[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 620
ก็พระโยคาวจรอาศัยธรรมใดธรรมหนึ่ง ในบรรดาลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น ก็สมควรเห็นลักษณะทั้ง ๒ นอกนี้อีกทีเดียว ธรรมดาการออกจากกิเลสด้วยมรรคโดยเพียงการเห็นลักษณะเดียวนั้นย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ภิกษุตั้งมั่นแล้วโดยความไม่เที่ยง ย่อมออกไปแม้จาก (กิเลส) โดยความเป็นของไม่เที่ยง แม้โดยความเป็นทุกข์อย่างเดียวหามิได้ ย่อมออกไปจาก (กิเลส) โดยความเป็นอนัตตาด้วยนั่นแหละ แม้ในความตั้งมั่นอยู่โดยความเป็นทุกข์ ก็นัยนี้แหละ. ด้วยประการฉะนี้
การยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอารมณ์ตั้งแต่ต้นจงยกไว้ ก็วิปัสสนาที่เป็นวุฏฐานคามินีพิจารณาธรรมใดๆ ย่อมออกไปดำรงอยู่ในฐานที่ควรบรรลุด้วยสามารถแห่งธรรมนั้นๆ แล้วให้ชื่อมรรคของตน. ในบรรดาลักษณะเหล่านั้น เมื่อพระโยคาวจรออกจากอนิจจลักษณะมรรคก็เป็นอนิมิตตะ เมื่อออกจากทุกขลักษณะ มรรคก็เป็นอัปปณิหิตะ เมื่อออกจากอนัตตลักษณะ มรรคก็เป็นสุญญตะ ดังนี้ ทรงนำนิมิตตมรรคมาแสดงโดยปริยายแห่งพระสูตรด้วยประการฉะนี้.
อนิมิตตะ และอัปปณิหิตะ หมายถึงอะไรค่ะ
อนิมิตตะและอัปปณิหิตะ เป็นชื่อของพระนิพพาน อนิมิตตะ หมายถึงไม่มีนิมิต คือไม่มีสังขาร อัปปณิหิตะ หมายถึง ไม่มีที่ตั้งคือสังขารทั้งปวง
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ