[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 352
๖. เรื่องภิกษุ ๒ สหาย [๒๐]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 40]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 352
๒. เรื่องภิกษุ ๒ สหาย [๒๐]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ ๒ สหาย ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ" เป็นต้น.
ภิกษุ ๒ รูปมีปฏิปทาต่างกัน
ได้ยินว่า ภิกษุ ๒ รูปนั้น เรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระศาสดาแล้ว เข้าไปยังวิหารอันตั้งอยู่ในป่า. ในภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่ง เก็บฟืนมาต่อเวลายังวันแล้ว จัดเตาไฟแล้ว นั่งผิงไฟสนทนากับพวกภิกษุหนุ่มและสามเณรอยู่ตลอดปฐมยาม. รูปหนึ่งไม่ประมาท ทำสมณธรรมอยู่ ตักเตือนรูปนอกนี้ว่า "ผู้มีอายุ ท่านอย่าทำอย่างนั้น, เพราะอบาย (๑) ๔ เป็นเช่นเรือนที่เป็นที่นอนแห่งชนผู้ประมาทแล้ว, ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันบุคคลผู้โอ้อวด ไม่อาจให้ทรงยินดีได้." ท่านไม่ฟังคำตักเตือนของภิกษุนั้น. ภิกษุนอกนี้คิดว่า "ภิกษุนี้ไม่เชื่อถ้อยคำ (๒) " จึงไม่ปรารถนา (ตักเตือน) ท่านไม่ประมาทแล้วได้ทำสมณธรรม. ฝ่ายพระเถระผู้เกียจคร้าน ผิงไฟในปฐมยามแล้ว ในเวลาที่ภิกษุนอกนี้เดินจงกรมแล้วเข้าไปสู่ห้อง จึงเข้าไป พูดว่า "ท่านผู้เกียจคร้านมาก ท่านเข้าไปสู่ป่า เพื่อต้องการหลับนอน (หรือ) : อันบุคคลเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระพุทธเจ้า แล้วลุกขึ้นทำสมณธรรมตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ควรหรือ?" ดังนี้แล้ว ก็เข้าไปยังที่อยู่
(๑) อบาย ๔ คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ดิรัจฉานโยนิ กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ๓. ปิตติวิสัย ภูมิแห่งเปรต ๔. อสุรกาย พวกอสุรกาย.
(๒) น วจนกฺขโม ไม่อดทนต่อถ้อยคำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 353
ของตนแล้วนอนหลับ, ฝ่ายภิกษุนอกนี้ พักผ่อนในมัชฌิมยามแล้ว กลับลุกขึ้นทำสมณธรรมในปัจฉิมยาม. ท่านไม่ประมาทอยู่อย่างนั้น ต่อกาลไม่นานนัก ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย. ภิกษุรูปเกียจคร้านนอกนี้ ให้เวลาล่วงไปด้วยความประมาทอย่างเดียว. ภิกษุ ๒ รูปนั้น ออกพรรษาแล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งสอง
พระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถารกับภิกษุ ๒ รูปนั้นแล้ว ตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่ประมาททำสมณธรรมกันแลหรือ? กิจแห่งบรรพชิตของพวกเธอถึงที่สุดแล้ว แลหรือ?" ภิกษุผู้ประมาท กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความไม่ประมาทของภิกษุนั่น จักมีแต่ที่ไหน? ตั้งแต่เวลาไป เธอนอนหลับให้เวลาล่วงไปแล้ว."
พระศาสดา ตรัสถามว่า "ก็เธอเล่า? ภิกษุ."
ภิกษุรูปเกียจคร้าน ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เก็บฟืนมาต่อเวลายังวัน จัดเตาไฟแล้ว นั่งผิงไฟอยู่ตลอดปฐมยามไม่หลับนอน ให้เวลาล่วงไปแล้ว."
ผู้มีปัญญาดีย่อมละทิ้งผู้มีปัญญาทราม
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านว่า "เธอประมาทแล้ว ปล่อยเวลาล่วงไป (เปล่า) ยังมาพูดว่า "ตัวไม่ประมาท" และทำผู้ไม่ประมาทให้เป็นผู้ประมาท. เธอเป็นเหมือนม้าตัวทุรพล ขาดเชาว์ (๑) แล้วในสำนัก
(๑) หมายความว่า ฝีเท้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 354
แห่งบุตรของเรา, ส่วนบุตรของเรานี่ เป็นเหมือนม้าที่มีเชาว์เร็วในสำนักของเธอ" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
๖. อปฺปมตฺโต ปมตฺเตสุ สุตฺเตสุ พหุชาคโร อพลสฺสํว สีฆสฺโส หิตฺวา ยาติ สุเมธโส.
"ผู้มีปัญญาดี เมื่อชนทั้งหลายประมาทแล้ว ไม่ประมาท, เมื่อชนทั้งหลายหลับแล้ว ตื่นอยู่โดยมาก ย่อมละบุคคลผู้มีปัญญาทรามไปเสีย ดุจม้าตัวมีฝีเท้าเร็ว ละทิ้งตัวหากำลังมิได้ไปฉะนั้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมตฺโต ความว่า ชื่อว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพราะความเป็นผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติ ได้แก่พระขีณาสพ.
บทว่า ปมตฺเตสุ ความว่า เมื่อสัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในการปล่อยสติ. บทว่า สุตฺเตสุ คือ (เมื่อสัตว์ทั้งหลาย) ชื่อว่า ประพฤติหลับอยู่ทุกอิริยาบถทีเดียว เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องตื่น คือ สติ. บทว่า พหุชาคโร ได้แก่ ผู้ดำรงอยู่ในธรรมเป็นเครื่องตื่น คือความไพบูลย์แห่งสติเป็นอันมาก.
บทว่า อพลสฺสํว ความว่า ดุจม้าสินธพอาชาไนยตัวมีเชาวน์เร็ว วิ่งทิ้งม้าตัวมีกำลังทราม มีเชาวน์ขาดแล้ว โดยความเป็นม้ามีเท้าด้วนไปฉะนั้น.
บทว่า สุเมธโส เป็นต้น ความว่า บุคคลผู้มีปัญญายอดเยี่ยม ย่อมละบุคคลผู้เห็นปานนั้นไป ด้วยอาคมคือปริยัติบ้าง ด้วยอธิคมคือการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้า 355
บรรลุมรรคผลบ้าง : อธิบายว่า เมื่อคนมีปัญญาทึบพยายามเรียนพระสูตร สูตรหนึ่งอยู่นั้นแล, ผู้มีปัญญาดีย่อมเรียนได้วรรคหนึ่ง. ย่อมละไปด้วยอาคมคือปริยัติ อย่างนี้ก่อน : อนึ่ง เมื่อคนมีปัญญาทึบ กำลังพยายามทำที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันอยู่นั่นแล และเรียนกัมมัฏฐานสาธยายอยู่นั่นแล, แม้ในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น บุคคลผู้มีปัญญาดี เข้าไปสู่ที่พักกลางคืนหรือที่พักกลางวันที่ผู้อื่นทำไว้ พิจารณากัมมัฏฐานอยู่ ยังสรรพกิเลสให้สิ้นไป ทำโลกุตรธรรม ๙ ประการ ให้อยู่ในเงื้อมมือได้, ผู้มีปัญญาดี ย่อมละไปได้ด้วยอธิคมคือการบรรลุมรรคผลอย่างนี้. อนึ่ง ผู้มีปัญญาดีละคือ ทิ้งคนมีปัญญาทึบนั้นไว้ในวัฏฏะ ถอน (ตน) ออกจากวัฏฏะไป โดยแท้แล.
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุ ๒ สหาย จบ.