ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะอาจารย์มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณสาคร (แมว) เศลารักษ์ เซริเยส สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๒๐๔ เพื่อไปสนทนาธรรม เรื่อง "หนทางพ้นทุกข์" ณ ห้องทับทิมสยาม โรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ท่านอาจารย์ พร้อมคณะฯ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงสายของวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ โดยมีกำหนดการไปสนทนาธรรมที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี ในเวลา บ่ายสอง ถึงบ่ายสี่โมงเย็น แต่เนื่องจากเมื่อเครื่องบินเดินทางถึงยังสนามบินนานาชาติ จังหวัดอุบลราชธานี ท้องฟ้าเหนือสนามบินมีเมฆปกคลุมและมีฝนตก กัปตันได้พยายามนำเครื่องลงจอดถึงสามครั้งแต่ไม่สามารถลงจอดได้ จึงตัดสินใจบินกลับมาตั้งหลักใหม่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กว่าจะบินกลับไปยังสนามบินนานาชาติอุบลราชธานีได้อีกครั้ง ก็เป็นเวลาค่ำ
สำหรับท่านเจ้าภาพ คุณสาคร (แมว) เศลารักษ์ เซริเยส ซึ่งต่อไปจะขออนุญาตใช้คำเรียกที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยว่า พี่แมว นะครับ พี่แมว ปัจจุบันพักอาศัยและทำไร่องุ่นอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ พบและศึกษาพระธรรมจากท่านอาจารย์จากสื่อออนไลน์ของมูลนิธิฯ เมื่อราวเดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ และต่อมาในราวเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน เมื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย ก็ได้เข้ามากราบท่านอาจารย์ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในทันทีที่เดินทางออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ
พี่แมวเล่าให้ฟังว่า คำที่โดนใจเธอจากที่ได้ฟังคือ "..ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่.." พอได้ยินคำนี้ เธอใช้คำว่า ... โลกมันแตกกระจัดกระจายเลย คือเราร้องไห้เลย เราตามหาสิ่งนี้มาตลอดชีวิต ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง และธรรมเป็นแต่ละหนึ่งๆ นี่ ที่เกิดดับอยู่ตอนนี้ เห็น ได้ยิน คือ เราไม่ได้เห็นนะ สภาพธรรม แต่มันเหมือน ความเข้าใจมัน อ๋อ อย่างนี้ แล้วมันเป็นอัตโนมัติ มันเกิดดับจริงในความเข้าใจของเรา เพราะว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส มันอยู่คนละเรื่อง มันไม่ได้ไปเกี่ยวกันเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับ แต่ด้วยทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้อยู่ แต่เราไม่เห็น คำนี้แหละที่ทำให้เราโลกแตก คือมันร้องไห้แบบไม่เคยเป็น อยู่คนเดียวนะ เหมือนคนบ้าเลย ...
เท่าที่ทราบ พี่แมว มีความสนใจในการฟังและศึกษาพระธรรมมาก และเป็นชาวไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศท่านหนึ่ง ที่ติดตาม และร่วมสนทนาอยู่ในกลุ่มสนทนาธรรมกลุ่มไลน์ต่างๆ อยู่เสมอเป็นประจำมิได้ขาด ทั้งเป็นผู้หนึ่ง ที่เข้ามาอ่านและตอบกระทู้ใน กระดานสนทนาของเวปไซต์บ้านธัมมะ อยู่เนืองๆ
ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงสมัยเมื่อแรกที่ได้พบและฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย จากสถานีวิทยุ สวพ. FM 91 เมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว ซึ่งต่อมาก็ทราบว่ามีเวปไซต์บ้านธัมมะ ( www.dhammahome.com ) จึงได้เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกของเวปไซต์ตั้งแต่ในช่วงแรกๆ ของการก่อตั้งเวปไซต์ และได้เข้าไปฟังธรรมในหัวข้อต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งข้าพเจ้าเลือกฟังเมนู " เริ่มด้วยความเข้าใจ " ในหัวข้อ " จุดตั้งต้น " เป็นอันดับแรก แล้วต่อด้วย " ปรมัตถธรรมสี่ " และหัวข้ออื่นๆ เป็นลำดับไป โดยไม่ลืมคำเตือนที่ว่า "ฟังแล้วก็อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่เป็นผู้ที่ฟังอีก และ ฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ พิจารณา ไตร่ตรอง คำที่ได้ยินได้ฟัง จนเป็นความเข้าใจของตนเองจริงๆ "
ต่อมาก็มีการสร้าง กระดานสนทนา (webboard) โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกได้เข้ามาแลกเปลี่ยน พูดคุยสนทนา สอบถาม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการศึกษาพระธรรม ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าได้รับประโยชน์คือความเข้าใจธรรมจากกระดานสนทนามาก นอกเหนือไปจากการฟังธรรมตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน แม้ในยามหลับ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบเสียงของท่านอาจารย์ตลอดเวลา แม้ในเวลาออกจากบ้านไปที่ไหนๆ ก็เปิดฟังในรถ หรือสวมหูฟังธรรมตลอดเวลาที่อยู่นอกรถ การได้ฟังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ทีละเล็ก ทีละน้อย ฟังเข้าใจก็รู้ว่าเข้าใจ ไม่เข้าใจก็ฟังอีกและฟังอีก ความสงสัยมากมายที่เคยมีมา ก็ค่อยๆ ลดลง ไปตามลำดับของความเข้าใจที่มี แน่อนว่าผู้ที่จะละ ความลังเลสงสัย ( วิจิกิจฉา ) จนหมดสิ้น คือ พระโสดาบัน แต่ก่อนจะถึงความเป็น พระโสดาบัน ก็อาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และปัญญาที่เจริญขึ้น ก็ค่อยๆ ละ ความลังเล สงสัยได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย
จากการได้สนทนากับคุณเค โสภณ สิงห์แก้ว สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๗๕๕ เจ้าหน้าที่ มศพ. เวปมาสเตอร์ของเวปไซต์ บ้านธัมมะ เมื่อสองวันก่อน ซึ่งคุณเคพูดให้ฟังว่า เวปไซต์บ้านธัมมะแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์เดียว คือการเผยแพร่ข้อมูลเฉพาะทาง ที่เน้นการนำเสนอเฉพาะข้อมูลที่ถูกต้องจากการศึกษาเข้าใจ ในคำสอนของพระพุทธศาสนาแล้วเท่านั้น จะไม่มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดเพี้ยนอื่นใด เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้สืบค้นหาความจริงที่ถูกต้องจากการทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางไว้เลยทั้งสิ้น ผู้ที่มีโอกาสได้พบกับเวปไซต์นี้ จึงมั่นใจได้ว่า เมื่อได้ศึกษาเข้าใจด้วยความละเอียดรอบคอบ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในพระธรรมคำสอน จะเป็นผู้ที่อดทน มากด้วยความเพียร ที่จะไม่ย่อท้อต่อการได้ฟัง ได้ศึกษาเข้าใจ สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ให้มั่นคงขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นหนทางเดียว ไม่มีทางลัด ไม่มีทางอื่น
จากรายงานข้อมูลของเวปไซต์ ในปัจจุบันมีการนำเสนอเวปไซต์บ้านธัมมะแก่ผู้สืบค้นทางออนไลน์โดยกูเกิ้ลถึงราว ๓,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง ต่อเดือน และจากการนำเสนอนั้น มีผู้เข้าเยี่ยมชมเวปไซต์บ้านธัมมะ ถึงราว ๒๐๐,๐๐๐ ครั้งต่อเดือนเลยทีเดียว (คุณเค โสภณ สิงห์แก้ว เป็นผู้เขียนโปรแกรมและออกแบบเวปไซต์บ้านธัมมะแห่งนี้ โดยการชักชวนและร้องขอจากอาจารย์ฉัตรชัย กิติพรชัย ผู้ริเริ่มก่อตั้งเวปไซต์ มาตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ และได้เปิดให้บริการเวปไซต์แห่งนี้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ปีเดียวกัน จนปัจจุบันก็ยังมีการพัฒนาเวปไซต์อยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เข้าใช้บริการ)
จากสถิติดังกล่าว แสดงถึงความสำคัญ และทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ในการดำรงอยู่ของข้อมูลทั้งหมดในการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ตลอดระยะเวลา ๖๐ กว่าปี ที่ผ่านมา ที่ถูกบันทึกลงไว้ในเวปไซต์ เพื่อประโยชน์ในการสืบค้นหาความจริงที่ถูกต้องจากการทรงตรัสรู้ของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมดในเวปไซต์บ้านธัมมะ แห่งนี้ ที่ ณ วันนี้ มีจำนวนกว่า ๕๙,๐๓๔ หัวข้อ และมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ไม่เพียงเป็นข้อมูลที่ทรงคุณค่ายิ่งต่อชาวพุทธในประเทศไทย แต่เป็นเพียงแห่งเดียวในโลก ที่คำสอนที่แสดงถึงหนทางที่ถูกต้องที่สุด ตรงตามที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ จากการศึกษา เข้าใจ และนำมาเผยแพร่โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ เป็นต้นมา จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของชาวพุทธทั่วโลกที่เคยได้สะสมบุญมาแต่ในอดีตอนันตชาติ ในการที่จะแสวงหาความจริงของชีวิต เพื่อสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องนี้ต่อไป ตราบนานเท่านาน
ต่อมาในภายหลังก็ทราบว่า อาจารย์ฉัตรชัย กิติพรชัย อาจารย์ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เก่า เป็น ผู้ริเริ่มก่อตั้งเวปไซต์บ้านธัมมะ & ผู้ควบคุมระบบ ซึ่งที่ผ่านมา การเข้ามาเป็นสมาชิกของเวปไซต์บ้านธัมมะของข้าพเจ้า ได้รับความเมตตาสนับสนุนจากอาจารย์ฉัตรชัยอย่างมาก (โดยไม่แสดงตัว) ทั้งเป็นท่านหนึ่งที่ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเจริญกุศล เผยแพร่พระธรรม ตามความสนใจและความถนัดของตนมาจนปัจจุบันนี้ นอกเหนือไปจากโอกาสในการเจริญกุศลนี้จากความเมตตาที่สำคัญยิ่งของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร กรรมการมูลนิธิฯ ที่เมตตาให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่ต้นที่ได้พบกัน จวบจนถึงปัจจุบัน โดยมั่นคงเสมอมา ท่านพลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง ต้นแบบ แรงบันดาลใจ และกำลังใจ ในการเล่าเรื่องต่างๆ ของข้าพเจ้า ตลอดจนอาจารย์ เจ้าหน้าที่ของ มศพ. และท่านอื่นๆ อีกมากที่เมตตาต่อข้าพเจ้า ซึ่งไม่อาจกล่าวถึงได้หมด ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสนี้ กราบระลึกในพระคุณของทุกๆ ท่าน มา ณ ที่นี้ด้วยครับ (คลิกอ่าน : ความเป็นมาของเว็บไซต์บ้านธัมมะ )
" ... บรรณาการที่ประเสริฐสุด คือ พระรัตนตรัย การที่ทุกท่านเกิดมาพบกันแต่ละชาติ ในสังสารวัฏฏ์ บางชาติก็อาจจะเป็นมิตรสหาย บางชาติก็อาจเป็นศัตรู หรือบางชาติก็อาจจะเป็นมารดา บิดา เป็นญาติพี่น้อง แต่ชาติที่ได้เกื้อกูลกัน เป็นมิตรกันในพระธรรม หรือมีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นก็ต้องเป็นชาติที่ประเสริฐสุดในสังสารวัฏฏ์ ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถานอื่น ... "
ข้อความบางตอนจากหนังสือ บารมีในชีวิตประจำวัน โดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
คำกล่าวของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ข้างต้น เป็นหนึ่งในคำกล่าวของท่านอาจารย์ที่มีความซาบซึ้งประทับอยู่ในใจของข้าพเจ้าอย่างยิ่ง เสมอมา เมื่อมาพบพี่แมว ภาพของการพบกันครั้งแรกที่มูลนิธิฯ ที่พี่แมวเดินทางมาจากฝรั่งเศส ลากกระเป๋า หอบของพะรุงพะรัง ลงจากรถแท๊กซี่ เพื่อมากราบเท้าท่านอาจารย์ในวันนั้น ยังตราตรึงอยู่ในใจตลอดมา กาลเวลาผ่านไป ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในความตั้งใจในการฟังและศึกษาพระธรรมของพี่แมว ทั้งเมื่อได้รับประโยชน์จากการฟังและศึกษาพระธรรมแล้ว ก็มีกุศลจิต กุศลศรัทธา ช่วยเหลือสนับสนุนงานต่างๆ ของทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนามาโดยตลอด ทั้งยังเป็นกำลังสำคัญท่านหนึ่งของชมรมบ้านธัมมะอีสาน ไทย-ลาว ที่ไม่นานมานี้ ได้นำ คณะสหายธรรมจากประเทศลาว เดินทางมาพบและสนทนาธรรม กับ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เมื่อวันพุธที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(คณะสหายธรรมชาวลาว และ สหายธรรมชมรมบ้านธัมมะภาคอีสาน ไทย-ลาว ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เมื่อวันพุธที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ - ภาพจากแฟ้มภาพ)
การกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อมาสนทนาธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจใหญ่ยิ่งของพี่แมว ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างสุดจิตสุดใจ จากสหายธรรมชาวชมรมบ้านธัมมะทุกๆ ท่าน ที่ร่วมกันดำเนินการ ประสานงาน ในการจองตั๋วเครื่องบิน จองห้องพัก จัดการเรื่องอาหาร จัดรถรับ-ส่ง จัดดอกไม้ตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม เพื่อร่วมกันกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในโอกาสที่ท่านอาจารย์มีอายุครบ ๘ รอบ ๙๖ ปี ในวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
การจัดการสนทนาธรรมระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนี้ นอกจากอุบลราชธานีจะเป็นบ้านเกิดของพี่แมวแล้ว จังหวัดอุบลราชธานียังเป็นบ้านเกิดและที่อาศัยในวัยเยาว์ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คุณป้าจี๊ด (คุณสุจิตต์ อึ้งภากรณ์) น้องสาวของท่านอาจารย์ ขณะที่หลวงบริหารวนเขตต์ (ฉัตร ชูเกียรติ) บิดาของท่าน มาทำงานเป็นป่าไม้จังหวัดอุบลราชธานี ในขณะนั้น อีกด้วย
นอกจากจะมีการสนทนาธรรมทุกวันแล้ว ในค่ำของวันที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ชาวสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ได้จัดงานแสดงกัลยาณจิต แด่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เนื่องในโอกาสวันเกิดครบ ๘ รอบ ๙๖ ปี ในวันนี้ ซึ่งมี อาจารย์ ดร.มล. ญาศินี จักรพันธ์ุ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๖๒๕ รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน ในอันดับแรกได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม รองประธานกรรมการมูลนิธิฯ คุณป้าจี๊ด (คุณสุจิตต์ อึ้งภากรณ์) คุณป้าติ๋ว น้องสาวของท่านอาจารย์ พลตรี ดร.วีระ พลวัฒน์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิฯ นายแพทย์ทวีป ถูกจิตร อาจารย์จริยา เจียมวิจิตร และ พลเรือโท นภดล สุธัมมสภา ที่ปรึกษามูลนิธิฯ มอบพวงมาลัยแด่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
จากนั้นมีการแสดง "สาธุกีฬา" เริ่มด้วยการขับลำนำบทกวีอีสาน บูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ โดย คุณสาคร (แมว) เสลารักษ์ เซริเยส
ถัดมาเป็นการอ่านบทร้อยกรองที่ประพันธ์โดยอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ที่บรรยายพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ โดย อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์จริยา เจียมวิจิตร และคุณวันชัย ภู่งาม บทประพันธ์ดังกล่าวมีความกระชับ ความหมายครบถ้วน ไพเราะ ซาบซึ้งจับใจ ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
ต่อด้วยการขับร้องบทเพลง "พุทธสาวิกา" โดยคุณสิบพัน วนวิสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้มากความสามารถทางการขับร้องรวมทั้งการแต่งคำร้องและทำนอง ซึ่งเพลง "พุทธสาวิกา" นี้ นำคำร้องมาจากบทประพันธ์ข้างต้น ที่ประพันธ์โดย อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๑ ประดิษฐ์ทำนองโดย คุณสิบพัน วนวิสุทธิ์/คุณอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๕๘๑ และ ลำดับที่ ๑๖๑๙ (ท่านสามารถคลิกฟังบทเพลง และบันทึกการแสดงทั้งหมดในค่ำของวันนี้ ได้จากลิงก์มี่แนบไว้ในตอนท้ายของกระทู้)
ต่อด้วยการขับร้องเพลงลาวสมเด็จ ที่ประพันธ์เนื้อร้องและขับร้องโดย พลตรีหญิง นันทา เกษหอม สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๑๑๑ คุณสมา สวยสด สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๘๔๗ นักร้องยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย จาก "การประกวดร้องเพลงถ้วยพระราชทานชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ปี 2535” หรือ “Nissan Award Thailand Singing Contest 1992” ขับร้องเพลง "อริยสาวิตรี" ที่ประพันธ์คำร้องโดย อ.อรรณพ หอมจันทร์ เรียบเรียงเสียงประสานโดย คุณปวีร์ คชภักดี สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๘๙๗ จากนั้น คุณวนิดา ชาติวงศ์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่๗๒๙ อดีตนักร้องจากสยามกลการ และ คุณวันชัย ภู่งาม สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๘๑๙ ร่วมกันขับร้องเพลง "ทางที่แสวง" ซึ่งประพันธ์คำร้องโดยคุณสายฝน ปานุราช/อรรณพ หอมจันทร์ ทำนอง/เรียบเรียงเสียงประสานโดย อ.ทรงเกียรติ พิพัฒอนวัช สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๘๓๓ เป็นต้น
จากนั้นมีการฉายวีดีทัศน์ " ๘ รอบวาร ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ " ที่อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ เป็นผู้เรียบเรียงคำบรรยาย และเป็นผู้นำในการสร้างวีดีทัศน์อันทรงคุณค่ายิ่งต่อประวัติของการศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาเถรวาท โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ยังคงดำรงความถูกต้องเที่ยงตรง ตามหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาทรงแสดงไว้
ในส่วนของการแสดงต่างๆ นั้น นำขบวนโดยพี่แมว คุณสาคร เศลารักษ์ เซริเยส ซึ่งบัดนี้เป็นที่ประจักษ์ว่า เธอเป็นสตรีของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ผู้มากความสามารถอีกท่านหนึ่ง ที่ทั้งแต่งและขับร้องบทเพลงพื้นบ้านของชาวอีสานโดยมีเนื้อหาบูชาคุณท่านอาจารย์ได้อย่างไพเราะซาบซึ้งยิ่ง ทั้งยังรำเซิ้งแบบอีสานได้อ่อนช้อยงดงามอีกด้วย
ที่ขาดไม่ได้อีกท่าน คือ แม่นันทา พลตรีหญิง นันทา เกษหอม ที่นำชาวคณะลำตัดและรำเซิ้ง ที่ต่างมาร่วมด้วยใจ แม้บางท่านจะไม่เคยร่ายรำมาก่อนในชีวิตจนบัดนี้ก็ตาม (ฮาาา) ขออนุญาตเอ่ยนามไว้เป็นที่จดจำสืบไปดังนี้ คือ พี่เดือนฉาย ค่ำอำนวย สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๔๙๒ ผู้อำนวยการในการจัดทริป -ที่พัก เพื่อไปสนทนาธรรมในที่ต่างๆ ของชาวชมรมบ้านธัมมะ ผู้น่ารัก ใจดี มีเมตตา ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน ที่ยินยอมพร้อมใจสวมบทแม่เพลงคู่กับแม่นันทา เรียกเสียงฮาได้ทุกงาน เป็นที่ประทับใจของทุกๆ ท่าน ไม่รู้ลืม
อาจารย์ยุ้ย ดร. มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณแม่ลูกสองที่มีรอยยิ้มน่ารัก ผู้รับหน้าที่พิธีกรของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ช่วยประสานงานจัดทริปไปอินเดีย และที่อื่นๆ ขยันช่วยงานทุกเรื่องใน มศพ. พี่แอ๊ว ฟองจันทร์ (วอลช) สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๐ รายนี้อีกคนที่การฟ้อนรำของเธอทำข้าพเจ้าและ อ.คำปั่น อักษรวิลัย หัวร่อจนท้องคัดท้องแข็ง (ฮาาา) คุณเอ๋ พัธนันท์ แสนสุข สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๖๑๒ หนึ่งในทีมงานจัดดอกไม้ ที่ขันอาสาช่วยงานต่างๆ ของ มศพ. อย่างสม่ำเสมอ การรำของเธอทำให้ข้าพเจ้าประทับใจมากอีกคน เพราะรู้ว่าเธอขันอาสามาร่ายรำด้วยใจจริงๆ ครั้งนี้อาจเป็นการฟ้อนรำเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธออีกคน
นอกจากนั้น คณะผู้จัดดอกไม้ ที่นำโดย พี่แอ๊ว ฟองจันทร์ วอลช โดยมีผู้ช่วยที่แข็งขัน ที่สุดท่านหนึ่งคือ คุณตู่ ปริญญ์วุฒิ กุลพิเนต สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๒๕๓ อดีตพนักงานต้อนรับจากการบินไทย ที่ไม่เพียงช่วยจัดดอกไม้ ตกแต่งสถานที่ ให้สวยสดงดงาม แต่ยังใฝ่ใจในการคอยบริการช่วยเหลือดูแลความเรียบร้อยในทุกเรื่องที่ทำได้ คุณเอ๋ พัธนันท์ แสนสุข สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๓๖๑๒ น้องซี จิรัชพรรณ์ กระจ่างประทีป สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๖๑๕ น้องใหม่ไฟแรง ผู้เป็นที่รักของทุกคน น้องซี เป็นอีกหนึ่งในทีมงานที่ขยันขันแข็งอย่างมากในการอาสาช่วยเหลืองานของมูลนิธิฯ เฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดทำสื่อเพื่อการเผยแพร่พระธรรม ที่สวยงามเป็นที่น่าสนใจยิ่งต่อผู้ที่ได้พบเห็น
ในส่วนของทีมงานที่ประสานงานอยู่ทางจังหวัดอุบลราชธานี เท่าที่ทราบก็มีคุณจรรยา (แขก) ดวงแก้ว สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๙๑๕ คุณพนมวรรณ (เล็ก) คาดพันโน สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๙๖๔ นอกจากท่านที่กล่าวมาแล้ว ยังมีผู้ร่วมแรงร่วมใจอีกมาก ต้องกราบขออภัยที่กล่าวถึงไม่หมด หากท่านเจ้าภาพหรือท่านผู้ใดจะกรุณาเพิ่มเติม ก็ขอได้โปรดบันทึกลงในความเห็นด้านล่าง จักเป็นพระคุณยิ่งครับ ยินดียิ่งในกุศลของทุกๆ ท่าน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน จนงานกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยความเรียบร้อย งดงาม เป็นที่ประทับใจของทุกคน จากใจจริงครับ
"..บริษัทที่สามัคคีกัน เป็นอย่างไร ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลาย พร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกันไม่วิวาทกัน (กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เป็นประหนึ่งว่า นมประสมกับน้ำ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ (คือ สายตาของคนที่รักใคร่กัน) บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่สามัคคีกัน ... "
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 482 ปริสาสูตร"
"..ความเข้าใจพระธรรม การอนุเคราะห์ผู้อื่นให้เข้าใจ และเห็นประโยชน์ของพระธรรมนั้นเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต การสงเคราะห์ช่วยเหลือสังคมนั้นไม่มีวันจบสิ้นและไม่สามารถให้เกิดความสงบสุขได้ เมื่อไม่เข้าใจพระธรรม ความทุกข์ก็จะบรรเทาและหมดสิ้นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้เหตุที่แท้จริงของปัญหาต่างๆ เหตุที่แท้จริงของปัญหาและความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ... "
คำกล่าวบางตอนของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในโอกาสเข้ารับรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนา เนื่องในวันสตรีสากลขององค์การสหประชาชาติ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
อนึ่ง คุณคําปั่น อักษรวิลัย ได้อธิบายความหมายของคําว่า "สาธุกีฬา" ในชั่วโมง การสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิฯ เมื่อวันอาทิตย์ ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ดังนี้ " ... คําว่า สาธุกีฬา มาจากคําว่า สาธุ ซึ่งแปลว่า ดี หรือว่า เป็นสิ่งที่ดีงาม รวมกับ คําว่า กีฬา ซึ่งหมายถึงการละเล่น เมื่อแปลรวมกัน หมายถึง การละเล่นที่ดี ซึ่งข้อความ ในพระไตรปิฎก หรือว่าจากอรรถกถาก็ดี มีแสดงไว้มากมายหลายอย่างที่เป็นการละเล่น ที่เป็นไปเพื่อบูชาบุคคลที่ควรแก่การบูชา สูงสุดคือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึง แม้การปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีการละเล่นที่ เรียกว่า สาธุกีฬา หรือบุคคลที่เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เวลาที่สิ้นพระชนม์ก็จะมี การละเล่น ที่เรียกว่า สาธุกีฬา ที่เป็นข้อความ ที่แสดงถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะ เป็นต้น หรือเป็นการละเล่นที่บูชาบุคคลที่ควรแก่ การบูชา เพราะฉะนั้น ที่เป็ นสาธุกีฬาจะต้องเป็นการละเล่นที่เป็นไปกับด้วย ประโยชน์ เป็นไปกับด้วยสาระ ได้ข้อคิดดีๆ จากการละเล่นดังกล่าว ... "
ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าใคร่ที่จะขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ให้ความสนใจ สนับสนุนให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า ในการที่จะเขียนบันทึกบอกเล่าเรื่องราวของการเดินทางไปสนทนาธรรม ตามสถานที่ต่างๆ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชื่อของกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งบัดนี้มีจำนวนมากถึงกว่า ๓๕๐ ตอน และทางเวปไซต์บ้านธัมมะ โดยอาจารย์ฉัตรชัย และคุณเค โสภณ สิงห์แก้ว เวปมาสเตอร์ ได้จัดทำเป็น E-book ณ กาลครั้งหนึ่ง โดยมี คุณสุนันท์ แดงประไพ เป็นผู้อาสาจัดทำเองทั้งหมดคนเดียว ซึ่งจนถึงบัดนี้ เธอทำสำเร็จไปกว่า ๓๐๐ ตอนแล้ว ทั้งทราบจากการบอกเล่าของคุณโสภณ เวปมาสเตอร์ ว่าการจัดทำ E-book ณ กาลครั้งหนึ่ง เป็นงานที่ค่อนข้างยาก และต้องอาศัยเวลาเป็นอย่างมาก แต่คุณสุนันท์ เธอทำงานด้วยความละเอียด ประณีต เรียบร้อย และจัดรูปแบบได้สวยงามมาก ซึ่งข้าพเจ้าก็มีความเห็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างหนึ่งก็คือคุณสุนันท์เธอจัดลำดับภาพและข้อความ ที่สื่อให้เห็นการบอกเล่าเรื่องราว ตรงตามที่ข้าพเจ้าปรารถนาให้เป็นได้อย่างดียิ่ง ขอแสดงความยินดียิ่งในกุศลวิริยะของ คุณสุนันท์ แดงประไพ มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
บัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า การเขียนบันทึกบอกเล่าเรื่องราวของการไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในรูปแบบของกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ซึ่งบัดนี้มีจำนวนมากถึงกว่า ๓๕๐ ตอน แล้วนั้น สมควรแก่เวลาที่จะยุติลง เพราะแม้กระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสุนีย์แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อุบลราชธานี ๑๒ - ๑๔ มกราคม ๒๕๖๖ นี้ ยังต้องอาศัยเวลา ถึง ๖ เดือนเต็ม ที่จะมีความรู้สึกพร้อมที่จะเขียนถึงเพื่อบันทึกไว้ ต่อไปคงขออนุญาตที่จะเขียนกระทู้ในลักษณะรายงานข่าวเพื่อบันทึกการเดินทางไปสนทนาธรรมตามสถานที่ต่างๆ ของท่านอาจารย์ ซึ่งเมื่อข้าพเจ้ามีโอกาสได้ติดตามไปได้ ก็จะพยายามกลับมานำเสนอข่าวในรูปแบบที่ข้าพเจ้าถนัด เท่าที่จะทำได้นะครับ ยินดียิ่งในกุศลของทุกท่านที่สนใจติดตามเสมอมานะครับ
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะขอเล่าบันทึกไว้ คือ เรื่องของระยะนี้ มีสหายธรรมจากประเทศลาว (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - สปป. ลาว) หลายท่านหลายกลุ่ม ได้มาแสดงตัวต่อท่านอาจารย์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่ายินดียิ่ง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การมาปรากฏตัวของสหายธรรมชาวลาวที่ติดตามรับฟังท่านอาจารย์ มีจุดเริ่มให้เห็นเป็นครั้งแรก คือ ที่การเดินทางมาสนทนาธรรม ณ จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนี้ กลุ่มแรกที่ได้พบคือกลุ่มสหายธรรมชาวลาว ๓ ท่าน จาก แขวงสุวรรณเขต สปป.ลาว ที่เดินทางมารอพบและกราบท่านอาจารย์ตั้งแต่เมื่อบ่ายของวันแรก แต่เนื่องจากความขัดข้องในการเดินทางที่ล่าช้าของเครื่องบินดังกล่าวแล้ว ทั้งสามท่านจึงเดินทางกลับไปก่อน และเดินทางมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น (ระยะทางจาก แขวงสุวรรณเขต สปป.ลาว ถึง จังหวัดอุบลราชธานี ราว ๑๘๕ กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว ๓ ชั่วโมง) ซึ่งเมื่อท่านอาจารย์ทราบถึงกุศลศรัทธาดังกล่าว ท่านมีเมตตาอย่างยิ่ง กล่าวบอกแก่ทั้งสามท่านในทันทีว่า ท่านจะสนทนาด้วยเป็นการส่วนตัวหลังจบการสนทนาในตอนบ่าย เป็นความประทับใจ ซาบซึ้งใจ ต่อสหายธรรมชาวลาวทั้งสามท่าน และผู้ที่มีโอกาสเข้าร่วมฟังการสนทนาในครั้งนั้น เป็นอย่างยิ่ง
คุณ เดชวัชร วัชรเดช (เดช) , คุณ เอกะไชย ไชยปัญญา (ตุ้ย) ,คุณ ภูศักดา พูมสะหวัน (บอม) จาก แขวงสุวรรณเขต สปป.ลาว
นอกเหนือจากสหายธรรมชาวลาวจากแขวงสุวรรณเขต ทั้ง ๓ ท่านแล้ว ในชั่วโมงของการสนทนาธรรม ยังมีสหายธรรมชาวลาว ทั้งที่อยู่ในประเทศลาว (สปป.ลาว) และในต่างประเทศมาแสดงตัว และร่วมสนทนาด้วย คือ คุณ ศรีสมพร จันทบุตรดี ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๔๐๓ และคุณวันนี ปทุมทอง สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๔๓๑ ปัจจุบันมาทำงานอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน จากการสนทนาในครั้งนี้ มาประกอบกับภาพแห่งความประทับใจ เพื่อเป็นบันทึกไว้ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ จังหวัดอุบลราชธานี ในครั้งนี้ ที่ทุกขณะของความประทับใจที่มี ดับไปหมดแล้ว ไม่มีแม้เพียงขณะเดียวที่จะหวนกลับคืนมาได้อีกเลย ในสังสารวัฏฏ์ ดังนี้
ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย จะได้ยินคำว่า "พุทธะ" ไหม? เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ไม่ใช่เป็นคำที่ เราพูดตามๆ โดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมาย ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความเป็นผู้ตรง สำคัญที่สุด ถ้าไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้ ถ้าเข้าใจว่าอย่างไร ก็จะได้สนทนากัน เพื่อที่จะได้รู้ว่า ที่เคยเข้าใจนั้น ถูก-ผิด ประการใด
แล้ว "เป็นผู้ตรง" ถ้าไม่ "ตรงต่อความเป็นจริง" ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะใช้คำว่า เป็นชาวพุทธ เพราะว่า ชาวพุทธหมายความถึงผู้ที่เคารพสูงสุด ในผู้ที่ประเสริฐที่สุดในสากลจักรวาล เพียงเท่านี้ ตรงไหม กับความรู้สึกของทุกคน ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม ยังไม่รู้เลยว่า ผู้ที่ประเสริฐที่สุด ในสากลจักรวาล ตรัสว่าอย่างไร? แล้วเป็นผู้ตรงไหม ที่จะนับถือทันที!!
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "ชาวพุทธ" ไม่ใช่สำหรับเรียก คนนั้นเป็นชาวโน้น ชาวนี้ แต่ว่า จริงๆ แล้ว "พุทธะ" คือ "ปัญญา"
แต่ละคำ เป็นคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นคำที่ประมาทไม่ได้เลย แม้แต่คำว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" เป็นใคร? ถ้าไม่ฟัง "แต่ละคำ" ด้วยความเคารพจริงๆ ไม่มีทางรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จริงไหม?
ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงๆ บุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ในสากลจักรวาล เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เหนือเทพ พรหม ทั้งหลาย ไม่ว่าจักรวาลใดทั้งสิ้น แล้วประเสริฐอย่างนั้น แล้วแต่ละคำของพระองค์ จะลึกซึ้งปานใด
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง ฟังแล้ว ยังไม่เคยรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าไม่เข้าใจคำที่ฟังจริงๆ ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่จำชื่อ ได้ยินคำนี้ แล้วก็ไม่มีใครที่จะประเสริฐเท่า จึงเคารพนับถือบุคคลผู้นี้ประเสริฐสุด เท่านี้ไม่พอ!!
ต้องเป็นผู้ที่จริง จะนับถือใคร นับถือบุคคลที่มีคุณความดี ใช่ไหม? ไม่มีใครไปนับถือความชั่ว ความไม่ดี ทั้งหลาย แต่ความดี มีหลายระดับขั้น ระดับที่ทุกคนรู้จัก ไม่ว่าบ้านไหนเมืองไหน ใครดีใครชั่ว พฤติกรรมใดดี พฤติกรรมใดไม่ดี ก็เป็นที่รู้
แต่ ผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุด ต้องดีกว่าผู้ที่ไม่รู้ความจริง แน่นอน!! และ ความจริงถึงที่สุด คือ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงรู้แจ้ง ไม่มี!!
ด้วยเหตุนี้ "แต่ละคำ" ไม่ใช่ประมาทเลย!! แต่ฟังธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุด ที่ว่า จะเริ่มเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เพียงคำว่า "ชาวพุทธ" ตรงแค่ไหน? ก็จะต้องเริ่มเข้าใจ ถ้าเข้าใจความหมายของคำว่า "พุทธะ" ผู้ที่รู้ความจริง เท่านี้ เป็นชาวพุทธหรือยัง? "ความจริง" อยู่ไหน? ความจริงคืออะไร? "เดี๋ยวนี้" จริงหรือเปล่า? ตอบได้ไหม? ถ้าตอบไม่ได้ รู้จัก "ความจริง" หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น ความ "เป็นผู้ตรง" สำคัญที่สุด ว่า "เป็นผู้ที่ไม่รู้ความจริง" ก่อนจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการที่ว่า เริ่มจากว่า "ความจริงอยู่ไหน?" จะได้รู้ว่า ความจริงคืออะไร? ถ้าไม่รู้ว่าความจริงอยู่ไหน จะรู้ไหม ว่าความจริงคืออะไร ได้แต่พูด ได้แต่จำ
แต่ว่า พูดถึง "ความจริง" หมายความว่าอะไร? ต้องมี "สิ่งที่มีจริงๆ " แค่นี้!! "มีจริงๆ " แต่ถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ว่า อะไรมีจริง? เขาจะตอบว่าอย่างไร? ตอบคนละอย่างเลย ใช่ไหม ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งถูกปกปิดไว้ นานมาก จนใครๆ ก็ไม่รู้จัก!!
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มเป็นผู้ที่ละเอียด และ ตรง เพื่อที่จะได้รู้คุณของผู้ที่ทำให้ จากความมืดสนิท ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติ ไม่สามารถที่จะรู้จัก "ความจริง" ทั้งๆ ที่มีความจริง ตลอดเวลา เป็นอย่างไรคะ? มีความจริงตลอดเวลา แต่ไม่รู้จักความจริง!!
เพราะฉะนั้น "ทุกคำ ต้องชัดเจน!!" ความจริงอยู่ไหน? เห็นไหม? เรากำลังพูดถึง "ความจริง" แล้วไม่รู้ว่าความจริงอยู่ไหน แล้วจะมีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึง "ความจริง" หมายความถึง "สิ่งที่มีจริง" และ สิ่งที่มีจริงนั้น "ความจริงของสิ่งนั้น" คืออย่างไร?
นี่ดูเป็นคำถามธรรมดา แต่เป็นการ "เริ่มต้น" ที่จะมีความเคารพ ในความตรง ในการที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ให้เริ่มตอบได้ แม้เดี๋ยวนี้ว่า ความจริงอยู่ไหน? และต่อไปว่า ความจริงคืออะไร? เพื่อที่จะได้รู้จักความจริง ซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้!!
ถ้าไม่เคยฟัง หายาก เดี๋ยวนี้มีอะไรจริง? แต่ถ้าเคยฟังแล้ว ความจริงคือเดี๋ยวนี้ สิ่งที่หมดไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อยู่ไหน? แต่ ... เดี๋ยวนี้..กำลังมี..สิ่งที่มีจริงๆ ...
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปฟังคำ แต่ต้องรู้ว่า พระองค์ตรัสเพื่อให้ "เข้าใจ" ไม่ใช่ให้จำ แต่ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ให้เริ่มไต่ตรอง ว่า "สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้" กำลังมี ใช่ไหม? รู้จักหรือยัง? ตรงไหม? ถ้าไม่รู้จัก เป็นชาวพุทธหรือเปล่า? "ชาวไม่รู้!!" แต่ "พุท-ธะ คือผู้รู้!!" รู้สิ่งที่มีจริง!!
ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้มีความมั่นคงว่า ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่ไตร่ตรอง แค่ฟัง ไม่สามารถที่จะ "คิดเอง" ได้ คำถามที่ดูเหมือนไม่ยาก แต่ตอบได้ไหม? เพราะว่า เริ่มต้นจากคำตอบ ลึกลงไปทุกที จนกระทั่งเพิ่มความเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่ เราได้กล่าวว่า กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้
การสนทนาธรรมมีประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะได้รับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่จะได้ร่วมกันพิจารณาว่า ถูกต้องประการใด ลึกซึ้ง..หรือว่า..เผินมาก ...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดียิ่งในกุศลของคุณสาคร (แมว) เศลารักษ์ เซริเยส และทุกๆ ท่าน ครับ
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรม พร้อมทั้งบันทึกกิจกรรมต่างๆ ในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิตของคุณวันชัยค่ะ
ยินดียิ่งในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของพี่แมวและทุกๆ ท่านที่ได้จัดสนทนาธรรมในครั้งนี้
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งด้วยครับ
ที่ได้นำเสนอ ณ กาลครั้งหนึ่งในครั้งนี้ เป็นประโยชน์มากๆ ครับ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และยินดีในกุศลของทีมงาน ที่จัดงานสนทนาธรรม ครั้งนี้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระธรรม และพระอริยสงฆ์
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพสูงยิ่ง
ครั้งหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่
หากไม่ได้มีบุญที่ได้มาพบท่านอาจารย์ ก็จักไม่มีทางที่จะได้พบพระธรรมคำสอนอันมีค่ายิ่งของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะและกุศลจิตทุกประการของคุณวันชัย ภู่งาม ที่ได้บรรยายและบันทึกการสนทนาธรรมครั้งนี้ได้อย่างแสนบริบูรณ์ พร้อมความเป็นมาของเวปไซต์ในการเผยแพร่พระธรรมของ มศพ.
ในการจัดสนทนาธรรมครั้งนี้สำเร็จด้วยแรงศรัทธา และด้วยแรงแห่งความเคารพต่อพระธรรมและพระคุณของท่านอาจารย์ ของเหล่าชาว มศพ. คณะอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของ มศพ. ทุกท่าน ทีมดอกไม้นำโดยพี่แอ๊วฟองจันทร์ พี่เดือนฉายและครูนันทา ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลทุกประการของทุกท่านค่ะ
และงานนี้จะผ่านพ้นไปด้วยดีไม่ได้เลยหากปราศจากความร่วมมือร่วมใจในการดำเนินงานทุกประการของน้องแขก (จรรยา) น้องเล็ก (พนมวรรณ) น้องแป๋ว (วสุธิดา) น้องสดใส ผู้เริ่มการจัดสนทนาธรรมก่อนในจังหวัดอุบลฯ และน้องศรีสมพรจากฝรั่งเศส กราบอนุโมทนาในกุศลทุกประการของน้องๆ อย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ในความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ