ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๐
โดย khampan.a  6 มี.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 42677

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๐


~
ความตายจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งวันใด ขณะหนึ่งขณะใด ช้าหรือเร็ว ชาติหน้า อาจจะเป็นขณะต่อไป หรือวันต่อไป หรือสัปดาห์ต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป ก็ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ เพราะไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลย ว่า ชาติหน้าของใคร จะเป็นเมื่อไร
~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่รู้จักธรรมเลย แต่ก็พูดคำว่าธรรมตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทั้งหมด ไม่ว่าที่ไหน กาลสมัยไหน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีในทุกกาลสมัยและต่อไปข้างหน้าเป็นธรรมทั้งหมด
~ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเปรียบในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระองค์ ก็จะทำให้จากความที่ไม่เคยรู้อะไรมาเลยกี่ชาติ ต่อจากนี้ก็จะไม่ใช่เป็นคนไม่รู้ เพราะได้เริ่มสะสมความเข้าใจในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น จะไม่มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยถ้าไม่ฟังคำของพระองค์แล้วก็ไตร่ตรองว่าทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วเพื่อเรา เพราะเราคิดไม่ออกว่าธรรมคืออะไร แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ ตรัสรู้แล้วตรัสคำนี้ ทุกคำเป็นพระธรรมจากพระโอษฐ์

~ สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่า ได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?
~ ความเข้าใจธรรม เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ทำให้พ้นจากความทุกข์เพราะความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะดับความไม่รู้ซึ่งยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราในสังสารวัฏฏ์นานแสนนาน ไม่เกิดอีกเลย ประโยชน์ไหมที่จะรู้ความจริง? หรือจะหลงว่าเป็น เราเกิด แล้ว เราก็ตาย และก่อนตายเราก็มีอะไรตั้งเยอะแยะ ถึงเวลาตาย ไหนล่ะของเรา? เพราะไม่มีเรา ก็มีของเราไม่ได้
~ พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความจริงคือเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ ในพระไตรปิฎก มีคำว่าพระธรรมคือพระสรีระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำส่องไปถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นพระกาย (พระสรีระ) ที่พระองค์ตรัส ให้รู้ว่าจะเห็นพระองค์ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรม
~ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้ชีวิตที่ดีขึ้น ก็เพราะมีความเข้าใจขึ้น ว่า ไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้เลย เพราะว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นเหตุ ย่อมเป็นปัจจัยทำให้เกิดธรรมซึ่งเป็นผล ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นผล ก็มีไม่ได้เลย
~ เสียหายอะไรที่จะพูดคำจริง เป็นประโยชน์หรือเปล่าที่จะให้คนที่ไม่รู้ คนที่ไม่ตรง ได้เริ่มพิจารณา ให้รู้ ให้ตรง เพื่อประโยชน์ คือ จากที่เคยเข้าใจผิด เคยหลงผิด เคยทำผิด ก็จะได้รู้ความจริง ว่า "ผิด" แล้วไม่ทำอย่างนั้นอีก
~ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลาย และความติดข้อง น้อยลง การเห็นโทษของอกุศลก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ปัญญาขณะนั้น ก็เกิดขึ้นเห็นโทษของอกุศล แล้วก็นำไปสู่ความดีทุกประการ
~ ธรรมมีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริง จึงทรงแสดงธรรม แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ด้วยเหตุนี้ คำที่พระองค์ตรัสแล้ว จึงเป็นพระธรรม มาจากพระโอษฐ์
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจริงแน่นอน แล้วก็ต้องสอนจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ด้วย คือ ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี
~ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ความเข้าใจพระธรรม เป็นประโยชน์สูงสุดยิ่งกว่าอย่างอื่นทั้งหมด
~ ที่ผิดกันทั้งโลกเพราะคิดเอง ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง แต่คิดเอง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ต้นต้องรู้ว่าคิดเองไม่ได้ ต้องเคารพจริงๆ ทุกคำ ต้องเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วเราคิดเองต่อ
~ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ชั่วคราว มีแล้ว ไม่มี ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตา นี่เป็นจุดเริ่มแรกของคำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไม่คิดเอง แต่ไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง มากขึ้นๆ ลึกขึ้น ละเอียดขึ้น

~ หน้าที่ของคนที่ได้เข้าใจพระธรรมและนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ให้ความรู้ความเข้าใจที่ได้เข้าใจแล้วแก่คนอื่น
~ เรามีพ่อแม่ให้เราเกิดขึ้น เราทำความดีต่อพ่อแม่ ใครที่ดีต่อเรา เราก็ทำดีต่อเขา เพราะฉะนั้น หน้าที่ที่เราได้รับความรู้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ให้คำสอนของพระองค์ แก่คนอื่นได้เข้าใจด้วย
~ เคยคิดบ้างไหมว่าควรเป็นกุศลเพิ่มขึ้น
~ เมื่อมีความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ สะสมกุศลและเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี ชีวิตประจำวันก็เป็นเครื่องแสดงว่าเข้าใจธรรมแค่ไหน ถ้ากุศลธรรมเกิดมาก อกุศลธรรมน้อยลง ก็แสดงว่ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น
~ อกุศล มากเหลือเกิน และวันหนึ่งๆ กุศลก็เกิดน้อย และถ้าใครไม่คิดที่จะเจริญกุศลแม้เพียงเล็กน้อย อกุศลก็เพิ่มขึ้น ยากต่อการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
~ ปัญญาความเข้าใจถูก จะทำให้ละเว้นอกุศล แล้วเมื่ออกุศลน้อยลง ก็สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ถูกต้อง
~ อกุศลมีมาก เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เป็นหนทางเดียว ที่ความเห็นถูกจะค่อยๆ เกิดเข้าใจสภาพธรรมที่มี จนกระทั่งสามารถที่จะละอกุศลไม่ให้เกิดได้ แต่ว่าไม่ใช่เป็นเราที่พยายาม
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลยทุกกาลสมัย ทุกอย่างแม้เดี๋ยวนี้ก็ตรงกับความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะว่าเมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ตรัสว่า ธรรม ลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อเราจะได้ฟังจะได้ไตร่ตรองได้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ ปัญญาที่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ฟังคำจริงจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว แล้วต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกของเราเอง นั่นคือ ประโยชน์
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง เปลี่ยนไม่ได้เลย ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จะเข้าใจผิด
~ ไม่ว่าเราเคารพใคร เราเคารพในคุณความดี เพราะฉะนั้น พุทธบริษัททุกคนฟังธรรม เมื่อเข้าใจแล้วจึงเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ยิ่งเคารพมากเท่านั้น
~ จริงๆ แล้ว ศรัทธาต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่ใช่ไปศรัทธาในนกหนูปูปลา เครื่องรางของขลัง เพราะศรัทธาต้องเป็นธรรมฝ่ายดีงาม ขณะนั้นจิตต้องผ่องใส ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ และไม่มีความหลงด้วย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสละอะไรที่เสด็จออกจากพระราชวัง? เพื่อใคร? แล้วภิกษุคือใคร? ถ้าไม่ใช่บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ขอประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ไม่ใช่ว่าใครอยากบวชก็บวชได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตให้เป็นไปตามจุดประสงค์ด้วยว่าบวชทำไม? ไม่บวชก็เข้าใจธรรมได้มิใช่หรือ?
~ ตาย หมายความว่าอะไร? หมายความว่า สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปสักหนึ่งขณะก็ไม่ได้ เกิดแล้วต้องตาย ดำรงความเป็นบุคคลนี้ตั้งแต่เกิดจนถึงขณะสุดท้าย ก็ตาย แต่ว่าระหว่างเกิดกับตาย มีแต่ละขณะ ขณะเห็นไม่ใช่ขณะได้ยิน เพราะฉะนั้น มีคำว่า ขณิกมรณะ (ตายทุกขณะ) ตายเหมือนกัน ดับไปไม่กลับมาอีกเลยเหมือนกัน สูญ หรือ สุญญตา (ว่างเปล่า) เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เอง ทุกคำคือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๙



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 6 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 6 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 6 มี.ค. 2565

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส


ความคิดเห็น 4    โดย มังกรทอง  วันที่ 6 มี.ค. 2565

สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่า ได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 5    โดย Jans  วันที่ 6 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย panasda  วันที่ 7 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Lai  วันที่ 7 มี.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย มังกรทอง  วันที่ 7 มี.ค. 2565

ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้ชีวิตที่ดีขึ้น ก็เพราะมีความเข้าใจขึ้น ว่า ไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้เลย เพราะว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นเหตุ ย่อมเป็นปัจจัยทำให้เกิดธรรมซึ่งเป็นผล ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นผล ก็มีไม่ได้เลย กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 9    โดย Sea  วันที่ 7 มี.ค. 2565

อกุศลมีมาก เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เป็นหนทางเดียว ที่ความเห็นถูกจะค่อยๆ เกิดเข้าใจสภาพธรรมที่มี จนกระทั่งสามารถที่จะละอกุศลไม่ให้เกิดได้ แต่ว่าไม่ใช่เป็นเราที่พยายาม


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย jaturong  วันที่ 7 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย มังกรทอง  วันที่ 7 มี.ค. 2565

ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่รู้จักธรรมเลย แต่ก็พูดคำว่าธรรมตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างทั้งหมด ไม่ว่าที่ไหน กาลสมัยไหน สิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีในทุกกาลสมัยและต่อไปข้างหน้าเป็นธรรมทั้งหมด

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 7 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 10 มี.ค. 2565

ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลาย และความติดข้อง น้อยลง การเห็นโทษของอกุศลก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ปัญญาขณะนั้น ก็เกิดขึ้นเห็นโทษของอกุศล แล้วก็นำไปสู่ความดีทุกประการ

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 14    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 11 มี.ค. 2565

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส


ความคิดเห็น 15    โดย Kalaya  วันที่ 25 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนา สาธุที่ได้อ่านค่ะ...การละคลายความไม่รู้ ไม่โกรธ ไม่โลภ ยากมากที่จะรู้ได้ ปรากฏแล้วทุกขณะ มีปัญญาเข้าใจได้เท่าไหร่ก็ได้จากการฟังธรรมและสนทนาธรรมบ่อยๆ เป็นปัญญานำกิจทั้งปวง ไม่ใช่เรา