ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเรียนถาม -ความหมาย -ลักษณะ –องค์ประกอบ - ความแตกต่าง ของ แต่ละคำ ของ “เสียง เสียงเอ็ดตะโร เสียงเพลง เสียงที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรม”
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาภูตรูป มหา คือ รูปที่เกิดขึ้นแล้วเป็นใหญ่ เป็นประธาน หมายถึง สภาวรูป ๔ รูป คือ ปฐวี (ดิน) อาโป (น้ำ) เตโช (ไฟ) วาโย (ลม) รูปทั้ง ๔ นี้ ได้ชื่อว่า มหาภูตรูป เพราะเป็นสภาพที่เกิดขึ้นมีอยู่โดยความเป็นใหญ่เป็นประธาน และ เป็นที่อาศัยของอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูป)
ซึ่ง ไม่ว่ารูปใด ก็จะต้องมี มหาภูตรูป เกิดร่วมด้วยเสมอ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ และ ลม ครับ
สัททรูป คือ รูปเสียง หมายถึง สิ่งที่สามารถปรากฏได้ทางหู ซึ่งมีลักษณะที่ดัง และกระทบกับโสตปสาท จะเป็นความดังค่อย ดังแรง ดังแหลม ดังทุ้มอย่างไร ก็เป็นเพียงความดังที่ปรากฏได้ทางหูในขณะปัจจุบันเท่านั้น เป็นสภาพที่ไม่รู้อารมณ์อย่างหนึ่ง ฉะนั้น ความหมายที่รู้จากเสียงนั้นจึงไม่ใช่เสียง แต่เป็นบัญญัติซึ่งจิตทางมโนทวารคิดตามหลังจาก ที่จิตได้ยินเสียงทางหูดับไปแล้ว
สัททรูป คือ เสียง เกิดจากสมุฏฐาน ๒ อย่างคือ จิตตสมุฏฐาน และอุตุสมุฏฐาน สัททรูป คือ เสียง จะดังที่ไหน ในป่า ในเขา หรือในที่ห่างไกลอย่างไรก็ยังคงเป็นสัททรูป แต่ถ้ามีจิตได้ยินเสียง หรือจิตที่รู้เสียงเกิดขึ้น จึงรู้เสียงนั้นได้ซึ่ง เสียงที่เกิดจาก อุตุ เช่น วัตถุ กระทบกัน ทำให้เกิดเสียง แต่ ถ้าเสียงที่เกิดจากจิต ก็เช่นการเปล่งวาจา เพื่อสื่อความหมาย ครับ
ดังนั้น เมื่อ รูปเกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดเพียงรูปเดียว แต่เกิดเป็นกลุ่มกลาปของรูป ดังนั้นเมื่อ เสียงเกิดขึ้น ไม่ใช่มีเพียง สัททรูป ที่เป็นเสียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็มี รูปอื่นๆ เกิดร่วมด้วย อย่างน้อย อีก ๘ รูป ที่เป็น อวินิพพโภครูป ที่เป็นกลุ่มของรูป ๙ รูป ที่เรียกว่า สัททนวกกลาป เช่น เสียงฟ้าร้อง เสียงฝนกตก เป็นต้น ซึ่ง เกิดจากอุตุเป็นเหตุ ซึ่ง เสียงก็คือ เสียงมีลักษณะกระทบ โสตปสาทรูป แต่ เสียง มีรูปอื่นเกิดร่วมด้วย คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ และ ลม สี กลิ่น รส โอชา เป็นต้น ครับ แต่ ถ้า เป็นเสียง ที่เกิดจากจิต เป็นเหตุ ก็ให้ มีรูปเพิ่มมากขึ้น มากกว่า ๙ คือ มี อวินิพพโภครูป ๘ คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา และ วจีวิญญัติ และ เสียง เป็นต้น ครับ
เสียงต่างๆ ไม่ว่าเสียงประเภทใด ก็คือ เสียง แต่จะเป็นเสียงที่ประณีต ไม่ประณีต ก็แล้วแต่ ประเภทของเสียงนั้น เสียงที่ทำให้เข้าใจพระธรรม คือ เสียงที่ประเสริฐ แต่ผู้ที่ได้ฟัง คือ ผู้ที่ได้สะสมปัญญา ความเข้าใจมาด้วยเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนการศึกษาพระธรรม อาจจะเข้าใจผิดว่า เสียง ไม่ได้เป็นรูป ที่เป็นรูปจะมีเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้ เท่านั้น นี้คือ ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แม้แต่เสียง ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ตามสมุฏฐานของตนๆ เสียง เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู เสียง เกิดจาก ๒ สมุฏฐาน คือ เกิดจากอุตุบ้าง เกิดจากจิตบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เกิดจากสมุฏฐานใดใน ๒ สมุฏฐาน ก็คือ มีลักษณะที่กระทบกับโสตปสาทะ (หู) เท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า เสียง ในภายนอก มีมากมาย ก็เป็นเสียง แต่ไม่ได้เป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น แต่ถ้าเป็นอารมณ์ของจิตเมื่อใด ก็เป็นสัททารมณ์ เพราะเป็นสิ่งที่จิตรู้ในขณะนั้น
ถ้าเป็นเสียงในภายนอก ซึ่งเกิดจากอุตุ ก็มีรูปรวมกัน ๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘ และ สัททรูป อีก ๑ รวมเป็น ๙ รูปพอดี แต่ถ้าเป็นกลุ่มของเสียงที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน จะมีรูปมากกว่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ข้อที่น่าพิจารณา คือ ไหนๆ ก็จะได้ยินอยู่แล้ว กล่าวคือ เมื่อมีโสตปสาทะ (หู) แล้ว ก็ควรที่จะได้ยินเสียง ที่จะเกื้อกูลได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง นั่นก็คือ ตั้งใจฟังพระธรรม แต่ต้องไม่ลืมความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
เท่านี้ก็เป็นบุญเหลือหลาย ที่ได้เข้าใจว่าเสียงคือรูป และรูปก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เกิดได้ทุกที่แต่เสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงที่กระทบโสตประสาทะ จิตรับรู้อารมณ์ ลองดูสิคะ เดินไปตามถนนมีเสียงมากมาย แต่ทำไมถึงรู้ว่าเป็นเสียงด่า กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อได้ยินเสียงไพเราะและทำให้เกิดปัญญา นั่นคือผลของกุศล ส่วนเมื่อได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เสียงด่า เสียงบ่น และเสียงนินทา เป็นผลของอกุศล
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ