ได้ยินมาว่า อายุมนุษย์มีน้อยไม่ถึง 100 ปีบ้างหรือกว่าบ้าง การฝึกตนจึงจำเป็นที่สุด ไม่ควรมัวแต่มุ่งหวังในการทำมาหากิน ลาภ ยศ ทำให้เสียเวลาที่เกิดมา ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำมาหากินใช่ใหมครับ ที่ทำมาหากินมาครึ่งค่อนชีวิตคือสูญเปล่าหรือครับ ถ้าไม่ทำมาหาเก็บ แล้วลูกหลานจะทำอย่างไรครับสำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐีนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับปุถุชน แปลว่า ผู้ที่หนาด้วยกิเลส คือ มีกิเลสมากและเกิดขึ้นบ่อย เป็นธรรมดา จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ซึ่งหากพิจารณาความจริงแล้ว กิเลสเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ตัวเลยเพียงเห็น กิเลสก็เกิดขึ้นแล้วเป็นธรรมดา รวดเร็วมากๆ เพราะฉะนั้น แม้จะมีทรัพย์มากทรัพย์น้อย กิเลสก็มีมากเช่นกัน ยินดีในทรัพย์เพียงเล็กน้อยที่มีอยู่ แต่ยินดี ติดข้องมากก็ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคน แต่โดยรวมแล้วก็กิเลสมากทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ในความเป็นจริง การศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาแล้ว จะกลายเป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลสเลยทันที แต่ต้องเข้าใจว่า สะสมกิเลสมามากมายนับชาติไม่ถ้วน สนิมที่เกาะอยู่นาน ไม่ใช่การขัดเพียงที สองทีจะหมดได้แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากมายกิเลสก็เช่นกัน จะต้องอาศัยระยะเวลาในการละ อย่างยาวนาน ซึ่งหากได้อ่านประวัติของพระสาวก ต้องอบรมมานับชาติไม่ถ้วน ครับ เพราะฉะนั้น การยินดีในทรัพย์ เงินทอง การเลี้ยงชีพ ก็ยังเป็นปกติธรรมดา ผู้ที่ไม่ติดข้องใน รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส คือ พระอนาคามี แม้พระสกทาคามีและ พระโสดาบัน ท่านก็ยังมีกิเลส ยังยินดีในการเลี้ยงชีพ และ ประกอบอาชีพ มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขาอุบาสิกา เป็นต้น ก็ยังประกอบอาชีพ ยินดีในการเลี้ยงชีพ แม้พระโพธิสัตว์ ผู้อบรมปัญญาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ใฝ่ธรรม ก็ประกอบอาชีพ และ แบ่งปันทรัพย์ที่ได้มา เลี้ยงครอบครัว และ ทำบุญ เจริญกุศลตามสมควร ครับ นี่คือ ชีวิตของคฤหัสถ์ ที่เป็นวินัยคฤหัสถ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ที่เป็นปกติไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด ครับ เพราะฉะนั้น หนทางการอบรมปัญญาจึงเป็นการรู้ความเป็นปกติที่เกิดขึ้นของอกุศล และ กุศลและสภาพธรรมอื่นๆ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราซึ่งสามารถอบรมได้ในชีวิตปรจะำวัน ไม่ว่าเพศใด ประกอบอาชีพใด ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กรรมจะบีบคั้นให้เรามี รวย จน ตามวิบาก ผมเชื่อเช่นนี้นะครับ
จากการพิจารณาเรื่องราวของตนเอง อยากรวยเท่าไหร่เมื่อวิบากยังไม่ให้ผล
จะพยายามขยันแค่ไหนก็ยังไม่ให้ผล แต่เมื่อวิบากจะให้ผล ห้ามยังไงก็ไม่ไหว
ระหว่างรอขอให้สะสมเหตุปัจจัยที่ดีไปด้วย โดยการฟังธรรม สะสมความเข้าใจถูก
และเมื่อโอกาสที่เป็นวิบากเข้ามา การคิดตัดสินใจจะเด็ดขาดและเป็นไปด้วยกุศลกรรม
ทรัพย์สมบัติภายนอกมีแต่จะชี้นำให้เราเดินตามวิถีของกิเลส อย่าตกเป็นทาสของอกุศลครับ
สะสมทรัพย์ภายในคือกุศล และ ปัญญา ไปด้วย มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองมากมาย
เป็นทรัพย์ที่เอาติดตัวไปได้ด้วยทุกภพชาติ พกติดตัวไปไหนก็เบาสบาย ไม่มีใครมาขโมยได้
และยิ่งให้ก็ยิ่งได้ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
อยากหลอกตัวเองหรือจะรู้ความจริง
ท่านอาจารย์สุจินต์... อยากจะหลอกตัวเองต่อไปหรืออยากจะรู้ความจริง รู้จักตัวเองขึ้นให้ถูกต้อง วันนี้ตักตวงวัดอกุศลไม่ได้เลยว่ามากสักเท่าไร เพราะมากจริงๆ ชั่วขณะที่ฟังธรรมเป็นกุศล และขณะอื่นเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สำหรับคนซึ่งสะสมกุศลมามาก วันหนึ่งกุศลมีโอกาสเกิดได้บ่อยแต่ไม่ใช่หมายความว่ามากเท่าอกุศล เพราะเหตุว่าทันทีที่ลืมตาก็โลภะแล้ว แล้วจะให้บอกว่าอย่างไร ถ้าเป็นพระอรหันต์ ลืมตาแล้วไม่มีหรอกโลภะ แต่เมื่อไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง การที่จะรักษาโรค ก็ต้องรู้สมุฏฐานของโรค ถ้าไม่รู้สมุฏฐานแล้วจะละอย่างไร คนที่ไม่มีปัญญารู้ความจริง ไม่มีทางที่จะดับทุกข์ หรือดับกิเลสได้เลย เมื่อมีกิเลสก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส แล้วจะละกิเลสได้อย่างไร แต่ผู้ที่รู้จักกิเลส สามารถที่จะละกิเลสได้ เพราะรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร ถ้ารู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่ดี แล้วก็จะได้ทำดี แต่คิดว่าตัวเองดีแล้ว พอแล้ว ก็ต่างกันใช่ไหมคะ ถ้าใครเขาบอกว่าไม่ดี เราจะรับไหมคะว่าจริงค่ะ ถูกค่ะ ไม่ดีจริงๆ เพราะตั้งแต่ลืมตาก็เป็นอกุศลก็มาเยอะแยะแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะยังมีกิเลส จึงยังต้องเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ สำหรับในชาตินี้ กล่าวได้ว่า ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ [ดีกว่าเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ] ซึ่งจะได้มีโอกาสฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจต่อไป และสะสมความดีทุกประการ กว่าที่อกุศลนานาประการจะค่อยๆ ละคลายลงไปได้ ก็ด้วยความเข้าใจเพิ่มขึ้น นั่นเอง และ ชีวิต ก็ยังต้องเป็นไป มีการประกอบอาชีพ มีการดำรงชีวิตตามควรแก่ฐานะของตน ไม่ให้เดือดร้อน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
อนุโมทนาครับ