[เล่มที่ 55] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 170
๒. วัณณุปถชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 55]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 170
๒. วัณณุปถชาดก.
ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน
[๒] ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใดมุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลังเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.
จบวัณณปุถชาดกที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 171
๒. อรรถกถาวัณณุปถชาดก
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า อกิลาสุโน ดังนี้. ถามว่า ทรงปรารภใคร? ตอบว่า ทรงปรารภภิกษุผู้สละความเพียรรูปหนึ่ง.
ดังได้สดับมา เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในนครสาวัตถี มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ไปพระเชตวันวิหาร สดับพระธรรมเทศนาในสำนักของพระศาสดา มีจิตเลื่อมใส เห็นโทษในกามและอานิสงส์ในการออกจากกามจึงบวช อุปสมบทได้ ๕ พรรษา เรียนได้มาติกา ๒ บท ศึกษาการประพฤติวิปัสสนา รับพระกรรมฐานที่จิตของตนชอบ ในสำนักของพระศาสดาเข้าไปยังป่าแห่งหนึ่ง จำพรรษา พยายามอยู่ตลอดไตรมาสไม่อาจทำสักว่าโอภาสหรือนิมิตให้เกิดขึ้น. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระศาสดาตรัสบุคคล ๔ จำพวก ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น เราคงจะเป็นปทปรมะ เราเห็นจะไม่มีมรรคหรือผลในอัตภาพนี้ เราจักกระทำอะไรด้วยการอยู่ป่า เราจักไปยังสำนักของพระศาสดา แลดูพระรูปของพระพุทธเจ้าอันถึงความงามแห่งพระรูปอย่างยิ่ง ฟังพระธรรมเทศนาอันไพเราะอยู่ (จะดีกว่า) ครั้นคิดแล้วก็กลับมายังพระเชตวันวิหารนั่นแลอีก.
ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนเห็นและคบกัน กล่าวกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วไปด้วยหวังใจว่า จักกระทำสมณธรรม แค่บัดนี้มาเที่ยวรื่นรมย์ด้วยการคลุกคลีอยู่ กิจแห่งบรรพชิตของท่านถึงพูดแล้วหรือหนอ ท่านจะเป็นผู้ไม่มีปฏิสนธิแลหรือ. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราไม่ได้มรรคหรือผล จึงคิดว่าเราน่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 172
จะเป็นอภัพพบุคคล จึงได้สละความเพียรแล้วมาเสีย. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านบวชในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียรมั่นแล้วละความเพียรเสีย กระทำสิ่งอันมิใช่เหตุแล้ว มาเถิดท่าน พวกเราจักแสดงท่านแด่พระตถาคต. ครั้นกล่าวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้พาภิกษุนั้นไปยังสำนักของพระศาสดา.
พระศาสดาพอทรงเห็นภิกษุนั้น จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเป็นผู้พาภิกษุผู้ไม่ปรารถนารูปนี้มาแล้ว ภิกษุนี้ทำอะไร. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนี้บวชในพระศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ ไม่อาจกระทำสมณธรรม ละความเพียรเสียมาแล้ว. ลำดับนั้นพระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอละความเพียรจริงหรือ. ภิกษุนั้น กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ ทำไมจึงไม่ให้เขารู้จักตนอย่างนี้ว่า เป็นผู้มักน้อยหรือว่า เป็นผู้สันโดษ s หรือว่าเป็นผู้สงัด หรือว่าเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือว่าเป็นผู้ปรารภความเพียร ให้เขารู้จักว่า เป็นภิกษุผู้ละความเพียร เมื่อครั้งก่อน เธอได้เป็นผู้มีความเพียรมิใช่หรือ เมื่อเกวียน ๕๐๐ เล่ม ไปในทางกันดาร เพราะทราย พวกมนุษย์และโคทั้งหลายได้น้ำดื่มมีความสุข เพราะอาศัยความเพียรซึ่งเธอผู้เดียวกระทำแล้ว เพราะเหตุไร บัดนี้ เธอจึงละความเพียรเสีย. ภิกษุนั้นได้กำลังใจด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้.
ฝ่ายภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสนั้น จึงอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ความที่ความเพียรอันภิกษุนี้สละแล้ว ปรากฏแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในบัดนี้แล้ว ก็ในกาลก่อน ความที่โคและมนุษย์ทั้งหลาย
พระสุ 'ตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 173
ได้น้ำดื่มมีความสุขในทางกันดารเพราะทราย (เหตุอาศัยความเพียรที่ภิกษุนี้กระทำ) ยังลี้ลับสำหรับข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรากฏแก่พระองค์ผู้ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น ขอพระองค์จงตรัสเหตุนี้แม้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังการเกิดสติให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจงฟัง (แล้วได้ทรงกระทำเหตุการณ์อันระหว่างแห่งภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ.)
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในตระกูลพ่อค้าเกวียน. พระโพธิสัตว์นั้นเจริญวัยแล้ว เที่ยวกระทำการค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม. พระโพธิสัตว์นั้นเดินทางกันดารเพราะทรายแห่งหนึ่งมีระยะประมาณ ๖๐ โยชน์. ก็ในทางกันดารนั้น ทรายละเอียดกำมือไว้ยังติดอยู่ในมือ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นมีความร้อน เหมือน กองถ่านเพลิง ไม่อาจข้ามไปได้ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อดำเนินทางกันดารนั้น จึงเอาเกวียนบรรทุกฟืน น้ำ น้ำมัน และข้าวสารเป็นต้น ไปเฉพาะกลางคืน ในเวลาอรุณขึ้นกระทำเกวียนให้เป็นวง แล้วให้ทำปะรำไว้เบื้องบนทำกิจในเรื่องอาหารให้แต่- เช้าตรู่แล้วนั่งในร่มเงาจนหมดวัน เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว บริโภคอาหารเย็น เมื่อพื้นดินเกิดความเย็น จึงเทียมเกวียนเดินทางไป การไปเหมือนกับการไปในทะเลนั่นแหละ ยอมจะมีในทางกันดารนั้น. ธรรมดาผู้กำหนดบท (๑) ควรจะมี เพราะเหตุนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงให้กระทำการประกอบการไปของหมู่เกวียนตามสัญญาของดวงดาว
ในกาลนั้น พ่อค้าเกวียนแม้นั้น เมื่อจะไปยังทางกันดารนั้น ตามทำนองนี้นั้นแล จึงไปได้ ๕๙ โยชน์ คิดว่า บัดนี้ โดยราตรีเดียวเท่านั้น จักออกจากทางกันดารเพราะ ทรายจึงบริโภคอาหารเย็น ใช้ฟืนและน้ำทั้งปวงให้หมดสิ้นแล้วจึงเทียมเกวียน
(๑) คนนำทาง เช่นเดียวกับคนนำร่องในทางน้ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 174
ไป คนนำทางให้ลาดอาสนะในเกวียนเล่มแรก นอนดูดาวในท้องฟ้าบอกว่าจงขับไปข้างนี้ จงขับไปข้างโน้น คนนำทางนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะไม่ได้หลับ เป็นระยะกาลนาน จึงหลับไป เมื่อโคหวนกลับเข้าเส้นทางที่มาเดิม ก็ไม่รู้สึก โคทั้งหลายได้เดินทางไปตลอดคืนยังรุ่ง. คนนำทางตื่นขึ้นในเวลาอรุณขึ้น มองดูดาวนักษัตรแล้วกล่าวว่าจงกลับเกวียน จงกลับเกวียน และเมื่อคนทั้ง หลายพากันกลับเกวียนทำไว้ตามลำดับๆ นั่นแล อรุณขึ้นไปแล้ว. มนุษย์ทั้งหลายพากันกล่าวว่า นี่เป็นที่ตั้งค่ายที่พวกเราอยู่เมื่อวานนี้ แม้ฟืนและน้ำของพวกเราก็หมดแล้ว บัดนี้พวกเราฉิบหายแล้ว จึงปลดเกวียนพักไว้โดยเป็นวงกลมแล้วทำปะรำไว้เบื้องบน นอนเศร้าโศกอยู่ภายใต้เกวียนของตนๆ พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราละความเพียรเสีย คนทั้งหมดนั้นจักพากันฉิบหาย พอเวลาเช้า จึงเที่ยวไปในเวลาที่ยังมีความเย็น เห็นกอหญ้าแทรกกอหนึ่งจึงคิดว่าหญ้าเหล่านั้นจักเกิดขึ้น เพราะความเย็นของน้ำข้างล่าง จึงให้คนถือจอบมา ให้ขุดลงยังที่นั้น คนเหล่านั้นขุดที่ (ลึกลงไป) ได้ ๖๐ ศอก. เมื่อคนทั้งหลายขุดไปถึงที่มีประมาณเท่านี้ จอบได้กระทบหินข้างล่าง. พอจอบกระทบหินคนทั้งปวงก็พากันละความเพียรเสีย ฝ่ายพระโพธิสัตว์คิดว่า ภายใต้หินนี้จะพึงมีน้ำ จึงลงไปยืนที่พื้นหิน ก้มลงเงี่ยหูฟังเสียง ได้ยินเสียงน้ำเบื้องล่าง จึงขึ้นมาบอกกะคนรับใช้ว่า ดูก่อนพ่อ เมื่อเธอละความเพียรเสีย พวกเราจักฉิบหาย เธออย่าละความเพียร จงถือเอาค้อนเหล็กนี้ลงไปยังหลุม ทุบที่หินนี้ คนรับใช้นั้นรับคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว ไม่ละความเพียรในเมื่อคนทั้งปวงละความเพียรยืนอยู่จึงลงไปทุบหิน. หินแตก ๒ ซีกลงไปข้างล่างได้ตั้งขวางกระแสน้ำอยู่. เกลียวน้ำประมาณเท่าลำตาลพุ่งขึ้น. คนทั้งปวงพากันดื่มกินแล้วอาบ ผ่าเพลาและแอกเป็นต้นที่เหลือเพื่อหุงข้าวยาคูและภัตบริโภคและให้
พระสุตตั ' นตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 175
โคกิน และเมื่อพระอาทิตย์อัสดง จึงผูกธงใกล้บ่อน้ำ แล้วได้พากันไปยังที่ที่ปรารถนาแล้วๆ. คนเหล่านั้นขายสินค้าในที่นั้นแล้วได้ลาภ ๒ เท่า ๓ เท่า จึงได้พากันไปเฉพาะที่อยู่ของตนๆ. คนเหล่านั้นดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนชั่วอายุแล้วไปตามยถากรรม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์กระทำบุญมีทานเป็นต้น ได้ไปตามยถากรรมเหมือนกัน.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเองเทียว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่ทางทราย ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใด มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกิลาสุโน ได้แก่ ไม่เกียจคร้าน คือ ปรารถนาความเพียร. บทว่า วณฺณุปเถ ความว่า ทราย ท่านเรียกว่า วัณณะ ในทางทราย. บทว่า ขณนฺตา แปลว่า ขุดภาคพื้น. ศัพท์ว่า อุท ในบทว่า อุทงฺคเณ นี้ เป็นนิบาต อธิบายว่า ในที่ลานกลางแจ้ง. อธิบายว่า ในที่เป็นที่สัญจรไปของพวกมนุษย์ คือ ในภูมิภาคอันไม่ปิดกั้น. บทว่า ตตฺถ ความว่า ในทางทรายนั้น. บทว่า ปปํ อวินฺทํ แปลว่า ได้น้ำ. จริงอยู่ น้ำท่านเรียกว่า ปปา เพราะเป็นเครื่องดื่ม อีกอย่างหนึ่ง น้ำที่ไหลเข้าไป ชื่อว่า ปปา อธิบายว่า น้ำมาก. บทว่า เอวํ เป็นบททำความอุปมาให้สำเร็จ. บทว่า มุนี ความว่า ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ อีกอย่างหนึ่ง โมเนยยะอย่างใดอย่างหนึ่งในกายโมเนยยะ เป็นต้น ท่านเรียกว่า โมนะ บุคคลที่เรียกว่า มุนี เพราะประกอบด้วยโมนะนั้น. ก็มุนีนี้นั้นมีหลายอย่างคือ
พระสุต ' ตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 176
อาคาริยมุนี อนาคาริยมุนี เสขมุนี อเสขมุนี ปัจเจกมุนี และมุนิมุนี. บรรดามุนีเหล่านั้น คฤหัสถ์ผู้บรรลุผลรู้แจ้งศาสนา ชื่อว่า อาคาริยมุนี. บรรพชิตเห็นปานนั้นแล ชื่อว่า อนาคาริยมุนี. พระเสขะ ๗ จำพวก ชื่อว่า เสขมุนี. พระขีณาสพ ชื่อว่า อเสขมุนี.
พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า ปัจเจกมุนี. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า มุนิมุนี. ก็ในอรรถนี้ เมื่อว่าโดยรวมยอด บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญา กล่าวคือพึงทราบว่ามุนี. บทว่า วิริยพลูปปนฺโน ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเพียร และกำลังกายกับกำลังญาณ. บทว่า อกิลาสุ ความว่า ผู้ไม่เกียจคร้าน คือ ชื่อว่า ผู้ไม่เกียจไม่คร้าน เพราะประกอบด้วยความเพียรอันประกอบด้วยองค์ ๔ ซึ่งท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
เนื้อและเลือดในร่างกายของเรานี้ทั้งหมด จงเหือดแห้งไป จะเหลือแต่หนังเอ็น และกระดูก ก็ตามที.
บทว่า วินฺเท หทยสฺส สนฺตึ ความว่า ย่อมประสบ คือ ได้เฉพาะอริยธรรม กล่าวคือฌาน วิปัสสนา อภิญญา และอรหัตตมรรคญาณ อันถึงการนับว่า สันติ เพราะกระทำความเย็นทั้งจิต และหทัยรูป. จริงอยู่พระผู้มีพระภาคเจ้าสังวรรณนาการอยู่เป็นทุกข์ของคนผู้เกียจคร้าน และการอยู่เป็นสุขของคนผู้ปรารภความเพียร ด้วยพระสูตรทั้งหลายมิใช่น้อย อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เกียจคร้านเกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามก ย่อมอยู่เป็นทุกข์ และทำประโยชน์คนอันยิ่งใหญ่ให้เสื่อมไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคลผู้ปรารภความเพียรสงัดจากกุศลธรรมอันลามก ย่อมอยู่เป็นสุข และทำประโยชน์ตนอันยิ่งใหญ่ให้บริบูรณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การบรรลุประโยชน์ย่อมไม่มีด้วยความเพียรอันเลว. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้า 177
การอยู่เป็นสุขนั้นนั่นแหละที่บุคคลผู้ปรารภความเพียร ผู้ไม่ทำความยึดมั่น ผู้เห็นแจ้ง จะพึงบรรลุได้ด้วยกำลังและความเพียร จึงตรัสว่า มุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า พ่อค้าเหล่านั้นไม่เกียจคร้าน ขุดอยู่ในทางทรายย่อมได้น้ำ ฉันใด ภิกษุในศาสนานี้ก็ฉันนั้น เป็นผู้ฉลาด ไม่เกียจคร้าน พากเพียรอยู่ ย่อมได้ความสงบใจอันต่างด้วยปฐมฌานเป็นต้น. ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน เธอนั้นกระทำความเพียรเพื่อต้องการทางน้ำ บัดนี้ เพราะเหตุไร เธอจึงละความเพียรในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เพื่อประโยชน์แก่มรรคผลเห็นปานนี้.
พระคาสดาครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ อย่างนี้แล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ ๔. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรดำรงอยู่ในพระอรหัต อันเป็นผลอันเลิศ. แม้พระศาสดาก็ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่อกัน ทรงประชุมชาดกแสดงว่า คนรับใช้ผู้ไม่ละความเพียร ต่อยหินให้น้ำแก่มหาชน ในสมัยนั้น ได้เป็นภิกษุผู้ละความเพียรรูปนี้ ในบัดนี้ บริษัทที่เหลือในสมัยนั้น เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียนได้เป็นเรา ดังนี้ ได้ให้พระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว.
จบ วัณณุปถชาดกที่ ๒