เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"กัมมชรูปและกฏัตตารูป" ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้คำอธิบายความแตกต่างกันของทั้งสองคำนี้ด้วยครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปที่เกิดจากกรรม หมายถึง รูป ๑๘ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒ หทยรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ ซึ่งเกิดจากเจตนาเจตสิกที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่ดับไปแล้วในอดีต (นานักขณิกกัมมปัจจัย) แต่ยังมีอำนาจของปัจจัยที่สามารถให้ผลในปัจจุบันได้
กฏัตตารูป คือ รูปที่เกิดจากกรรม ก็คือ กัมมชรูปนั่นเองครับ เมื่อกล่าวถึงผลของกรรม ก็จะต้องเข้าใจคำว่า กรรม ที่เป็นตัวเหตุ คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่จะทำให้เกิดผล ผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม มีสองอย่าง คือ รูปและนาม กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดนาม คือ จิต เจตสิก ที่เรียกว่า วิบาก เมื่อใช้คำว่า วิบาก จะมุ่งหมายถึง นามธรรมเท่านั้น ที่เป็นจิต เจตสิก ส่วนผลของกรรมที่เกิดจากเหตุ คือ กุศล อกุศล ไม่ใช่มีแค่จิต เจตสิก แต่มีรูปด้วย เช่น กัมมัชชรูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเกิดในขณะที่ปฏิสนธิจิต ที่เป็นวิบากจิตเกิดขึ้นพร้อมกับ รูป คือ กัมมัชรูป รูปที่เกิดจากกรรม เพราะฉะนั้น กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่เป็นเหตุ เป็นเหตุให้เกิด ทั้งนาม คือ จิต เจตสิก ที่เรียกว่าวิบากจิต วิบากเจตสิกรวมทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดรูปที่เกิดจากกรรม กัมมชรูป คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น ด้วย แต่รูปไม่ใช่วิบาก แต่รูปเป็นผลของกรรม ครับ ดังนั้น เราจะต้องแยกคำว่า วิบาก กับ ผลของกรรม ว่าไม่เหมือนกัน วิบาก มุ่งหมายถึง จิต เจตสิก เท่านั้น ไม่รวมรูป ส่วนผลของกรรม รวมทั้งรูปและนาม จึงกล่าวได้ว่า กุศลกรรม อกุศลกรรม ที่เป็นเหตุ ผลของกรรม คือ วิบาก (จิต เจตสิก) และ รูป ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กัมมชรูป หรือ กฏัตตารูป เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน หมายความว่า รูปที่เกิดในขณะนั้นทุกรูปในกลุ่มนั้น เกิดเพราะกรรมทั้งหมด กลุ่มของรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน ประมวลแล้ว มีทั้งหมด ๙ กลุ่ม
๑. จักขุทสกกลาป คือ กลุ่มของจักขุปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ จักขุปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๒. โสตทสกกลาป คือ กลุ่มของโสตปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ โสตปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๓. ฆานทสกกลาปคือ กลุ่มของฆานปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ฆานปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๔. ชิวหาทสกกลาปคือ กลุ่มของชิวหาปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชิวหาปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๕. กายทสกกลาปคือ กลุ่มของกายปสาทรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ กายปสาทรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๖. อิตถีภาวทสกกลาปคือ กลุ่มของอิตถีภาวรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ อิตถีภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๗. ปุริสภาวทสกกลาปคือกลุ่มของปุริสภาวรูป ซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ปุริสภาวรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๘. หทยทสกลาปคือ กลุ่มของหทยรูปซึ่งมี รูป รวม ๑๐ รูปคือ อวินิพโภครูป ๘ หทยรูป ๑ ชีวิตินทริยรูป ๑
๙. ชีวิตนวกกลาปคือกลุ่มของชีวิตรูปซึ่งมี รูป รวม ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ ชีวิตินทริยรูป ๑
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
ทั้งสองคำต่างเพียงพยัญชนะหรือครับ? ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ถูกต้องครับ ต่างกันที่พยัญชนะ อรรถะเหมือนกันครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ผลของกุศลก็ทำให้มีรูปงาม เช่น ผิวสวย ตาสวย ฯลฯ ส่วนผลของอกุศลก็ทำให้รูปไม่งามค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ ขอบพระคุณค่ะ