อมนุษย์ที่ปรากฏทางตา ที่ผู้ศึกษาธรรมะจะมองว่าเป็นเพียงสี ไม่ทราบว่าสำหรับคนที่กิเลสปัญญาน้อย สติเกิดยาก หากเจออมนุษย์ เช่น เปรต มาปรากฏให้เห็น หรือมารบกวนขณะหลับ แล้วเกิดความกลัว ความขนพองสยองเกล้า มีการสัมผัสหรือมีเสียงรบกวน ในพระไตรปิฎกได้บอกวิธีไว้มั้ยคะ หากมนุษย์โดนอมนุษย์รบกวนจะต้องทำอย่างไร (ในกรณีที่ปัญญายังไม่แก่กล้า)
ขอความกรุณาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแสดไว้ครับว่า เมื่อเธอเกิดความกลัว ขนพอง สยองเกล้า พวกเธอจงนึกถึง พระคุณของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริงในขณะนั้น หรือ นึกถึงคุณของพระธรรม หรือ นึกถึงคุณของพระสงฆ์ เพราะเมื่อเธอนึกถึงคุณของ พระรัตนตรัยแล้ว ความกลัวต่างๆ ก็จะหายไปในขณะนั้น
อีกสูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าแสดงไว้ครับว่า เมื่อเกิดความกลัว หรือ อมนุษย์ ให้มีเมตตากับสัตว์เหล่านั้น ด้วยบทพระธรรม ที่เป็น กรณียเมตตสูตร และอีกสูตรหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า หากว่ากลัวภัยใน อมนุษย์ทั้งหลาย พวกเธอจงพิจารณาธรรมบท อาฏานาฏิยสูตร อันบทธรรมที่แสดงถึง การป้องกันภัยของอมนุษย์ ครับ
ที่สำคัญตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ต้องเกิดจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอย่าง เข้าใจแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จักคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตามความเป็นจริง และเมตตาจะเกิดมีกำลังไม่ได้เลย หากไม่เข้าใจพระธรรม ครับ และบทอื่นๆ ของพระธรรม มี อาฏานาฏิยสูตรก็ต้องมีความเข้าใจ จึงจะป้องกันภัยได้ จึงไม่ใช่เรื่องของการที่จะท่อง เพราะกลัว แต่เกิดจากความเข้าใจและเกิดกุศลจิตขึ้นในขณะที่นึกถึงพระธรรมบทนั้น เพราะกุศลจิตที่เกิดขึ้นของบุคคลนั้นแหละ จะป้องกันภัยได้ เพราะขณะที่กุศลจิตเกิด ไม่มีโทสะ ความกลัวเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ไม่มีภัย คือ อกุศลเกิด ครับ เมื่อกุศลเกิด จึงไม่กลัว ดังนั้น กุศลเกิดได้ก็ต้องเกิดจากการฟังพะรธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... เมื่อความกลัวเกิดขึ้น [ธชัคคสูตร]
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์ กับสัตว์ดิรัจฉาน เท่านั้นสัตว์โลกประเภทอื่น ที่มีนอกจากนี้ ก็มี คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพราะมีสภาพธรรมที่จริง กล่าวคือ จิต เจตสิก และรูป จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกสัตว์ในภพภูมิอื่นว่าอย่างไร ก็เรียกไปตามสมมติเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มีมีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ
ในขณะที่เกิดความกลัวขึ้น ไม่ว่าจะกลัวสิ่งใด ก็ตาม นั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพจิตที่เป็นอกุศล ประกอบด้วยโทสะ และ ความรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งเป็นธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังละโทสะไม่ได้ การที่จะดับความกลัวไม่ให้เกิดขึ้นอีกเลย ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่เป็นพระอนาคามี จึงจะไม่มีความกลัวเกิดขึ้น, ในชีวิตประจำวันขณะที่จิตเป็นกุศล ก็ไม่กลัวแล้ว เพราะขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วยอย่างแน่นอน เป็นธรรมคนละประเภทกัน ไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาด ค่อยๆ เจริญกุศลไปในชีวิตประจำวัน ก็จะบรรเทาความกลัวได้ ดังนั้น การที่จะบรรเทาซึ่งความกลัว ต้องด้วยกุศลทุกๆ ประการเท่านั้น แต่ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้แต่ความกลัว ก็เป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา และกุศลธรรม ที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ