ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเรียนถามนะคะ ว่า
อวิชชาคืออะไร ได้แก่ ปรมัตถธรรมอะไรบ้าง กรุณายกตัวอย่างจากพระไตรปิฎก และจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้ด้วยค่ะ อธิบายหลายๆ นัย ก็ได้นะคะ ยิ่งอ่านยิ่งฟัง เป็นประโยชน์ในการพิจารณาต่อๆ ไปค่ะ
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อวิชชา (ความไม่รู้) โมหะ (ความเขลา ความหลง) และความไม่รู้ ทั้ง ๓ คำ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่เป็นอกุศลธรรม เป็นรากเหง้าของสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย เป็นสภาพธรรมที่ทำให้หมู่สัตว์ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น และเป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกชนิด เป็นความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
แสดงถึงความเป็นไปของธรรมอย่างแท้จริง ถ้าหากไม่มีอวิชชา แล้วก็หมายถึงว่าดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้น ไม่มีอวิชชา เมื่อไม่มีอวิชชาจึง ไม่มีกุศล กับ อกุศล เกิดขึ้นอีกเลย นี้คือ แสดงถึงความต่างที่เห็นอย่างชัดเจน ระหว่างผู้ที่ยังมีอวิชชาอยู่ กับผู้ที่ดับอวิชชาได้อย่างหมดสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีอวิชชาจึงยังเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม และอกุศลกรรมได้ และเมื่อมีการทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่เป็นเหตุแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้
ประโยชน์จริงๆ คือ ได้รู้ตัวเองว่า ยังเป็นผู้มีอวิชชาอยู่ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย นั้น ก็คือ หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว พระธรรมที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กายทุจริต เป็นต้นชื่อว่า อวินทิยะ ความว่า ไม่ควรได้ เพราะอรรถว่า ไม่ควรบำเพ็ญ ธรรมชาติใด ย่อมได้ซึ่งอวินทิยะนั้น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อวิชชา.
กายสุจริต เป็นต้น ชื่อว่า วินทิยะ ความว่า ควรได้ เพราะตรงกันข้ามกับอวินทิยะนั้น. ธรรมชาติใด ย่อมไม่ได้ซึ่งวินทิยะนั้น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า อวิชชา
(จาก .... พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค)
เพราะมีความไม่รู้ คือ อวิชชา เป็นเหตุ จึงทำให้มีการกระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มากมายมีกายทุจริตเป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรบำเพ็ญ ไม่สะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ควรได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสะสมเหตุที่ไม่ดี ให้กับตนเอง และเมื่อผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นกับตนเองเท่านั้น เพราะอวิชชา จึงกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เป็นการตัดโอกาสแห่งการเกิดขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
จึงสรุปได้ว่า อวิชชาทำให้ได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ และทำให้ไม่ได้ในสิ่งที่ควรได้
แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ตรงกันข้ามกับอวิชชาอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ความดีประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น ทำให้ได้ในสิ่งที่ควรได้ เพราะกุศลธรรมเจริญ จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ปัญญาหรือวิชชา จึงเป็นธรรมที่นำไปสู่ความดีทั้งปวงอย่างแท้จริง ทำให้เว้นจากสิ่งที่ไม่ดี ดังข้อความที่ว่า "มีหรือ ที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?"
อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริง เมื่อว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โมหเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท จะเห็นได้ว่า อกุศลจิตทุกดวง ทุกประเภท เกิดเพราะโมหะ หรือ อวิชชา ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลอะไรในชีวิต เป็นต้น, สาเหตุหลักที่แต่ละบุคคลยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็มืดมน ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะฉะนั้นแล้ว อวิชชาจึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน (เพราะอวิชชา เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกดวง) ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ตาม
หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายอวิชชาให้เบาบางลงได้ คือ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ฟังแล้วต้องมีความจริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วย และที่สำคัญ อวิชชา จะถูกดับได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ทุกคนก็สามารถเริ่มอบรม สะสมปัญญาได้ตั้งแต่ในขณะนี้ กว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ นั่นเอง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
แม้แต่ขณะนี้เห็นไม่รู้ว่าเป็นธรรม หรือได้ยินไม่รู้ว่าเป็นธรรม ฯลฯ ก็เป็นอวิชชาแล้วค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ