไหมครับว่า มีผู้ที่ "บรรลุโสดาบันไปแล้ว" แต่ยังคงยึด ถืออาชีพบางอย่างที่อาจจะผิดศีล ผิดธรรม (ตามความรู้สึกหรือว่ามโนสำนึกของ วิญญูชน) หรือว่าเบียดเบียนชาวโลกอยู่ เช่น เป็นโสเภณี หรือว่าอาชีพที่ต้องฆ่า ต้องเบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนสังคม อาชีพสีเทาๆ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 272
โอคธสูตร
องค์คุณของพระโสดาบัน
[๑๔๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม ฯลฯ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ฯลฯ
ความเป็นพระโสดาบัน เมื่อถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมมีศีล ๕ ไม่ขาดเลย เรียกได้ว่า เป็นผู้ที่สมบูรณ์ในศีล ๕ หากแต่ว่า ท่านยังมีกิเลลส มีโลภะ มีโทสะ อยู่ แต่ท่านดับมายา ความหลอกลวงแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่หลอกลวง ไม่มีมายา เพราะท่านเป็นผู้ตรง ส่วนศีล มีความละเอียดมากมาย ไม่ใช่ เพียงศีล ๕ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ศีลโดยนัยละเอียด ท่านก็ไม่ชื่อบริสุทธิ์ได้จริงๆ เพราะขณะใดอกุศลจิต เกิดขึ้น ขณะนั้นจิตก็เศร้าหมอง ศีลก็เศร้าหมองอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดา ของพระโสดาบัน ที่มีกาย วาจา ไม่ดี แต่ไม่ถึงกับล่วงทุจริตทางกาย วาจา ที่ถึงกับ ล่วงศีล ๕ แทนที่จะพูดโกหก ก็กล่าวไปในเรื่องอื่น ไปประเด็นอื่นก็ได้ หากแต่ว่าเมื่อ จำเป็นที่จะต้องเลือก ระหว่างการล่วงศีล 5 กับการสิ้นชีวิต ท่านก็ยอมสละชีวิตดีกว่า การล่วงศีล ๕ ครับ
ส่วนปัญญาของพระโสดาบัน ก็มีแตกต่างกันไป เพียงแต่ไม่ล่วงศีล ๕ เหมือนกัน เท่านั้น เมื่อปัญญาแตกต่างกัน ระดับกิเลส การประพฤติก็แตกต่างกันไปตามระดับ ของปัญญาที่แตกต่างกันไปด้วย ครับ
จากคำถามที่ว่า แล้วมีตัวอย่างในพระไตรปิฎกไหมครับว่า มีผู้ที่ "บรรลุโสดาบันไปแล้ว" แต่ยังคงยึดถืออาชีพบางอย่างที่อาจจะผิดศีล ผิดธรรม (ตามความรู้สึกหรือว่ามโน สำนึกของวิญญูชน) หรือว่าเบียดเบียนชาวโลกอยู่เช่น เป็นโสเภณี หรือว่าอาชีพที่ ต้องฆ่าต้องเบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนสังคม อาชีพสีเทาๆ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
ผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมละอาชีพที่เศร้าหมอง มีการเป็นโสเภณี เป็นต้น ก็มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกครับ และแม้มีอาชีพ เป็นหญิงงามเมือง ซึ่งหญิง งามเมือง คือ เมืองนั้นจะเลือกผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมือง เพื่อรับแขกบ้าน แขกเมือง จากที่อื่น หรือ อาจจะรับจ้างก็ได้ครับที่เป็นโสเภณี โดยแลกกับเงิน เช่น นางสิริมา ซึ่งสวยงามมาก ต้องแลกด้วยเงิน ๑๐๐๐ กหาปณะ ในวันหนึ่งครับ ซึ่งแม้การทำการ งานเศร้าหมองอย่างนี้ ก็ไม่สามารถกั้นปัญญาที่อบรมมาที่จะบรรลุได้ เพราะ สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ครับ
นางสิริมา ประกอบอาชีพเป็นโสเภณี สามีของอุตตรา นำนางสิริมามาที่เรือนด้วย การให้เงิน แต่เมื่อนางสิริมาอยู่หลายวันเข้า ก็สำคัญว่าตนเองเป็นภรรยหลวง เป็น ใหญ่ในเรือน เห็นนางอุตตรากำลังประกอบอาหาร ถวายพระพุทธเจ้า จึงลงไปจาก ปราสาท นำเนยใสที่ร้อน เทใส่นางอุตตราผู้เป็นพระโสดาบัน นางอุตตรามีจิตเมตตา กับนางสิริมาเนยใสที่ร้อนจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนหลังนางสิริมารู้คุณของ นางอุตตรา และจะขอขมาลาโทษกับนางอุตตรา นางอุตตราจึงให้ไปขอโทษกับบิดา ของท่าน อันหมายถึงพระพุทธเจ้า นางสิริมาจึงจัดแจงอาหาร และถวายทานกับ พระพุทธเจ้าและได้เล่าเรื่องให้พระพุทธเจ้ารับรู้ พระองค์แสดงธรรม นางสิริมา ผู้ทำ อาชีพโสเภณี บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ครับ
ดังนั้น จากคำถามที่ว่า ท่านยังทำอาชีพนั้นอยู่หรือไม่ คำตอบคือ นางสิริมาได้บรรลุ เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ประกอบอาชีพที่เศร้าหมองนั้นอีกครับ คือ ไม่ประกอบอาชีพ โสเภณีอีก เพราะด้วยการบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันนั่นเอง
ขออนุโมทนาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย[เล่มที่ 48] วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 129
อรรถกถาสิริมาวิมาน
สิริมาวิมาน มีคาถาว่า ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา เป็นต้น สิริมาวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ สมัยนั้น โสเภณีชื่อสิริมา ที่กล่าวไว้ในเรื่องติดต่อมาในหนหลัง [อุตตราวิมาน] สละงานที่เศร้าหมอง [การเป็นโสเภณี] เพราะบรรลุโสดาปัตติผล ได้ตั้งสลากภัต ๘ กอง แก่พระสงฆ์ ตั้งแต่ ต้นมา ภิกษุ ๘ รูป ก็มาเรือนนางเป็นประจำ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นผู้สะสมปัญญามา แล้วในอดีต เคยได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมศรัทธาเห็น ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาแล้ว เมื่อปัญญาถึงความเจริญ สมบูรณ์พร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ซึ่งก่อนหน้า นั้น กิเลสใดๆ ก็ยังไม่สามารถละได้
และจะต้องทราบว่าพระโสดาบัน ไม่ใช่พระอรหันต์, ผู้ที่หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ดับกิเลสได้ทั้งหมด ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนพระอริยบุคคลขั้นต่ำกว่านั้น ยังเป็นผู้มีกิเลส ยังมีเหตุปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่มีกำลังเหมือนกับปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส เพราะเหตุว่ากิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ล่วงศีลและเป็นเหตุเกิดในอบายภูมินั้น ดับได้อย่างเด็ดขาด
ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลทุกขั้นไม่มีการล่วงศีล และจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีก และถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ดับขันธปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดอีกในสังสาร วัฏฏ์ สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง พระโสดาบัน ถึง พระอนาคามี ชื่อว่าเป็นผู้มีโทษน้อย ท่านดับกิเลสได้ตามสมควรแก่มรรคที่ท่านได้ กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ก็ยังมีกิเลสบางส่วนที่ยังไม่สามารถดับได้ กล่าวคือ ยังมีกิเลสเหลืออยู่ จึงยังมีอกุศลจิตเกิดขึ้นได้ แต่ไม่มากเหมือนกับปุถุชน จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้ไม่มีโทษใดๆ เลย เพราะเป็นผู้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด กาย วาจา และใจ ไม่ได้เป็นไปกับด้วยกิเลสอกุศลใดๆ อีกเลย
และตามการศึกษา ก็เข้าใจว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิด สำหรับท่านที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันนั้น กล่าวได้ว่า ยังเป็นผู้มีภพชาติเหลืออยู่ เมื่อมีเกิดเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่ง จะเกิดในตระกูลใด และจะประกอบอาชีพอะไร ล้วนเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น บางคนเกิดในตระกูลนายพราน ทำอาชีพล่าสัตว์ ซึ่งเป็นอาชีพทุจริต แต่พอได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อจากนั้นท่านก็ไม่กระทำอาชีพนั้นอีกเลยเพราะพระโสดาบัน เป็นผู้มีศีล ๕ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พรโสดาบัน มีศีล 5 บริสุทธิ์ ท่านไม่ทำอาชีพที่ไม่ดี ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
สาธุ สาธุ สาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยควายความสงสัยให้กระผมด้วยครับ
ในกรณีผู้ที่เคยบวชเป็นภิกษุมาหลายพรรษา จำพรรษาในถ้ำในป่า และปฏิบัติธรรมจนรู้เท่าทันความเป็นมายาและมิจฉาต่างๆ รู้เท่าทันอารมณ์ปรุงแต่ง ไม่มีความคับข้องในพระรัตนตรัย ตลอดจนศึกษาพระไตรปิฎกจนรู้แจ้งและปฏิบัติธรรมได้แล้ว เมื่อมีเหตุให้ท่านลาสิกขามาเป็นฆราวาสแล้ว วันหนึ่งท่านเกิดแพ้กิเลส ทำผิดศีล 5 โดยเฉพาะข้อ 3 และข้อ 5
กระผมมีคำถามว่าในขณะที่ท่านดำรง สมณเพศ หากท่านได้ความเป็นอริยบุคคลแล้ว ท่านลาสิกขาออกมาแล้ว เกิดพ่ายแพ้ต่อกิเลสจนต้องผิดศีล ท่านจะหลุดจากความเป็นอริยบุคคลไหมครับ หรือว่าตลอดเวลาที่ท่านดำรงสมณเพศ ท่านยังไม่ได้ความเป็นอริยบุคคล เมื่อลาสิกขาออกมา จึงทุศีลได้ ขอความกรุณาผู้รู้เมตตาชี้แจงกระผมให้เข้าใจในส่วนนี้ด้วยครับ
การบรรลุเป็นพระโสดาบันเป็นของยาก เมื่อได้เจริญเหตุที่เหมาะควรต่อการที่จะได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน คือ ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงความสมบูรณ์พร้อมแล้ว ผลดังกล่าวก็เกิดขึ้นเป็นไป เพราะได้เจริญเหตุไว้พร้อมแล้ว
สิ่งที่ควรพิจารณา คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลเป็นเรื่องที่ยาวไกลมาก ดังนั้น จึงสำคัญที่ขณะนี้ คือ ได้มีการเริ่มฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกเพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย อีกยาวไกล เป็นจิรกาลภาวนา
ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน ไม่มีการล่วงศีล ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว จะกลับเป็นปุถุชน ไม่ได้ ครับ
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)