หลายท่านคงรูัข่าวความร้ายกาจของไวรัส อีโบล่า ที่น่าสะพรึงกลัว ขณะนี้ยังอยู่ในทวีปแอฟริกา ไม่รู้เมื่อไหร่จะเดินทางไปรอบโลก และแวะมาเยือนเมืองไทย โดยไม่มีผู้ใดเชิญให้มา
ไม่ทราบว่าท่านรู้จัก กิเลส ดีเพียงใด เหมือนทุกท่านจะรู้จักกันดี เพราะมีการใช้คำนี้บ่อยมาก ขอท่านวิทยากรช่วยอธิบายความหมายที่ชัดเจนแจ่มแจ้งของคำว่า กิเลส
ท่านวิทยากร และ ท่านผู้ชมเว็ปไซต์บ้านธัมมะ ท่านกลัวอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง อีโบลา กับ กิเลส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เป็นนามธรรม เป็นอกุศลเจตสิกต่างๆ ที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต กิเลสจะเกิดกับจิตชาติอื่นไม่ได้ ต้องเกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้นนี้คือความเป็นจริงของธรรมที่ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และประการที่สำคัญ ไม่มีใครสามารถดับกิเลสได้ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่สามารถดับกิเลสได้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความอยาก ความต้องการ การที่จะเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรม เห็นกิเลส และโทษภัยของกิเลสตามความเป็นจริง ต้องเป็นปัญญา
ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสอกุศลเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ซึ่งน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นมลทินของใจ ไม่นำประโยชน์สุขใดๆ มาให้เลย มีแต่นำมาซึ่งทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีตามที่กล่าวมา แต่วิธีละกิเลสที่ถูกต้องตามความเป็นจริง และ เป็นหนทางการละกิเลส คือ สภาพธรรมที่เรียกว่า ปัญญา เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ย่อมสามารถที่จะละกิเลสได้
ซึ่งโรคร้ายที่คิดว่าน่ากลัว โรคร้ายก็มาจาก โรคกิเลส ที่น่ากลัวกว่า เพราะ โรคร้ายที่สมมติเรียกว่า อีโบลา ก็เพราะ อาศัยอกุศลกรรมที่เคยทำไว้แล้วให้ผล เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคร้าย และที่มีการทำอกุศกลกรรม ก็เพราะมีกิเลสที่เป็นโรคร้ายที่สุด รักษาด้วยยาก็ไม่หาย แต่รักษาได้ด้วย ปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น โรคกิเลสจึงเป็นโรคที่น่ากลัวและเกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่จะเห็นโทษภัยของกิเลสจริงๆ ก็ต้องด้วยปัญญา ที่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นกิเลสที่เกิดในขณะนั้น ครับ
ยารักษาโรคที่ดี และแท้จริง ที่เป็นโรคกิเลส คือ พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพราะ ทำให้เกิดปัญญา จนสามารถค่อยๆ ละกิเลสได้ แต่ เมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะมีตัวตน จะพยายามหาวิธีละกิเลส แต่ ลืมความเป็นจริงว่า เมื่อยังไม่รู้จักกิเลส จะละกิเลสได้อย่างไร ไม่รู้จักศัตรู จะป้องกันศัตรูได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น การจะรู้จักกิเลสตามความเป็นจริงต้องด้วยปัญญาอันอาศัยการฟังศึกษาพระธรรมต่อไป และต้องไม่ลืมว่า สะสมกิเลสมามากมายนับไม่ถ้วน เพียงแค่ได้ยินได้ฟังพระธรรมจะละกิเลสได้ทันที เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น หนทางการอบรมปัญญา จะต้องอย่างยาวนาน และจะต้องละกิเลสเป็นลำดับ ดั่งเช่น การจะถึงการบรรลุธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับ คือ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
การเจ็บป่วย จึงเป็นเครื่องเตือน หรือ เรียกว่า เป็นเทวทูต ให้เห็นว่า เป็นเพราะอกุศลกรรมที่ได้ทำ จึงพิจารณาว่าไม่ควรกระทำอกุศล อันเป็นธรรมที่มีโทษ นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง มีความเจ็บป่วย เป็นต้น จึงค่อยๆ เห็นโทษและลดละที่จะทำอกุศลและเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล เพื่อจะสะสมไปในภายภาคหน้า อันจะนำความสุขมาให้ และที่สำคัญ ปัญญาเท่านั้นที่ประเสริฐสุด จึงควรแบ่งเวลาในการฟังพระธรรมในบางโอกาส ครับ
ที่สำคัญที่สุด โชคดีแล้ว ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสสนทนาสอบถาม ฟังพระธรรม ก็เป็นขณะที่ประเสริฐแล้ว และขณะนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากประการใด ก็ควรทำให้ดีที่สุด คือ สะสมความดีเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะการสนทนา และฟังพระธรรม ครับ ถ้ามีโอกาสก็แวะเข้ามาสนทนา สอบถามธรรม ฟังพระธรรมในเว็ปบ่อยๆ ครับ ปัญญา ความเข้าใจที่เกิดขึ้นของคุณ จะเป็นกำลังใจที่ดีของคุณเอง ครับ
ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โรค หมายถึง สภาพที่เสียดแทง โรคทางกาย เสียดแทงกายให้ได้รับ ความเจ็บปวดทรมาน แต่โรคทางใจ คือ กิเลส เป็นสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมองย่อมเสียดแทงจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อน และไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ
ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานที่ผ่านมา เราได้สะสมกิเลสมามาก (กิเลส หมายถึง เครื่องเศร้าหมองของจิต) กิเลสเป็นนามธรรม เป็นอกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับอกุศลจิต เมื่อเกิดแล้ว ก็ดับไป แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะไม่หายไปไหน โกรธขณะนี้มาจากไหน ถ้าไม่เคยสะสมความโกรธมา ความติดข้องในขณะนี้มาจากไหน ถ้าไม่เคยได้สะสมความติดข้องมา นี่คือความเป็นจริง, กิเลสเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เมื่อสะสมกิเลสมามาก กิเลสจึงเกิดมากเป็นธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน ในวันหนึ่งๆ แม้ว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาได้ฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อเทียบกันระหว่างฟังพระธรรมกับฟังเรื่องอื่นๆ แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าฟังเรื่องๆ อื่นมากกว่าฟังพระธรรม นี่เป็นความจริง ส่วนมากมักไหลไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ ธรรมฝ่ายดี อันได้แก่ปัญญาจึงมีน้อย และเจริญช้ามาก
ดังนั้น เมื่อปัญญายังน้อยจึงไม่มีกำลังที่จะกำจัดหรือดับกิเลสได้กิเลสจึงเกิดบ่อยมากในชีวิตประจำวัน ทั้งโลภะ ความติดข้องต้องการ โทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ โมหะ ความหลงความไม่รู้ อิสสา ความริษยา มัจฉริยะ ความตระหนี่ เป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาพระธรรมนี้เอง เป็นหนทางเพื่อการดับกิเลสดับอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ก็ย่อมจะไม่เดือดร้อนกับกิเลสที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพราะกิเลสที่มีมากต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะดับให้หมดสิ้นได้.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
โรคกายร้ายแรงก็มีผลแค่ชาตินี้แล้วก็จบ แต่โรคกิเลสให้ผลร้าย นับชาติไม่ถ้วน ค่ะ
กิเลสมีอยู่กับเราตลอดเวลา จะรู้หรือไม่รู้ก็มีอยู่แล้ว แค่ลืมตามาเช้านี้สะสมกิเลสไว้เท่าไรแล้ว ส่วนอีโบล่า ซึ่งเป็นไวรัส อยู่ถึงทวีปแอฟริกา ก็ยังไกลกว่ากิเลส ศึกษาพระธรรมเพื่อไม่ให้มีความหวั่นไหวถึงภัยที่ยังมาไม่ถึง เพราะขณะที่หวั่นไหวกับข่าวของ Ebola virus ก็เป็นทุกข์แล้ว ถ้ากลัวติดเชื้อก็ปรึกษาแพทย์เพื่อหมอมียาป้องกันโรคนี้ แต่ถ้าต้องติดเชื้อจริงๆ ก็คงเป็นผลของกรรม ยาอะไรๆ ก็รักษาไม่ได้ นอกจากฟังพระธรรมต่อไป ฟังให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่า Ebola virus เป็นแค่เรื่องที่คิดเท่านั้น
หมายเหตุ ถ้าใครได้รับเชื้อของ Ebola จะมีอาการตกเลือด เชื้อไวรัสนี้แพร่ได้จากคน สัตว์ และ สงครามทางชีววิทยา
ท่านวิทยากรกลัว กิเลส มากกว่า อีโบล่า ด้วยเหตุผล ดังนี้
โรคร้ายที่คิดว่าน่ากลัว โรคร้ายก็มาจาก โรคกิเลส ที่น่ากลัวกว่า เพราะโรคร้ายที่สมมติเรียกว่า อีโบลา ก็เพราะ อาศัย อกุศลกรรมที่เคยทำให้ผล ทำให้เกิดโรคร้ายเป็นปัจจัย และ ที่มีการทำอกุศกลรรม ก็เพราะ มีกิเลส ที่เป็นโรคร้ายที่สุด
วิทยากรอีกท่านหนึ่ง ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่ากิเลสน่ากลัวมากกว่าโรคร้าย
โรค หมายถึง สภาพที่เสียดแทง โรคทางกาย เสียดแทงกายให้ได้รับความเจ็บปวด ทรมาน แต่โรคทางใจ คือ กิเลส เป็นสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ย่อมเสียดแทงจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อน และไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เป็นโรคอีโบล่า ไม่ใช่ต้องตายเพราะโรคอีโบล่า (ท่านอ.สุจินต์เคยพูดไว้ครับ) อย่าไปคิดถึง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
" อวิชชาคือ ไม่หยั่งรู้ในเหตุเกิดทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนต้น ไม่หยั่งรู้ในเงื่อนปลาย ไม่หยั่งรู้ทั้งเงื่อนต้นและเงื่อนปลาย ไม่หยั่งรู้ในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิด "
ทั้งหมดนี้ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ก็จะไม่พ้นจากความไม่รู้ และยังไม่พ้นจากความกลัว คือทุกข์
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์เป็นอย่างสูง
กราบขอบพระคุณวิทยากรบ้านธรรมะทุกท่าน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพ จาก ใหญ่ราชบุรี - ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ