สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอโทษท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ ที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ คือผมหนีมาจาก Web เพี้ยนๆ เวปหนึ่งน่ะครับ ไม่ขอเอ่ยนามเวปก็แล้วกันนะครับ ผม "จริงๆ อ่ะ" ตัวจริง เสียงจริงครับ ค่อยมีความสบายใจในการสนทนาหน่อยครับ ทนอึดอัดอยู่ตั้งนานเป็นปีแล้ว (ความรู้สึกช้าไปหน่อย) ก็เอาเป็นว่าเข้ามารู้จักกันไว้ก่อนนะครับ ผมชื่ออาร์ต มีความสนใจในธรรมะตั้งแต่เด็กแล้วครับ ค้นหามาตลอดว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ซึ่งตอนนี้ไม่แน่ใจว่าค้นพบหรือยัง ผมพบว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ลมหายใจ เข้าและออกอย่างช้าๆ น่าขันดีนะครับ .... ไม่รู้ว่าแต่ละท่านจะเห็นด้วยหรือเปล่า เอาเป็นว่าเข้ามาแนะนำตัวชื่อเล่นกันก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยสนทนากันต่อๆ ไป อยากให้ท่านแนะนำชื่อเล่น และนิยามความสุขของตนเองว่าอยู่ที่ไหน ... ดีไหมครับ
ขออนุโมทนาท่านผู้ชมที่มีความสนใจในธรรมะตั้งแต่เด็ก พระธรรมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก มีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ความสุขและความทุกข์เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ทั้งความสุขและความทุกข์ก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใด ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย เป็นอนัตตา การศึกษาธรรมเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาเกิดก็จะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา
พระผู้มีพระภาคฯ ประทานพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พุทธบริษัทย่อมถวายความนอบน้อมสักการะพระธรรมอันประเสริฐสุดของพระผู้มีพระภาคฯ ตามความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัย แม้ผู้ใดเห็นพระวรกายของพระองค์ ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์ หรือแม้ได้จับชายสังฆาฏิติดตามพระองค์ไป แต่ไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม ผู้นั้นก็หาได้เห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต
พระพุทธศาสนา คือ พระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ขั้น
๑. ขั้นปริยัติ ศึกษาพระธรรมวินัย
๒. ขั้นปฏิบัติ เจริญธรรมเพื่อบรรลุธรรมที่ดับกิเลสดับทุกข์
๓. ขั้นปฏิเวธ รู้แจ้งธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์
ชาวพุทธควรพิจารณาและศึกษาพระธรรม
พุทธศาสนานิกชนควรพิจารณาและศึกษาให้รู้ว่า ธรรมและความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นคืออะไร ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ต่างกับความจริงที่เราคิดนึกหรือเข้าใจอย่างไรบ้าง ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้เข้าใจและปฏิบัติตามจนเห็นความจริงนั้นๆ ก็คือสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏนั้น เป็นธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภท ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นได้ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความเสียใจ ความทุกข์ ความสุข ความริษยา ความตระหนี่ ความเมตตา ความกรุณา การเห็น การได้ยิน เป็นต้น ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมแต่ละชนิด สภาพธรรมแต่ละชนิดแต่ละประเภทนั้นต่างกัน เพราะเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆ กัน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวง
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งปวงแล้ว พระองค์ก็ทรงเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัทให้รู้ว่าสภาพธรรมทั้งปวงนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นปรมัตถธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างๆ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างๆ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมสภาพนั้นๆ ได้ ไม่ว่าใครจะรู้หรือไม่ก็ตาม ใครจะเรียกสภาพธรรมนั้นด้วยคำใดภาษาใด หรือไม่เรียกสภาพธรรมนั้นด้วยคำใดๆ เลยก็ตาม สภาพธรรมนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย สภาพธรรมใดที่เกิดขึ้นสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ดังที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมแก่ท่านพระอานนท์ว่า "สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา"
ขออนุโมทนาครับ