เรียนถามท่านวิทยากรและท่านผู้รู้ เนื่องจากเคยได้ยินและอ่านหนังสือเจอว่า ผู้ที่เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบพบเจอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าเกิดจากผลของกรรมอย่างเดียว ผู้ที่เชื่อแบบนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ขอเรียนถาม ดังนี้
1. ผู้ที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบพบเจอทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าเชื่อว่าเกิดจากผลของกรรมอย่างเดียว บุคคลที่เชื่อแบบนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิใช่หรือไม่
2. อยากทราบว่าข้อความหรือเนื้อหา ที่กล่าวว่า บุคคลที่เชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากผล ของกรรมอย่างเดียว ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ (ถ้าใช่) อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน ประสงค์ที่ จะอ่านเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
3. ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบพบเจอในชีวิต ไม่ได้เกิดจากผลของกรรมอย่างเดียว จึงอยากทราบว่านอกจากผลของกรรมแล้ว ยังมีปัจจัยอย่างอื่นคืออะไรอีกบ้าง เพื่อความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
ถ้าความเห็นนั้นไม่ตรงตามความเป็นจริง ชื่อว่า เห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เพราะความจริง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีปัจจัยหลายอย่าง แม้แต่รูป ยังมีสมุฏฐานให้เกิดถึงสี่ประเภท คือ เกิดจากกรรมก็มี เกิดจากอุตุก็มี เกิดจากจิตก็มี เกิดจากอาหารก็มี ส่วนนามธรรมก็มีปัจจัยเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดขึ้น เช่น เหตุปัจจัย อารัมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย เป็นต้น ยังไม่มีตัวอย่างในขณะนี้ครับ แต่ถ้าพิจารณาแล้ว ก็รู้ได้ว่า เห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง..
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเกิดจากเหตุหลายประการ ไม่ใช่เกิดจากผลของกรรมเท่านั้นอย่างเช่น กิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดจากผลของกรรมแต่เกิดจากกิเลสที่มีอยู่ ทำให้มีเหตุให้กิเลสเหล่านั้นเกิดขึ้น รูปบางอย่างเกิดจากผลของกรรมก็มี (ประสาทตา ประสาทหู เป็นต้น) รูปบางอย่างเกิดจากอุตุก็ได้ เช่น ต้นไม้ เป็นต้น ดังนั้นต้องเข้าใจว่าขณะไหนเป็นผลของกรรม ผลของกรรมคืออะไร ดังนั้น สิ่งที่ประสบพบเจอจะเป็นผลของกรรมคือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นต้น เป็นผลของกรรมแต่ขณะอื่นๆ ที่เป็นกุศลหรืออกุศลไม่ใช่ผลของกรรม ซึ่งหากเข้าใจว่าขณะที่เห็นได้ยิน เป็นวิบากอันนี้ไม่ผิด แต่ถ้าเข้าใจว่าเป็นผลของกรรมที่ทำมาในอดีตทั้งหมดตรงนี้ไม่ใช่ครับ อาจเกิดจากกรรมในปัจจุบันก็ได้ครับ
ส่วนที่คุณถามในเรื่องของข้อความในพระไตรปิฎกในเรื่องนี้นั้น ก็มีแสดงไว้ใน
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 1
เทวทหสูตร
ซึ่งจะแสดงไว้ว่าพวกนิครนถ์ที่เป็นผู้เห็นผิดมีความคิดว่า การที่เราได้ประสบสุขทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์ทั้งหมดเกิดจากกรรมที่ตนทำไว้แต่ก่อนทั้งหมด ซึ่งเป็นความเห็นผิดครับ ซึ่งก็สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ตามที่ทำลิ้งไว้ให้ครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ถ้าเชื่อกรรมและผลของกรรมมีจริง เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกขณะที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม ปัจจัยทั้งหมด มี 24 ปัจจัย ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังมีเหตุมีปัจจัยให้เกิดอวิชชาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุมีปัจจัย ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นมาลอยๆ เป็นความจริงที่ว่า กรรม ที่ได้กระทำไปแล้ว สำเร็จไปแล้ว เมื่อถึงคราวให้ผล ไม่มีใครหนีพ้นได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอากาศ อยู่ในซอกเขา หรือ อยู่ในน้ำก็ตาม ถ้าศึกษาให้ละเอียด ก็จะเข้าใจได้ว่า ขณะใดบ้างในชีวิตที่เป็นผลของกรรม เริ่มต้นตั้งแต่เกิดมาในภพนี้ แรกที่เกิด ก็เป็นผลของกรรมแล้ว ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็เป็นผลของกรรม แต่ นอกจากนั้นแล้วยังมีสภาพธรรมอื่นๆ อีกที่ไม่ใช่ผลของกรรม อย่างเช่น ขณะที่เกิดโลภะหรือโทสะ ก็มีปัจจัยที่จะเกิด (ขณะที่โลภะ หรือ โทสะ เกิดไม่ใช่ผลของกรรม) เป็นไปตามการสะสม เป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น จึงควรทราบว่า สภาพธรรมใดก็ตามที่จะเกิด ก็เพราะมีเหตุมีปัจจัยจึงเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งจะต้องเป็นกิจหน้าที่ของปัญญา เท่านั้น ที่จะรู้ความจริงได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ