เมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ได้ไปฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ เพราะไปงานเลี้ยงรุ่น (ขอ อนุญาตโยนหินถามทาง เพราะอยากจะทราบว่า มีเพื่อนร่วมสถาบันต่างๆ ที่จะกล่าวถึง เข้ามาอ่านกระทู้ในเว็บไซต์นี้บ้างไหม ตั้งแต่ โรงเรียนเทศบาลป้อมเพชร โรงเรียนประตูชัย โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ อยุธยา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่น ๓๐ สถิติ จุฬา รุ่น ๒ NCSU at Raleigh ลูกศิษย์และเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนนายเรืออากาศ เป็นต้น)
เมื่อไปถึงงานได้พบเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาเมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน บางคนไม่เคยเห็นกันตั้งแต่เรียนจบก็มี เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มีการสังสรรค์ บางพวกก็ร้องเพลง บางพวกก็เล่นดนตรี บางพวกก็จับคู่กันเต้นรำ บางคนก็เป็นโฆษกพูดขำขันให้เพื่อนฝูงหัวเราะ เพื่อนชายบางคนก็ดื่มเบียร์ เพื่อนหญิงก็จับกลุ่มเม้าท์กันอย่างเมามัน ทุกคน เพลิดเพลิน สนุกสนาน จนถึงเวลางานเลี้ยงเลิกรา แยกย้ายจากกันพร้อมกับนัดสังสรรค์ ในครั้งต่อไป รวมทั้งโปรแกรมการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย ที่จะพากันไปท่องเที่ยวหลังเกษียณให้เพลิดเพลินสำราญกายใจยิ่งขึ้น
กลับมาถึงบ้านด้วยความอ่อนล้า (ตามวัย) นึกถามตัวเองว่า เราได้อะไรจากงานนี้บ้าง ตอบตัวเองว่า ได้ความเพลิดเพลินและความติดข้องกลับมา อาจจะได้บุญเล็กน้อย ตอนบริจาคเงินให้มูลนิธิเด็กที่เพื่อนมาบอกบุญ ต่างกับไปฟังธรรมที่มูลนิธิฯ ที่กลับมาก็ อ่อนล้าเหมือนกัน แต่ได้ความเข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น อย่างเมื่อวันเสาร์ก่อน ได้ฟังพระสูตรเรื่อง ปฐมทารุขันธสูตร ที่พระผู้มีพระภาคทรงเห็นท่อนไม้ลอยอยู่ในแม่น้ำคงคา และไม่ไหลไปสู่มหาสมุทร ทั้งๆ ที่แม่น้ำคงคาลาดลุ่มไปสู่สมุทร ก็เพราะ ติดฝั่งนี้ (อายตนะภายใน ๖) ติดฝั่งโน้น (อายตนะภายนอก ๖) จมเสียท่ามกลาง (ติดข้องด้วย ความเพลิดเพลิน นันทิราคะ) เกยบก (อัสมิมานะ ถือตัวถือตนว่าดีกว่าเขา เลวกว่าเขา เสมอเขา) ถูกมนุษย์จับไว้ (คลุกคลีกับคฤหัสถ์) ถูกอมนุษย์จับไว้ (ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะต้องการเกิดเป็นเทวดา) ถูกเกลียวน้ำวน วนไว้ (หมกมุ่นในกามคุณ ๕) และเน่าใน (เป็นผู้ทุศีล) ทรงอุปมาว่าเหมือนผู้มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก คือ มีปัญญา ซึ่งโน้มเอียง ไปสู่นิพพาน แต่ไปไม่ถึงเพราะเหตุเหล่านี้
นึกเปรียบเทียบเพื่อนฝูงที่ร้องรำทำเพลง (ตัวเองไม่ร้องไม่รำ เพราะไม่เป็น) พูดคุยสนุกสนานนั้นก็เหมือนจมอยู่กลางแม่น้ำ เพราะติดข้องเพลิดเพลิน คราวหน้าไม่ควรจะไปสังสรรค์อีก เพราะไม่อยากจมอยู่กลางน้ำ ควรจะหาสาระจากการมีชีวิตอยู่ให้มากกว่านี้
แต่คิดพิจารณาอีกทีก็คือ ไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนั้นตัวเองก็เพลิดเพลินเหมือนกัน และ ตอนนี้ก็เป็นท่อนไม้เกยบกไปแล้ว เพราะถือตัวถือตนว่าดีกว่าเขา ไม่ได้รู้ขณะที่กำลังถือตัวตนเลยว่า เป็นธรรม เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้ว ไม่ว่าจะติดข้องเพลิดเพลิน หรือมานะ ถือตัวถือตน ก็ล้วนแต่ทำให้ไปไม่ถึงสมุทร ทั้งนั้น แม้แต่ขณะนี้ก็ติดอยู่ที่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้แล้ว และเป็นอย่างนี้เกือบทุกขณะที่ไม่เข้าใจ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม
เห็นความมากมายกว้างใหญ่ไพศาลของความไม่รู้หรือยังว่า เกือบจะทุกขณะนั้นเป็นความไม่รู้ทั้งนั้นเลย เพราะถ้ารู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็จะไม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะไปหรือไม่ไป เพราะจะไปหรือไม่ไปที่ไหน ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเช่นกัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ท่าน อ. กล่าวไว้ว่า ธรรมคือขณะนี้ จะไปที่ไหน ร้องรำทำเพลงก็มีธรรมในขณะนั้น สำคัญที่รู้มั้ยว่าเป็นธรรม
...ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
สาธุค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ