ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๖ - ๑๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานฯ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากคุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม
ที่ แม่กลอง มารีน่า รีสอร์ท ตำบลคุ้งน้ำวน อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
ข้าพเจ้าเพิ่งมาทราบเมื่อสักครู่นี้เอง เมื่อได้ค้นหาที่อยู่ในกูเกิ้ล เพื่อนำมาลงบทความนี้
ว่า รีสอร์ทแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
ข้าพเจ้า "คิดเอาเอง" มาตลอด ว่ารีสอร์ทแห่งนี้อยู่ที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
เพราะเหตุว่า ตามแผนที่และทางที่ได้ขับรถไปนั้น เข้าทางตลาดน้ำอัมพวา
และ อยู่ห่างจากตลาดน้ำอัมพวา เพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นเอง
นี้เป็นตัวอย่างของการที่บุคคล มัก "คิดเอาเอง" แม้ในเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
"คิดเอาเอง" จนเป็นอุปนิสัยที่เคยชินและเหนียวแน่น
เมื่อได้พบกับพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่มาจากการตรัสรู้ จากการประจักษ์แจ้งความจริงที่มีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ ด้วยพระปัญญา
ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนาน ถึงสี่อสงไขย แสนกัปป์ กว่าที่จะทรงตรัสรู้
และ ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดง "คำจริง วาจาสัจจะ" แก่ สัตว์โลก
แต่ด้วยอุปนิสัยของบุคคลที่สะสม เหนียวแน่นมั่นคง ที่จะ "คิดเอง"
เมื่อได้ฟัง "คำ" ของพระองค์แล้ว แทนที่จะเพียง "ฟังและเข้าใจ" ในสิ่งที่ทรงแสดง
บุคคลก็ชอบที่จะ "คิดเอาเอง" ว่าพระธรรม ที่ทรงแสดง จะเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้
โดยไม่เพียงฟังและพิจารณา ในสิ่งที่ทรงแสดง ด้วยความเคารพ แยบคาย และไม่เผิน
และ ด้วยความเข้าใจที่มั่นคงว่า พระธรรม ไม่ง่าย ที่จะเข้าใจ
ต้องอาศัยความอดทน และ ความเพียร ที่จะฟังแล้ว ฟังอีก ฟังแล้ว ฟังอีก
ฟัง ฟัง ฟัง และ เข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟัง
เมื่อไม่เข้าใจ ก็ฟังอีก และ ฟังอีก
ความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย จากการฟังและเข้าใจนี้ จะสะสมไปจนมีกำลังขึ้น
วันหนึ่ง ทุกท่านจะรู้ได้ด้วยตนเองถึงความสุขที่แท้จริง ที่บุคคลทั้งสากลจักรวาลแสวงหา
เมื่อได้มีความเข้าใจธรรมะขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย นิดหน่อยก็ตาม
และ ศรัทธาของบุคคล ย่อมมั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น จากความเข้าใจขึ้น ทีละน้อยๆ นั้นเอง
ทั้งรู้ว่า "นี้เป็นหนทางเดียว" ที่บุคคลจะน้อมไปสู่ความพลัดพรากจากกิเลส
ได้อย่างหมดสิ้น ได้อย่างแท้จริง
ไม่มีหนทางอื่น
ไม่ใช่หนทาง ที่บุคคลจะ "คิดเอาเอง" ได้เลย
ข้าพเจ้าได้ทราบจากพี่เผ่าทิพย์ ว่าคุณจักรพันธ์ ลูกชายของเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้
เป็นเพื่อนร่วมคอนโดมิเนียม ที่พี่เผ่าทิพย์พักอาศัยอยู่ แถวๆ ถนนเจริญนคร ที่กรุงเทพฯ
ไม่ไกลจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
และ ด้วยความที่รีสอร์ทแห่งนี้ อยู่ในทำเลที่ดีมาก เงียบสงบ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ
พี่เผ่าทิพย์จึงเลือกที่จะใช้ที่นี่ เป็นสถานที่สำหรับการเจริญทานกุศลอันสำคัญยิ่งในครั้งนี้
การเข้าพักของคณะฯ ในครั้งนี้ พี่เผ่าทิพย์ได้จองห้องพักทั้งหมดของรีสอร์ท
ซึ่งที่พักภายในรีสอร์ท แบ่งเป็นส่วนที่เป็นวิลล่า จำนวน 8 หลัง และ ส่วนที่เป็นอาคารริมน้ำ
ซึ่งมีห้องพักวิวแม่น้ำ เพียง 5 ห้อง เท่านั้น จึงรับผู้เข้าพักได้เพียงจำนวนจำกัด
ทำให้รีสอร์ทแห่งนี้ มีความเป็นส่วนตัวที่ดีมากๆ มีความสะดวกสบายต่างๆ ครบครัน
มีห้องอาหารที่โปร่งโล่ง มองเห็นวิวแม่น้ำกว้างไกล ชัดเจน ให้บรรยากาศที่สดชื่นมากๆ
มีเรือนำเที่ยวและเรือเร็ว ไว้ให้บริการนำเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน
การให้บริการก็เรียบร้อย ดีมากครับ สถานที่และห้องพัก สะอาด ได้มาตรฐานดีมาก
ที่สำคัญ คุณจักรพันธ์ ลูกชายของท่านเจ้าของรีสอร์ท อยู่คอยดูแลการให้บริการต่างๆ
ด้วยตัวท่านเองตลอดทั้งสองวันเลยครับ ทั้งท่านยังได้ร่วมฟังและร่วมสนทนาธรรมด้วย
ท่านเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพและเป็นกันเองมากๆ ครับ
และที่สำคัญ การเข้าพักของคณะของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ เป็นเหมือนแขกคนพิเศษ
ซึ่งท่านเจ้าของรีสอร์ท ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ห้องโถงส่วนตัว ริมน้ำหน้าบ้านของท่าน
เป็นที่สนทนาธรรม ตลอดทั้งสองวัน เป็นความกรุณาอย่างยิ่งครับ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่าน มา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปถึง ก็เป็นเวลาราวๆ เที่ยงพอดี ตามที่พี่เผ่าทิพย์ได้แจ้งไว้
ให้ทุกคนมารับประทานอาหารกลางวันพร้อมๆ กัน ก่อนการสนทนาธรรมในตอนบ่าย
และ ทราบจากพี่เผ่าว่า ท่านอาจารย์ กำลังไปดูสถานที่ ที่จะใช้สนทนาธรรม
ข้าพเจ้าเดินตามไป ก็ได้เห็นท่านอาจารย์ยืนสนทนาอยู่กับพี่ปริญญาและพี่เบญฯ
พร้อมสหายธรรมท่านอื่นๆ ทราบภายหลังว่า มีเพื่อนของพี่สุกัญญาด้วยอีกสองท่าน
(ทีแรก ข้าพเจ้าคิดว่าท่านทั้งสองเป็นเจ้าของรีสอร์ทเสียอีกครับ "คิดเอง" อีกแล้ว)
ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้วครับ
อย่างที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) เล่าไว้ใน...
บันเทิงในธรรม ... ที่แม่กลอง
ว่า มีหลายท่าน ที่ได้นำของรับประทาน มาร่วมเจริญกุศลด้วยในครั้งนี้
เช่น พี่เจี๊ยบ (รัชนีวรรณ บุญชู) นำน้ำมะพร้าวอ่อนแท้ๆ ของสมุทรสงคราม มาจำนวนมาก
รสชาติ หอมหวาน คลายร้อน สดชื่นดีมากๆ ครับ มีปลาหมึกพร้อมน้ำจิ้มด้วย
ได้รับประทานหลังสนทนาธรรมเสร็จในตอนเย็น พร้อมน้ำมะพร้าว สวรรค์แม่กลองจริงๆ
ไม่มีใครเกรงกลัวคอเลสเตอรอลกันเลย ทั้งหยิบ ทั้งหนีบไว้ไปทานต่อที่ห้องอีกด้วย
ท่านอื่นก็มี คุณพิมพา (เจ้าเก่า) จากท่ายาง คราวนี้นำข้าวฟ่างเปียก (เรียกถูกไหมนี่?) มา
ทุกท่านคงรู้ชะตากรรมดีนะครับ หมดเกลี้ยงหม้อใหญ่ ภายในเวลารวดเร็ว ยิ่งกว่ากามนิตหนุ่ม
และ นอกจากคุณยุพิน ที่นำทองม้วนอินเตอร์มา ก็ยังมีคุณพี่ขจร ที่ ทำขนมน่ารักมาก
เป็นรูปนกปากแดงๆ มาให้รับประทาน และ อีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าอยากที่จะบันทึกไว้
คือ ความศรัทธาและความสามารถของพี่ขจร กล่าวคือ เมื่อหลายเดือนก่อน
ที่มีการจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัยที่มูลนิธิฯ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของคุณย่าสงวน
พี่จิ๋มและลูกๆ ได้จัดทำดอกไม้เป็นรูปนกยูง สวยงามมากๆ พี่ขจรขอให้ข้าพเจ้าอัดรูป
ที่มีภาพท่านอาจารย์นั่งอยู่ด้วย พี่ขจรบอกว่า จะนำไปไว้ที่หัวนอนของพี่ขจรเอง
มาวันนี้ พี่ขจร ใส่เสื้อที่พี่ขจรถัก ด้านหลัง เป็นรูปนกยูงแสนสวย
นี้เป็นตัวอย่างของความสามารถพิเศษของศิษย์ของท่านอาจารย์ ซึ่งมีหลากหลายจริงๆ
และ ที่ลืมกล่าวเสียมิได้ คือ พี่หมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ที่นำเมี่ยงคำที่อร่อยที่สุดในโลก ที่ท่านทำเอง มาให้ทุกๆ ท่านได้รับประทานแบบไม่อั้น
สนุกสนานมากครับ เพียงที่พี่หมอนำมาวางบนโต๊ะ หลังสนทนาธรรมเสร็จ
ระหว่างที่รอทางรีสอร์ท เตรียมอาหารเย็น (พี่หมอนำมาเยอะมากจริงๆ ครับ)
ทุกๆ ท่าน ที่รู้กิตติศัพท์ความอร่อย ต่างมายืนรุมล้อม วนเวียนไม่ห่างเลย
เมี่ยงคำ เป็นของที่เมื่อเริ่มคำแรกแล้ว คำต่อๆ ไปหยุดได้ยากครับ
จนข้าพเจ้ากล่าวติดตลกว่า คราวหน้า ทางรีสอร์ทคงติดป้ายห้ามพี่หมอนำเมี่ยงคำเข้ามา
เพราะว่า ทุกๆ ท่านรับประทานเมี่ยงคำของพี่หมอ จนแทบไม่เหลือที่ว่างในท้อง
สำหรับอาหารมื้อเย็นเลยทีเดียว นี่คือเรื่องจริงนะครับ ไม่ได้โม้
และที่ท่านเห็นในภาพ ที่พี่หมอนำถาดเมี่ยงคำมาด้วย จำนวนของเครื่องต่างๆ ไม่ได้มีแค่นี้
พี่หมอแยกใส่ถุงแต่ละอย่างๆ มาหลายถุงมาก และ ค่อยๆ ทยอยเทออกมา
ด้วยความละเอียดของพี่หมอว่า หากเทออกมาคราวละมากๆ ถั่วและมะพร้าว จะไม่กรอบ
รวมถึงกลิ่นของเครื่องต่างๆ ก็จะไม่หอมหวน ชวนรับประทาน หากทิ้งไว้นานๆ
ผู้ศึกษาธรรม ย่อมเป็นผู้ที่มีความละเอียดจริงๆ ครับ
อันที่จริง มานึกๆ ดูแล้ว
ข้าพเจ้าว่า น่าจะเปลี่ยนจากชื่อ "เมี่ยงคำ" เป็น "เมี่ยงแก้มตุ่ย" มากกว่านะครับ
เพราะทุกคนที่รับประทาน แก้มจะตุ่ย ออกมาจนเห็นได้ชัด ^^
ทั้งนี้ ยังมีท่านอื่นๆ อีก เช่นคุณแอ๊ว (นภา) ที่นำเห็ดหอมผัดหนำเลี้ยบแสนอร่อยมา
พี่สุภาพรรณ นำมะนาวโซดาเปรี้ยวซ่าส์สะใจ มาให้ท่านอาจารย์รับประทาน
รวมทั้งท่านที่ตื่นไปตลาดแต่เช้า นำน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และ ขนมครก มาให้รับประทาน
เป็นความอบอุ่น ชื่นบาน ที่ยากที่จะหาที่ใดเสมอเหมือนได้
เฉพาะผู้ที่ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น หาไม่แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ย่อมมีไม่ได้เลย
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านเจ้าภาพ คือ พี่เผ่าทิพย์ มอนเทนดอน เป็นอย่างยิ่งครับ
ที่ได้จัดให้สหายธรรมทุกๆ ท่าน ได้มีโอกาสอันแสนวิเศษอย่างยิ่งนี้
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ที่มีค่าจริงๆ ครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความบางตอนของการสนทนา ในตอนเช้าของวันที่สอง
ซึ่งเริ่มจากการที่อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้สนทนาสอบถามกับพี่เบญจมาศ
ถึงเรื่องที่ได้สนทนากันเมื่อวานตอนบ่าย ว่ามีความเข้าใจหรือมีสิ่งใดที่อยากจะสนทนาวันนี้
ซึ่งก็ขอเรียนให้ทุกๆ ท่านได้ทราบ ถึงความเมตตาอันยิ่งของท่านอาจารย์
ที่มีต่อพี่เบญฯ ในระยะนี้ ที่จะสนทนากับพี่เบญแทบจะคนเดียว
ในเวลาตลอดภาคบ่ายของเมื่อวาน และ ในเช้าวันนี้ ท่านก็ได้สนทนากับพี่เบญฯ อีก
เมื่อใกล้เริ่มการสนทนาในเช้าของวันที่สอง ข้าพเจ้าเห็นพี่เบญฯ นั่งลงกับพื้น
แล้วพนมมือไหว้ท่านอาจารย์อยู่นานมาก
จากนั้นเห็นพี่เบญฯ ก้มลงกราบที่เท้าท่านอาจารย์
เป็นภาพแห่งความปีติอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นภาพที่น่าประทับใจนี้
ทั้งข้าพเจ้าได้เห็นดวงตาของพี่ปริญญาที่แดงก่ำ มีน้ำตาที่เอ่อล้น เปี่ยมไปด้วยความปีติ
ขออภัยที่จะกล่าวว่า แอบเห็นพี่ปริญญา หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแห่งความปีตินั้น
ที่เอ่อล้นออกมาด้วยความปีติ ในความรู้สึก ระลึกในพระคุณของท่านผู้มีเมตตาอันยิ่ง
ของท่านผู้มีนามว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ข้าพเจ้ารับรู้ได้ ถึงคำว่า เป็นผู้ที่มีศีลเสมอกัน
อันบุคคล ที่ได้พบกับพระธรรมคำสอนในชาตินี้ ย่อมปรารภถึง
จะมีสิ่งใดที่น่าจะยินดีไปกว่า การที่กัลยาณมิตร ได้อยู่ร่วมกันด้วยดี ด้วยความเป็นมิตร
เป็นเพื่อนที่แท้จริง ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน เมตตากัน เกื้อกูลกัน ด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุด
ด้วยสิ่งอันเลิศที่สุด อันไม่มีสิ่งใดจะเทียบค่าได้ นอกจากการได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณา แสดงไว้
อนึ่ง แม้ว่าจะมีช่วงที่ข้าพเจ้าเห็นว่าดีมากๆ ในตอนอื่นๆ ด้วยก็ตาม เช่น ตอนที่พี่หมอทวีป
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ เรื่อง จิตก่อนจุติจิต ที่จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด
เรื่อง ภาวนา ๔ อย่าง คือ สัพพสัมภารภาวนา ๑ นิรันตรภาวนา ๑ จิรกาลภาวนา ๑
และ สักกัจจภาวนา ๑ ซึ่งท่านอาจารย์กล่าวโดยละเอียด ไพเราะอย่างยิ่ง
รวมถึงเรื่องมงคล บางตอน ที่มีความไพเราะ ซาบซึ้งใจข้าพเจ้ามาก
อยากจะถอดความลงให้ท่านได้อ่าน แต่พบว่า แค่เท่าที่นำลงนี้ ก็ยาวมากๆ แล้ว นะครับ
ท่านที่สนใจ เข้าใจว่าทางมูลนิธิฯ จะมีวีดีโอที่ได้ถ่ายทำไว้โดยละเอียดจำหน่ายที่มูลนิธิฯ ครับ
รวมถึงเรื่องของนิพพาน ที่คุณจักรพันธ์ ลูกชายของท่านเจ้าของรีสอร์ท กราบเรียนถาม
แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ข้อความที่ท่านอาจารย์สนทนากับพี่เบญฯ ในเรื่องที่เป็นการ "เริ่มต้น"
จะเป็นประโยชน์โดยต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว ที่บ้านของคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ)
จึงขออนุญาตคัดเพียงตอนดังกล่าว มานำเสนอให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา
เพราะเหตุว่า แม้สำหรับผู้ที่เคยฟังมานานแล้วก็ตาม การได้ฟังพระธรรมในทุกๆ ครั้ง
ก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง ด้วยเช่นกัน
สำหรับท่านที่สนใจความในตอนที่แล้ว สามารถคลิกได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๑๑ ก.ย. ๒๕๕๗
อนึ่ง สำหรับท่านผู้ใหม่ ที่คิดถึงคำว่า วิปัสสนา หรือคำว่า สติปัฏฐาน หรือแม้คำว่า สติ
เมื่อได้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในทุกคำที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาแล้ว บ่อยๆ เนืองๆ
ท่านจะทราบได้ด้วยตนเอง ถึงความที่จะคลายออกจากความสงสัยใน "คำต่างๆ " ดังกล่าว
และ จะทราบได้ด้วยตนเองว่า "ทุกคำ" ที่ท่านอาจารย์กล่าว
ไม่มีคำไหนเลย ที่จะออกไปจาก "หนทางอันเอก" ซึ่งเป็นหนทางเดียว (คือ สติปัฏฐาน)
ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั้น
ไม่มีหนทางอื่น
ย้ำว่า "ไม่มีหนทางอื่น" ครับ
พี่เบญฯ กราบท่านอาจารย์ค่ะ จากที่เมื่อวานนี้ ได้ฟังอาจารย์อธิบาย
เรื่อง ให้รู้จักธรรมะ เสียก่อน ว่า ธรรมะ คือ อะไร?
ซึ่งเมื่อก่อน ยังไม่เข้าใจ ได้แต่พูดว่า ธรรมะ แต่ยังไม่เข้าใจ ว่าหมายความว่าอะไร
คิดว่า ได้เข้าใจในระดับหนึ่งแล้ว แล้วก็ ได้เรียนรู้ เมื่อวานนี้ อาจารย์ได้เมตตาอธิบาย
เกี่ยวกับ จิด เจตสิก ซึ่งมีความไม่เข้าใจ อาจารย์ได้อธิบาย พอเข้าใจ
ใช้คำว่า "พอเข้าใจ" นะคะ
เมื่อคืนนี้ ก่อนเข้านอน ก็เลยออกมานั่งที่นอกชาน (ระเบียง)
จะทดสอบที่ได้ฟังอาจารย์อธิบายมา ว่าเราได้เข้าใจมากน้อยแค่ไหน? ก็นั่งที่นอกชาน
แล้วก็มองไปที่แม่น้ำ มีแสงไฟฝั่งตรงข้าม มีผักตบชวาลอยอยู่
อาจารย์บอกว่า จิต หรือ ธาตุรู้ คือ ตัวเดียวกัน
จิต แต่ละขณะ จะเกิดพร้อมกันไม่ได้
"เห็น" ก็คือ "จิตเห็น"
"ได้ยิน" ก็คือ "จิตได้ยิน"
ที่นี้ จะลองทดสอบ ก็มองลงไปในแม่น้ำ เห็นแสงไฟฝั่งตรงข้าม มีเงาอยู่ในน้ำ
เผอิญห้องข้างๆ มีเสียงแอร์ด้วย กำลังจะทดสอบว่า
จริงหรือ ที่จิตเกิดแค่ครั้งเดียว คือ รู้อย่างเดียว
จะรู้พร้อมกัน เกิดสองดวงพร้อมกัน ไม่ได้
เอ...หูเรา ก็ได้ยินเสียงแอร์ ตาก็มองอยู่ ได้ยินด้วย
ขอโทษนะคะ จะทำอยู่อย่างนี้นานเลยค่ะ
เห็นไหม? เห็น ได้ยินไหม? ได้ยิน แล้วมันพร้อมกันไหม?
เอ...ยังไม่ได้อีก เห็นไหม? ถามอีก เห็นไหม? เห็น ได้ยินไหม? ได้ยินเสียงแอร์
เห็นไหม? ไฟ เห็น มันเกิดพร้อมกันหรือ? ไม่ได้อีก....เอ.....อย่างไง?
แสดงว่า เลยสรุปเอา ว่า จากจิตอันนี้เกิดแล้วดับ แล้วดวงใหม่เกิด
มันเร็วถึงขนาด เราไม่สามารถจับเขาได้ และดับจากที่เราเห็นมาได้ยิน มันติดกันแนบแน่น
เราไม่สามารถจับ ช่วงที่มันเปลี่ยนจากเห็นมาได้ยินได้เลย ช่วงจิตเก่าดับ จิตใหม่เกิด
เพราะฉะนั้น ทำไมที่อาจารย์อธิบายเมื่อวาน ว่า
อภิธรรม เป็นความลึกซึ้ง ยากต่อการที่จะเข้าใจ นอกจากเป็นผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น
ซึ่งเมื่อก่อน ยังไม่เคยได้นึกถึงตรงนี้เลย เราไปคิดเรื่องอะไรที่มันมากมาย
แต่แค่เรื่อง เห็น กับ ได้ยิน เรายังไปถึงไหนไม่ได้เลย มันเร็วถึงขนาดเราจับมันไม่ได้
ว่าเห็น ก็เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ ก็เห็นอยู่ แสงไฟอยู่ในน้ำ แอร์ก็ได้ยิน
แต่มันเป็นจิตคนละดวง
ก็คือ อันนี้ ที่เอาไปทดสอบเมื่อคืน แล้วก็มีคำถาม ขอความเมตตาอาจารย์ช่วยอธิบาย
เรื่อง "สติ" คือ เท่าที่ได้ยินมาก็คือ รู้ตัวทั่วพร้อม มีสติ
ก็เลยไปเข้าใจว่า สติ กับ จิต คือ เรารู้กระทบนั่น กระทบนี่ มันเป็นจิต หรือ เป็นสติ
สติ คือ ตัวไหน? กราบเรียนถามอาจารย์ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะว่า คุณเบญฯ ฟังแล้ว "คิดต่อ" ยาว.....ด้วยตัวเอง...
แล้วก็ยังคิดถึงคำว่า "สติ" ด้วย
แล้วก็ไปรวมกับการที่ ขณะนี้ มีการ "รู้แข็ง"
เพราะฉะนั้น เป็นสติ หรือเปล่า? หรือ สติอยู่ที่ไหน? สติคืออะไร? ใช่ไหม?
อันนี้ เป็นการ "ข้ามขั้น"
เพราะว่า จริงๆ แล้ว แม้แต่คำที่เราได้ยิน แล้วก็เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงแน่นอน
ถ้าเราไม่ใช้คำว่า "สิ่งที่มีจริง" เราใช้คำว่า "ธรรมะ" ก็ได้ ใช่ไหม?
แม้ว่า เราจะพูดว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ
เราก็ยังไม่รู้จัก "ตัวจริง" ของธรรมะ
เพราะว่า ธรรมะ เกิดแล้วดับ เร็วมาก ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น อันไหนล่ะ ที่ว่าเรารู้จริง?
เราเพียงแต่ฟัง "เรื่องเห็น" ฟัง "เรื่องได้ยิน" ฟัง "เรื่องผักตบชวา" ฟัง "เรื่องแม่น้ำ"
แต่ว่า ยังไม่ได้มี "ความเข้าใจ" ตามลำดับ
เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพยายามที่จะไปจับ ไม่มีทางสำเร็จ
ไปจับสักร้อยปี แสนนึง กี่โกฏฏ์ กี่ขณะ กี่ชาติ ก็ตามแต่
ไม่สำเร็จ
เพราะเหตุว่า "ต้องเป็นความเข้าใจ"
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ คำพูดที่ว่า "เห็น กับ ได้ยิน"
แยกไม่ออก ติดกันแน่น เนียนมาก
แม้แต่จิตเห็น ดับไปแล้วเมื่อกี้นี้ กับจิตเห็นขณะนี้ ก็ไม่ใช่จิตขณะเดียวกัน
คนละขณะ แต่ว่า ทำหน้าที่ "เห็น" เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลย ที่ "ตัวตน" หรือ "เรา" จะไปจับ
แต่ความเข้าใจถูก ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
จนกว่า จะสามารถรู้ความจริง เป็นพระอริยบุคคล
เพราะฉะนั้น จากความเป็นปุถุชน ซึ่งไม่รู้อะไรเลย
เพิ่งจะมีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ
แต่ก็ยัง "สลัว" มาก
แม้แต่ว่า ขณะนี้ ทุกสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ ก็ยังหาไม่ได้
ว่าอะไรหรือ? เดี๋ยวนี้ โต๊ะหรือ? กระเป๋าหรือ? คนหรือ? หรืออะไร?
ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะรู้ เพราะ ยังไม่ละ ความไม่รู้
ความไม่รู้ ยังหนาแน่นมาก
ความรู้แค่นี้ ถ้าใครสามารถรู้อย่างนั้นได้ ก็ใกล้ที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล
พระธรรมคำสอน ก็จะไม่ลึกซึ้งเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น
แต่ลึกซึ้ง คือ ทั้งๆ ที่ สิ่งนี้ กำลังเผชิญหน้า
แต่ก็ไม่ได้เข้าใจ ตามความจริง
ว่า "ลักษณะ" แท้ๆ ของสิ่งที่มีแต่ละอย่าง ต่างกัน
เพราะว่า สภาพธรรมะ ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิด ไม่เหมือนกัน
อย่าง "เห็น" ต้องมี "รูปพิเศษ" ที่ตัว ไม่ใช่ที่อื่นใช่ไหม?
ที่ตัวทุกคน
มี "รูปพิเศษ" ที่สามารถ "กระทบ" กับ "สิ่งที่กำลังปรากฏ"
ถ้าไม่มี "รูป" นี้ โต๊ะไม่มีตา (จักขุปสาท) ไม่มีรูปนี้
ยังไงๆ ก็ไม่มีอะไรจะไปกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ
นี่คือ ปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ "จิต-ธาตุรู้" เกิดขึ้น "เห็น" เพราะการ "กระทบกัน"
ถ้าคนไหน ตาบอด คนอื่นเขา ตาดี สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กระทบตาเขา
เพราะตาเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย
ตา ก็เกิดดับ สิ่งที่กระทบ ก็เกิดดับ แสนสั้น
แต่ก็เป็นปัจจัย ให้จิต เกิดขึ้น "เห็น" ได้ แล้วก็ดับไป
นี่คือ ความลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ฟังธรรมะผิวเผิน
แล้วก็พยายาม ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะเข้าใจ หรือว่า ที่จะจับการเกิดดับ
ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะเดี๋ยวนี้!!! เกิดดับ เร็วอย่างนั้น!!!
แต่ต้องอาศัย ความเข้าใจ ทีละล็ก ทีละน้อย
ด้วยความมั่นคง
ว่า "เห็น" ต้องไม่ใช่ ขณะที่ "ได้ยิน" แน่นอน
ขณะ "เห็น" ต้องอาศัยตา อาศัยสิ่งที่กระทบตาได้ แล้วก็ อาศัยกรรม ที่ได้ทำแล้วด้วย
ถ้าหมดกรรม เป็นพระอรหันต์ ปรินิพพาน ไม่ต้องเห็นอีกเลย
ไม่ต้องมีตา หู ไม่ต้องมีรูปอะไรทั้งสิ้น
แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
เมื่อวานนี้ ก็หมดไปแล้ว บังคับไม่ให้หมดไป เป็นเมื่อวานนี้ ไม่ได้
วันนี้ ก็ไม่ใช่เมื่อวานนี้ แต่ก็มีปัจจัย ที่จะทำให้เกิด
พรุ่งนี้ ก็มาอีกแล้ว
ต่อไปเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ไม่สิ้นสุด เพราะยังมีปัจจัย ที่ทำให้สภาพธรรมะ
เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ ไปเรื่อยๆ
ด้วยความไม่รู้
เพราะฉะนั้น เราก็ต้อง ค่อยๆ เข้าใจว่า คำว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง
ก็กำลังมี
แล้วก็ ความไม่ใช่ตัวตน ก็คือว่า สิ่งนี้เกิด โดยเหตุ โดยปัจจัย
ใครก็ไปทำให้เกิดไม่ได้
ถ้าไม่มีตา "เห็น" ก็เกิดไม่ได้
ไม่มีโสตปสาท "ได้ยิน" ก็เกิดไม่ได้
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบันดาลให้สิ่งใดเกิด
แต่ทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งที่เกิด ละเอียดยิบ ว่า "สิ่งนั้น" เกิดขึ้นเพราะอะไร?
เพราะฉะนั้น การที่สิ่งนั้น จะไม่มีต่อไป ไม่เกิดอีกต่อไป ก็ต้อง "ดับเหตุ"
แต่ "เหตุ" เกิดเพราะ "ความไม่รู้" ทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ กว่าจะมีความเข้าใจขึ้น "ก็ไม่ใช่เรา"
"ไปคิดเอง"
การไปคิดเอง เสียเวลา
แต่อย่างที่คุณเบญฯ คิดถึงแม่น้ำ ไม่เสียเวลา
เพราะเหตุว่า กำลังสนใจ ข้อความที่ได้ยิน และ อยากเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นไปได้หรือ?
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรา เป็นตัวตน พยายามจะไปแยก
แต่ "เริ่ม" พิจารณา "เห็น"
ว่า ขณะที่ เห็น ต้องไม่มี ได้ยิน
ขณะที่เสียงปรากฏ เฉพาะจิต ที่ กำลังรู้เสียง ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา
ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรเลย
เพราะเหตุว่า ธาตุรู้ เกิดขึ้น เพื่อรู้ สิ่งที่กระทบ
ปรากฏ แล้วดับ
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เป็นอย่างนี้!!!
อีกนาน กว่าเราสามารถที่จะรู้ความจริงได้
ด้วยปัญญา ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ถ้าเราฟังเพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่ฟังต่อไป ไม่มีทาง
ก็เพียงแต่ได้ยิน ได้ฟังมา
แล้วก็ขาดปัจจัย ที่จะทำให้ สามารถเกิด "สติสัมปชัญญะ" ที่คุณเบญฯ ถาม
เพราะฉะนั้น ได้ยินแต่ชื่อ แล้วบางคนก็ฝันเลย
อยากจะให้ "สติ" มีมากๆ ใช่ไหม?
แต่ไม่รู้ว่า "สติ" คือ อะไร?
เหมือนอย่างนี้ ไปที่ไหน มายังไงก็ตามแต่ ได้ยินคำว่า "สติ"
บอกให้ "ทำสติ" บอกให้ "ใช้สติ"
มันก็เป็นไปไม่ได้
เพราะเหตุว่า สติไม่เกิด เพราะไม่มีปัจจัย
จะทำอย่างไรให้สติเกิด?
ใครก็ "ทำ" ไม่ได้!!!
คนตาบอด ทำอย่างไรให้เห็นได้
ก็ไม่มีทาง!!!
คนที่ไม่มีความเข้าใจ ไปให้สติเกิด ที่จะรู้ความจริง
ก็เป็นไปไม่ได้!!!
เพราะฉะนั้น พระธรรม ทุกคำ เป็นสิ่งที่มีจริง
และ ทรงแสดงเหตุของแต่ละอย่าง ที่ทำให้สิ่งต่างๆ ขณะนี้ ปรากฏ เป็นอย่างนี้
ต้องมีทั้ง "จิตเห็น" มีทั้งสภาพ "เจตสิก ที่ จำ" ต้องมีทั้ง "คิดนึก" ถึงรูปร่างสัณฐาน
แล้วก็ยังรู้อีกสารพัดอย่าง
ที่ชีวิต ดำเนินไปแต่ละขณะนี้ เพราะ "หนึ่งขณะจิต" เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
แล้วก็ "สืบต่อ"
แต่ว่า เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นกุศลและอกุศล ด้วยความจำ
ไม่ว่า จะเป็นในเรื่องการปลูกต้นไม้ ในการทำอาหาร ในการเย็บผ้า ในการเขียนหนังสือ
หรือ อะไรทั้งหมด
ถ้าไม่มีสภาพเจตสิกที่ "จำ" จิตนี้ ทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหม? นอกจาก เห็น
แล้วจิตก็เกิด (อย่างเดียว) ไม่ได้ ตามความเป็นจริง
ต้องมีสภาพของเจตสิก อย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท เกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้น "ฟัง" นะคะ
"สาวก" คือ "ผู้ฟัง"
ไม่ใช่ฟัง ด้วยไม่เข้าใจ ไม่ใช่ฟัง ด้วยขาดศรัทธา
แต่ "ฟัง" เพราะรู้ว่า สิ่งที่ปรากฏ ในขณะนี้ มีผู้ที่รู้แจ้ง แล้วก็ ดับความไม่รู้
ซึ่งเป็นมูลเหตุให้เกิดกิเลสทุกชนิด
โลภะ ความติดข้อง เกิดขึ้น ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
แค่ "คำเดียว" ใช้เวลานานไหม?
เราได้ยินกันมาเป็นเดือน แล้วก็หลายเดือนด้วย
"สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้"
"เสียง" ปรากฏให้ "เห็น" หรือเปล่า?
คุณเบญฯ ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่มี แต่ไม่ได้ปรากฏให้ "เห็น"
"กลิ่น" ล่ะคะ? ปรากฏให้ "เห็น" ได้ไหม?
คุณเบญฯ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ รส?
คุณเบญฯ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ คิด?
คุณเบญฯ "คิด" ปรากฏให้เห็นได้ไหม? ไม่ได้
ท่านอาจารย์ จำ?
คุณเบญฯ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ชอบ?
คุณเบญฯ ไม่ได้
คุณเบญฯ ไม่ชอบ?
คุณเบญฯ ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ด้วยความเข้าใจนี้ จึงรู้ว่า
ในบรรดาธรรมะทั้งหมด ไม่ว่าในอีต ปัจจุบัน อนาคต นานแสนนานมาแล้ว
ไม่ว่าพรหมโลก เทวโลก หรือโลกไหนๆ
สิ่งที่เป็นสิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏให้เห็นได้ มีสิ่งเดียว
คือ สิ่งที่กำลังปรากฏนี้แหละ
"เป็นหนึ่ง" เท่านั้น
"อย่างอื่น" ไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้เลย
นี่คือ "ธรรมะ"
เป็นความจริง ถึงที่สุด ปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรมด้วย
เพราะฉะนั้น เราต้องตรงต่อการที่เราเคยเข้าใจแต่ละคำ
ด้วยความไม่ลืม
แล้วยังไตร่ตรอง แล้วเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก
เช่น เพียงคำว่า "เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
ได้ยินเป็นภาษาไทย รู้ว่า หมายความว่าอะไร แต่ ธาตุที่มี ที่เกิดขึ้น จึงกระทบตา
แล้วจิตเห็นเกิด จึงปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้
นี่คือ "โลก" ในพระธรรมวินัย ในคำสอน ของพระพุทธเจ้า
เพราะว่า ถ้าไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
โลกก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี
แต่เมื่อมี มีสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่เดือดร้อน
แข็งก็แข็งไป เย็นก็เย็นไป
แต่ว่า ใครจะห้าม ไม่ให้เกิด ไม่ได้
"เสียง" ใครห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น จะไม่ให้มี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้
เพราะ ความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ก็มีธรรมะ ซึ่งไม่รู้อะไรเลย เช่น "เสียง"
แต่ก็มี "ธาตรู้" ซึ่งเกิดขึ้น "ได้ยินเสียง"
มี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น "รู้แข็ง"
มี "ธาตุรู้" ที่เกิดขึ้น "เห็น"
มี "ธาตุรู้" ที่เกิดขึ้น "คิด"
เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่า ตามความเป็นจริง
สิ่งที่มีจริง
ก็แค่ "สิ่งที่ปรากฏโดยที่ว่า ไม่รู้อะไรเลย" กับ "สภาพธรรมะที่รู้"
ถ้าขาดสภาพธรรมะที่รู้
โลกไม่มี อะไรก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ที่ว่า "เป็นเรา" ก็คือ "รูปธรรม" ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
"แข็ง" ไม่ใช่สภาพรู้
แล้วก็ "นามธรรม" ซึ่งเป็น "ธาตุรู้"
เกิดขึ้นเมื่อไหร่ "ต้องรู้"
ไม่รู้ ไม่ได้
เมื่อเกิดขึ้น "รู้" ก็ต้องมี "สิ่งที่ถูกรู้"
"สิ่งที่ถูกรู้" ภาษาบาลี ใช้คำว่า "อารัมณะ" แต่คนไทย เรียกสั้นๆ ว่า "อารมณ์"
มี "จิต" เกิดขึ้น เป็น "ธาตุรู้"
"สิ่งที่ถูกจิตรู้"
เฉพาะ "สิ่งที่ถูกจิตรู้" เท่านั้น เป็น "อารมณ์"
เสียงไหนอื่น ในป่า ตามถนน ไม่ใช่อารมณ์ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วดับไป
เฉพาะ "เสียง" ที่ "จิตกำลังรู้"
ทีละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ
เป็นอารมณ์ของจิต
เพราะฉะนั้น อารมณ์ จริงๆ แล้ว หมายเฉพาะ สิ่งที่จิตรู้ เท่านั้น
เดี๋ยวนี้ มีจิตไหม?
คุณเบญฯ มีจิตไหม? มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แน่ใจนะคะ? เดี๋ยวนี้ มีจิตไหม?
คุณเบญฯ ขณะนี้ มีจิตไหม? มีจิต กำลัง...
ท่านอาจารย์ เอาแค่ มีจิต นะคะ ทำไมว่ามีจิต?
คุณเบญฯ เพราะเรารู้?
ท่านอาจารย์ ไม่มีเรา
คุณเบญฯ ไม่มีเรา....เพราะการเห็น?
ท่านอาจารย์ เพราะมี "ธาตุรู้" เกิดขึ้น และไม่รู้ จึงเป็น "เราเห็น"
ถ้าไม่มีอะไรเลย ก็ไม่มีเรา ใช่ไหม?
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะ "มีเรา" ได้อย่างไร?
แต่ เมื่อมี "สิ่งหนึ่ง สิ่งใด" เกิด แล้วไม่รู้
จึงเข้าใจว่า "สิ่งนั้น เป็นเรา"
คุณเบญฯ ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิด แล้วไม่รู้ จึงคิดว่าเป็นเรา......
ท่านอาจารย์ ค่ะ ยึดถือสิ่งนั้น ว่า "เป็นเรา"
มีคำว่า "อุปาทาน"
คุณเบญฯ อุปาทาน คิดไป.....
ท่านอาจารย์ ยังค่ะ ยังไม่คิดอะไรเลย....
"ฟัง" นะคะ
อุปาทาน คือ การยึดมั่น เพราะ ไม่รู้
คุณเบญฯ กำลังเห็น ใช่ไหม?
คุณเบญฯ เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์ นั่นแหละ ยึดมั่นไว้ แค่ไหน? ว่า "เป็นเราเห็น"?
"เห็น" เกิด "เห็น" แล้ว ดับ
เกิดขึ้นเห็น แล้วดับ
แต่ ถามว่า คุณเบญฯ กำลังเห็น ใช่ไหม? ตอบว่า ใช่
คุณเบญฯ ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะ เมื่อ "เห็น" เกิดแล้วไม่รู้
จึงเข้าใจว่า "เราเห็น"
คุณเบญฯ เห็นแล้วไม่รู้ จึงคิดว่า เราเห็น....
(ภาพ อ.ฉัตรชัย กิตติพรชัย เวปมาสเตอร์ บธม. ที่ตื่นแต่เช้าตรู่ เดินออกกำลังไปไกลมาก)
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี
แต่พอ เกิดแล้วไม่รู้ จึงเข้าใจว่า "เป็นเรา" ว่าเห็นนั้น เป็น "เราเห็น"
ทั้งหมด เป็น "ความไม่รู้"
"ได้ยิน" ใช่ไหม?
คุณเบญฯ ได้ยินค่ะ
ท่านอาจารย์ "ได้ยิน" เป็น "ธรรมะ" หรือเปล่า?
คุณเบญฯ เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ?
คุณเบญฯ ได้ยิน เป็นธรรมะหรือเปล่า? เพราะกำลังเกิดขึ้น ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะมีจริงๆ กำลังได้ยินจริงๆ
เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" เป็น "เสียง" หรือเปล่า?
คุณเบญฯ "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"
ท่านอาจารย์ ได้ยิน ไม่ใช่ เสียง เพราะอะไร "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"
คุณเบญฯ เพราะอะไร ไม่ใช่เสียง
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ได้ยิน ไม่ใช่เรา?
เพราะอะไร "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"
เพราะ "เสียง" ไม่รู้อะไร
แต่ "ได้ยิน" เป็นธาตุที่เกิดขึ้น "รู้" หรือ "ได้ยิน" เสียง
จะใช้คำว่า "ได้ยิน" หรือ จะใช้คำว่า "รู้เสียง" เหมือนกัน
"ได้ยิน" ก็คือ "รู้เสียง"
ไม่ใช่ไป "รู้อื่น"
ไม่ใช่ไป "รู้แข็ง"
คุณเบญฯ แต่ตัวเสียงเอง ไม่รู้อะไรเลย ตัว "เสียง"เอง ไม่เป็นใคร
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่สภาพรู้
ไม่รู้สึก ไม่คิด ไม่จำ
คุณเบญฯ คือ เป็นเสียง
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ สภาพที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ใช้คำว่า "รูปธรรม"
ทั้งหมดเลย มองเห็น หรือ มองไม่เห็น ไม่สำคัญเลย
เพียงแต่ เมื่อ "สิ่งนั้น" เกิดแล้ว ไม่สามารถรู้อะไร ไม่ใช่ธาตุรู้
เป็น "รูปธรรม"
คุณเบญฯ สิ่งที่เกิด ไม่ใช่ธาตุรู้ เกิดแล้วดับไป เป็นรูปธรรม
"เสียง" เขาไม่รู้อะไร ตัวเขาเอง เขาไม่รู้อะไร
เขาเกิด แล้วเขาก็ไป
ท่านอาจารย์ ใช่ นั่นแหละ
แล้วทำไม "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"
คุณเบญฯ ทำไม "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"? ทำไม ได้ยิน ไม่ใช่ เสียง?
เราบอกว่า เราได้ยินเสียง
ทำไม "ได้ยิน" ไม่ใช่ "เสียง"?
ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น แทนที่เราจะไปดูแม่น้ำ
ผักตบชวา พยายามไปแยกน่ะ ไม่ใช่
แต่ "เข้าใจคำ"
แต่ละคำ มีเนื้อความ
เช่น "ได้ยิน" ไม่ได้หมายความถึง "เสียง"
เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" เป็นอะไร?
คุณเบญฯ "ได้ยิน" เป็นอะไร? การได้ยินของเรา เป็นอะไร?
ท่านอาจารย์ ได้ยินเฉยๆ ไม่มี "ของเรา"
แล้วก็ "ไม่มีเรา" ด้วย
"ได้ยิน" เท่านั้น เป็นอะไร?
คุณเบญฯ ได้ยิน เป็นอะไร? "เป็นธาตุรู้"
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง กำลังได้ยิน
เพราะฉะนั้น บางคน เขาพูดง่ายมาก "เห็น" เป็น "นาม"
สิ่งที่ปรากฏ เป็น รูป
ได้ยิน เป็น นาม เสียง เป็น รูป
แล้วเข้าใจอะไร?
แค่ "จำ"
แต่ กว่าจะรู้จริงๆ ว่า "ธาตุรู้" ไม่มีรูปร่าง
แต่เกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้
ตั้งแต่เกิดจนตาย
ทีละหนึ่งขณะ ทีละหนึ่งขณะ
จึง "ไม่ใช่เรา"
และ "ไม่ใช่ใคร" และ ไม่ใช่ "ของใคร" ด้วย
นี่คือ ความหมายของ อนัตตา
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
เกิดแล้วก็ดับ
บังคับ ไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ ไม่ให้ดับ ก็ไม่ได้
นี่คือ ธรรมะ เดี๋ยวนี้!!!
เพราะฉะนั้น มีคุณเบญฯไหม?
คุณเบญฯ จริงๆ แล้ว มีไหม? ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่มีอะไร?
คุณเบญฯ จริงๆ แล้ว มีไหม?
ท่านอาจารย์ มีตัวคุณเบญฯ ไหม? จริงๆ น่ะ มีไหม?
คุณเบญฯ ตัวจริงๆ ไม่มีค่ะ อันนี้ สมมติว่า ชื่อเบญฯ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถูกต้อง แต่เมื่อไม่มี แล้วมีอะไร?
คุณเบญฯ ถ้าไม่มีตัวนี้ แล้วมีอะไร? ที่กำลังเกิดขึ้น ขณะนี้...
ที่กำลังเกิดขึ้น....
ถ้าไม่มี "ตัวเรา" แล้วมีอะไร?
"ธาตุรู้"
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
เห็นไหม?
"สภาพรู้" กับ "สิ่งที่ไม่รู้" มีทั้งสองอย่างนี่แหละ!!!
นามธรรม กับ รูปธรรม
ต่อไปนี้ เราก็จำ
แทนที่จะไปนั่งดู ธาตุรู้ ขณะที่เห็น
แล้วเราจะค่อยๆ เข้าไปใกล้ การที่จะ "เข้าใจ" ธาตุเห็น
แต่...ไม่ใช่เรา...
โดยสติ สัมปชัญญะ...
ต่อเมื่อมีความเข้าใจ มากขึ้น!!!
จึงจะเกิดขึ้นได้!!!
เพราะฉะนั้น เราพูดคำว่า สติ โดยเราไม่รู้
แล้วก็อยากให้เกิด
แต่ว่า ไม่มีความรู้ แล้วจะไปเกิดได้อย่างไร?
ต้องรู้ว่า จะเป็นอย่างนั้นได้ ต่อเมื่อมีปัญญา ความเข้าใจสิ่งที่มี มั่นคงขึ้น
เมื่อไหร่ที่ "เห็น" ไม่ลืม "ธาตุรู้" กำลังเกิดขึ้น "เห็น"
แค่ "คิด" ก่อน
เพราะว่า เราคิดหลายเรื่อง เราคิด เรื่องที่เราได้ยิน
แต่เราได้ยินวันหนึ่ง เรื่องสารพัด
แต่เราได้ยินเรื่อง (ของธรรม) อย่างนี้ น้อยมาก
เพราะฉะนั้น จะให้เราคิดบ่อยๆ มันคิดไม่ได้ มันไม่มีปัจจัย
แต่ถ้าเรา "คุ้นเคย"
ท่านใช้คำว่า อุปนิสยโคจร (อ่านว่า อุป-ปะ-นิด-สะ-ยะ-โค-จะ-ระ)
"โคจร" เป็นอีกคำหนึ่งของ "อารมณ์"
"นิสย" หมายความถึง "ที่อาศัย"
"อุป" หมายความว่า "มีกำลัง"
เพราะฉะนั้น ถ้าเราคุ้นเคยกับความเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
รู้ตามความเป็นจริง มากขึ้น
จนกระทั่ง จะหลับ จะตื่น เราก็ไม่ลืม!!!
มีโอกาสที่จะ "คิดถึง" เรื่องนี้!!!
แต่เมื่อวานนี้ คุณเบญฯก็มีกำลัง ที่จะไปนั่งดู ผักตบชวา (หัวเราะ)
นี่ก็แสดงว่า มีกำลังจากการฟังแล้ว ใช่ไหม?
แต่ว่า ความคิด หรือ ความเข้าใจ ไม่พอ
เพราะฉะนั้น ก็มี "ตัวตน" ไป "คิดเอง"
มันก็ไม่ถูก!!
มันก็ไม่สามารถจะคิดได้
แต่ถ้า ฟังวันนี้ แล้วเข้าใจขึ้น
ตื่นขึ้นมา เราอาจจะระลึกได้ว่า นี่อะไร?
ใช่ไหม?
อาจจะเป็น "คิด" เป็นคำขึ้นมาก่อน ก็ได้
แต่ "ลักษณะ" ต้องมี!!!
ตอนนี้ ถึงไหนคะนี่?
ฟังถึงไหน?
หมายความว่า เข้าใจถึงไหน?
ไม่ใช่ไปฟังเรื่องนั้น ถึงเรื่องนั้น ใช่ไหม?
แต่ว่า ความเข้าใจ ถึงไหน?
คุณคำปั่น ถึงไหน?
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับ ยังไม่ถึงไหนเลยครับ
เพียงแต่ ค่อยๆ เริ่มสะสม จากการได้ยินได้ฟัง ในแต่ละคำ
เพราะว่า ทุกคำ ที่ได้ยิน ล้วนแล้วแต่ "ส่อง" ให้เข้าใจ ถึง "ตัวจริง" ของสภาพธรรมะ
ก็เป็นการฟังไว้ สะสมความเข้าใจไว้
แต่ว่า ยังไม่ได้ "ถึงเฉพาะ ลักษณะ ของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ" ตามความเป็นจริง
กำลังสะสมเหตุ คือ ความเข้าใจ เป็นเบื้องต้น ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังไว้ เข้าใจไว้ ไปเรื่อยๆ
จะมีโอกาสเข้าใจไหม?
ไม่มีทาง!!!
เพราะฉะนั้น ไม่หวัง
ถ้า "หวัง" ก็ "กั้น" ทันที!!!
แต่ว่า "เข้าใจ"
แล้วแต่ปัจจัย
เดี๋ยวก็เกิดโลภะ โทสะ แล้ว ใช่ไหม? อีกไม่นาน หมดเวลาฟังธรรมะ
ก็เป็นธรรมะ ที่ควรรู้ยิ่ง ว่า
"ไม่ใช่เรา"
ไม่ใช่ ไม่ได้ ต้องพยายามไม่ให้มีโทสะ ไม่ให้มี โลภะ
ผิดเลย ทันที
หนทางผิด เร็วมาก
เพราะว่า สะสม "อวิชชา" กับ "ความติดข้อง" ไว้มาก
พร้อมที่จะคว้า พร้อมที่จะเป็นไป ตามความเห็นผิด
ถ้าไม่ไตร่ตรอง
อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับ พระธรรม ก็หลากหลาย มากมาย
ทั้งหมด แสดงถึง สิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง
แต่ว่า สิ่งที่มีจริงก็มากมายมากเลยครับ ท่านอาจารย์
ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นจากธรรมะเลย มากมายทีเดียว
แต่ก็ยาก ที่จะเข้าใจถูก ในความเป็นจริงของธรรมะ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้
ท่านอาจารย์ครับ ในความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะ ที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ที่ยาก ต่อการที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริงนั้น
เป็นอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ?
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เองค่ะ
เป็นอย่างนี้!!!
เห็น ก็ เห็น
แล้วเมื่อไหร่จะรู้ ว่า "เห็นเกิด"
"ไม่ใช่เรา"
"ลักษณะธาตุ" ที่เกิดขึ้น "เห็น"
แค่ "หนึ่งขณะ" ที่ทำ ทัศนกิจ "เห็น"
ต่อจากนั้นก็ จำ แล้วก็ เป็นเรื่องเป็นราว ไปเรื่อยๆ
อ.คำปั่น ยกตัวอย่าง ตัวกระผมเอง เวลาที่ฟังใหม่ๆ
ฟังเรื่องเห็น เรื่องได้ยิน
รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่มีค่า มากทีเดียว
เพราะว่า จากการที่เริ่มฟัง ก่อนฟังพระธรรม ก็มีการพูดถึงเห็น พูดถึง ได้ยิน
แต่ก็ไม่เคยคิด ไม่เคยเข้าใจว่า เห็น ได้ยิน เป็นธรรมะ ที่มีจริงๆ
ที่เป็นพระธรรมคำสอน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น ในแต่ละคำ แต่ละคำ ที่ได้ยิน ได้ฟัง
ล้วนมีค่าจริงๆ
ที่จะนำไปสู่ ความเข้าใจ ตรงลักษณะ ของสภาพธรรมะ ที่กำลังมี กำลังปรากฏ
ในขณะนี้!!!
ท่านอาจารย์ ยากกว่านั้นอีก
คือ
ด้วยความ ไม่ใช่เรา!!!
ตอนนี้ ยากมากเลยค่ะ
ความเป็นปรกติ
แล้วก็ การรู้ว่า จะเกิด หรือ ไม่เกิด บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่อย่างนั้น ตัวความต้องการ จะแทรกเข้ามาเรื่อยๆ
และ จะทำให้ "เพียรผิด"
เพราะฉะนั้น ไม่เพียร เสียดีกว่า ที่จะ "เพียรผิด"
เพราะว่า "เพียรผิด" นี่ แก้ยาก ค่ะ
เพราะฉะนั้น ปรกติ จริงๆ
อดทน แค่ไหน?
เห็นไหม?
เริ่มเห็นความอดทน ว่า มากมาย มหาศาล เหลือเกิน
ในการที่จะต้อง "ฟัง ด้วยความเข้าใจ"
ในความ
ไม่ใช่เรา!!!
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูก ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา มากขึ้น
เมื่อนั้น ก็จะเป็นทาง นำไปสู่ การรู้แจ้งสภาพธรรมะ
"ตรง"
คือ
เป็นธรรมะ
ไม่ใช่เรา
สังเกตุจากคำถาม นะคะ
ถ้ามาฟัง ด้วยความเป็นตัวตน
ผมเป็นอย่างนั้น เมื่อไหร่จะรู้สภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ
ทั้งหมด "ต้องการ" ฟังด้วยความต้องการ
ที่จะรู้ ที่จะเป็นคนมีปัญญา
คือ "ตัวเขา" เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ หรือ มีปัญญา
แต่ ยังเป็น "ตัวเขา"
แล้วก็ ละโลภะ ไม่ได้
เมื่อไหร่ จะเห็นแจ้ง สภาพธรรมะ?
ก็รู้แล้วว่า ไม่มีปัญญา
จะไปเห็น ได้อย่างไร?
คุณนภา ท่านอาจารย์คะ ถ้าเราบอกว่า ใช้เรื่องของตัวเอง มาสนทนาธรรม
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เราจะใช้อะไรคะ?
ในเมื่อ สมมติว่าเราเข้าใจว่า ไม่มีเรา
แต่เวลาเราพิจารณา เราก็ต้องพิจารณา จากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวัน
ตัวเราเอง คนรอบข้างเรา
มันก็ต้องมีเรื่องราว
แล้วเราก็สงสัย ในเหตุการณ์นั้นๆ
เราก็มาถาม อย่างนี้
ท่านอาจารย์ ค่ะ
แล้วเมื่อไหร่ "ผมจะรู้"???
เมื่อไหร่ "ผมจะประจักษ์แจ้ง"???
คุณนภา อ๋อ ค่ะ เข้าใจ ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพื่อ "ตัวเอง" ไม่ใช่เพื่อ "เข้าใจความจริง"
คุณหมอทวีป กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ขออนุญาต คำถามส่วนใหญ่ ที่เราฟัง ขอโทษ ไม่ใช่ที่นี่
ที่มูลนิธิฯ ส่วนมาก จะเป็นตัวตนทั้งนั้น
เรามีวิธีอย่างไรไหม?
ที่ให้เขาเข้าใจว่า มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา
ท่านอาจารย์ ห้ามเท่าไหร่ ก็ไม่ฟัง (หัวเราะ)
ไม่ต้องห้าม แค่เตือน ก็ไม่ฟัง
ถึงไม่ห้าม ไม่เตือน พูดถึงธรรมะ ก็ไม่ฟัง
จะมีตัวตนอยู่นั่นแหละ
ที่ต้องการ
เพราะฉะนั้น คำถามอย่างนี้ ไม่มีใครไปแก้ได้เลย
เพราะ มาด้วยความต้องการ
ด้วยความเป็น "ตัวตน"
คุณหมอทวีป การพ้นวัฏฏะ ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ยังเป็น "ตัวตน"
บอกว่า ฟังมาตั้ง ๓๐ ปี (หัวเราะ)
ก็ยังฟัง ด้วยความเป็นตัวตน
ไม่เข้าใจเลย ว่า
"ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ"
ว่า
"เป็นธรรมะ"
แต่ ทั้งหมด เพื่อ "ตัว" ทั้งนั้นเลย
เมื่อไหร่อย่างนี้ เมื่อไหร่อย่างนั้น จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น
คำว่า "ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง"
ธรรมะทั้งหลาย เป็น อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
หายไปไหน?
เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจธรรมะ เลย
การกระทำใดๆ ทั้งหมด ซึ่งผิด
แสดงว่า ขณะนั้น ที่ฟังมา ก็คือ ไม่เข้าใจธรรมะ
เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจเมื่อไหร่ ผิด
แต่ เข้าใจเมื่อไหร่ จะไม่เป็นอย่างนั้นเลย
เพราะฉะนั้น ถึงได้มีข้อความ ในสติปัฏฐาน ว่า
"เป็นผู้มีปรกติ อบรมเจริญสติปัฏฐาน"
เพราะอะไร?
ก็เพราะ ธรรมะ เกิดแล้ว!!!
ไม่ใช่ให้ไป "ทำ" ให้เกิด
แต่ว่า "เข้าใจ สิ่งที่มี ถูกต้อง"
เพราะว่า สิ่งนั้น กำลังปรากฏ เกิดดับ อยู่เรื่อยๆ
เป็นนิมิต
ให้รู้ว่า "สิ่งนั้น" มี พอที่จะเข้าใจได้
ที่ตรัสไว้
ก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง นี้แหละ!!!
เมื่อฟังแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจ ในพระดำรัส
ใน "คำ" ที่ได้ยิน
เช่น ขณะนี้ มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้
ใครจะเถียง?
หลับตาแล้ว ไม่เห็นมีเลย โต๊ะ เก้าอี้ ผู้คน
หายไปไหนหมด?
เพราะฉะนั้น เห็นอะไรกันแน่???
ก็ต้อง "เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
แต่ว่า ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น จักขุวิญญาณ หรือ
จิตเห็น เกิด "หนึ่งขณะ" ใช้คำว่า "อุปปัตติ"
จิตอื่น ทั้งหมด "นิพพัตติ"
แสดง "ความต่าง" อย่างยิ่ง
ของชั่วขณะที่ "เห็นจริงๆ " กับ ขณะที่ไม่เห็น แต่ "คิด" ถึงสิ่งที่เห็น
ซึ่งปรากฏ เหมือนกับว่า ยังเห็นอยู่ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ
แค่นี้ค่ะ คุณหมอคะ
"ฟัง" เพื่อ "เข้าใจธรรมะ"
ไม่ใช่ แล้วเมื่อไหร่ เราจะรู้อย่างนี้?
แต่ รู้ว่า นี่เป็นความจริง แน่ๆ
ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนความจริงนี้ ได้เลย
เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่ "เห็น" หนึ่งขณะจิต ต้อง "เห็น เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
จึงได้ทรงแสดง ลำดับของจิต
ว่าเมื่อจิตเห็น ดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตอะไร เกิดสืบต่อ
ต้องไม่ใช่จิตอื่น แต่เป็นจิตนั้นแหละ ที่สามารถเกิดต่อ
โดยรู้ต่อ ในสิ่งที่ จักขุวิญญาณ เห็น
แต่ ไม่ใช่ทำ ทัศนกิจ
เพราะฉะนั้น ต่างกันมาก
เห็นจริงๆ กับ ไม่เห็น แต่เหมือนเห็น
เพราะว่า ปรากฏสืบต่อกัน จนไม่รู้ว่า ขณะไหนดับไป ที่ไม่ใช่เห็น
นี่คือ ความละเอียด ความลึกซึ้ง
ที่เราไม่สนใจเลย จะกี่กัปป์ กี่ปี
ท่านพระสารีบุตร หนึ่งอสงไขย แสนกัปป์
ท่านพระอานนท์ ก็ หนึ่งแสนกัปป์
เราเป็นใคร?
เร็วกว่าท่าน หรือ?
หรือ ยังไง?
หรือ ไปหาทางไหน?
ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา จริยาปิฎก มีว่า
ภาวนาในโพธิสมภาร มี ๔ อย่าง คือ สัพพสัมภารภาวนา ๑
นิรันตรภาวนา ๑ จิรกาลภาวนา ๑ สักกัจจภาวนา ๑
ซึ่งก็เป็นการแสดง ลักษณะของการอบรมเจริญภาวนา
คือ การสะสมเหตุ
ที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมทุกๆ ชาติ นั่นเอง
คำอธิบายมีว่า จิรกาลภาวนา คือ การบำเพ็ญตลอดกาลนาน
สำหรับพระผู้มีพระภาคคือ ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่ชาติเดียว
เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังโยนิโสมนสิการ ฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม
เข้าใจพระธรรม เป็นสังขารขันธ์ เป็นจิรกาลภาวนา ที่จะต้องอบรมไปเป็น
เวลานานทีเดียว กว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้นแต่ละขั้น จากขั้นเข้าใจลักษณะ
ของสภาพธรรม จนถึงขั้นที่สติปัฏฐานเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรม
และ ศึกษา จนกระทั่งเข้าใจลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
จนรู้ชัด ประจักษ์แจ้ง ในสภาพที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม โดยไม่ใช่ตัวตน
ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยให้วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นเกิด
แต่ต้องเป็น "จิรกาลภาวนา"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของคุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาพี่วันชัย ที่ถ่ายทอดธรรมและภาพอย่างละเอียดสวยงาม ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของคุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาคุณวันชัย ที่ถ่ายทอดธรรมและภาพอย่างละเอียดสวยงาม ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของคุณเผ่าทิพย์ มอนเทนดอน
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลศรัทธา
ของคุณเผ่าทิพย์ มอนแทนดอน
(สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๕๕๙)
ที่ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
ที่ได้ถ่ายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพที่สวยงาม ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาคุณเผ่าทิพย์ผู้จัดให้มีการสนทนาธรรมและขออนุโมทนา. นักเขียนและ
ช่างภาพ (คุณวันชัย) ..ที่เผยแพร่ธรรม ทำให้การศึกษาธรรมรื่นรมณ์น่าสนใจและเข้าใจ
ยิ่งๆ ๆ ขึ้นคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
งดงามเพราะความจริงแท้ที่ลึกซึ้ง
รูปสวยงามเช่นเคยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน นะคะ
ด้วยความเคารพและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
จากใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ สาธุๆ ๆ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ