เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"การมีบัญญัติเป็นอารมณ์เป็นความเห็นผิดหรือไม่อย่างไรครับ" ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่พระอริยเจ้าและพระพุทธเจ้า ผู้ที่ดับความเห็นผิดจนหมดสิ้นก็ยังจะต้องเห็นเป็นสิ่งนั้น เห็นเป็นดอกไม้ เป็นพระอานนท์ เพราะเหตุใด เพราะตามธรรมชาติของวิถีจิตที่จะต้องเป็นอย่างนั้น คือ เกิดทางปัญจทวาร แล้วก็เกิดทางมโนทวารต่อ ที่คิดในรูปร่างสัณฐานของสิ่งนั้น จึงเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเห็นแล้ว คิดนึกเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ ด้วยกุศลจิตก็ได้ เช่น เห็นขอทานแล้วเกิดชวนจิตที่เป็นกุศลที่มีเจตนาจะให้ โดยมีบัญญัติ เรื่องราว สัตว์ บุคคล หรือขอทานเป็นอารมณ์ แม้จะเห็นเป็นสัตว์บุคคล แต่ไม่ได้มีความเห็นผิด แต่เกิดกุศลจิตแทนครับ
ดังนั้น การเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ไม่จำเป็นจะต้องมีความเห็นผิด เพราะเห็นแล้วเกิดกุศลจิต ขณะนั้นก็ไม่ได้เห็นผิด เห็นแล้วโกรธ ขณะที่โกรธ ไม่ได้มีความเห็นผิดเกิดขึ้นมาว่า มีคน มีสัตว์จริงๆ คือ ไม่ได้เกิดความเห็นผิดขึ้นในจิตใจ ก็ไม่ได้เห็นผิด
ทิฏฐิเจตสิกคือความเห็นผิดเป็นนามธรรม เกิดร่วมกับจิต ขณะใดที่มีความเห็น ต้องย้ำคำว่าความเห็นนะครับ คือมีความเห็นเกิดขึ้นที่ใจด้วยคิดว่า เที่ยง เป็นสุข และเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ขณะใดที่มีความเห็นเช่นนั้นเกิดขึ้นก็มีความเห็นผิดแล้ว ซึ่งอาจแสดงออกมาทางวาจา ก็ได้ แต่ก็ต้องคิดในใจก่อน ซึ่งขณะนั้นก็มีความเห็นผิดเกิดแล้ว
เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า ขณะที่มีสัตว์บุคคล มีบัญญัติเป็นอารมณ์ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องมีความเห็นผิด ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ครับ ความเห็นผิด เป็นเหตุนำมาซึ่งอกุศลธรรมอย่างมากมาย เพราะเหตุว่าเมื่อมีความเห็นผิดแล้ว อะไรๆ ก็ผิดตามไปด้วย กล่าวคือ ความประพฤติทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ก็ผิดไปด้วยตามความเห็นที่ผิด นั่นเอง ผลที่ตามมา คือ เป็นผู้มีอบายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวและ จะประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
ขณะที่ฟังพระธรรม เป็นการสะสมความเข้าใจถูก เริ่มที่จะมีความเห็นถูก จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ โดยที่ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญาอย่างแท้จริง การที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นๆ นั้น ดีกว่าที่จะไม่มีหนทางเลย ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ขณะที่เรายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ นั้น การที่เราไม่มีหนทาง ก็เหมือนกับการที่เราตกไปในเหวลึก ที่ไม่มีทางขึ้นและมืดสนิท เมื่อเราตกไปในเหวลึกแล้ว เราไม่ควรที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย แต่ควรอย่างยิ่งที่เราจะค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จากการฟัง การศึกษาในชีวิตประจำวัน นั่นเอง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาอย่างยิ่ง, ประการที่สำคัญ เราไม่สามารถที่จะทราบได้เลยว่า โอกาสที่เราจะเข้าใจธรรมในภพนี้ชาตินี้ จะเหลืออีกเท่าใด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในการที่จะให้ตนเอง มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลส มีความเห็นผิด เป็นต้น ได้ในที่สุด เพราะ ขณะที่เข้าใจ ปัญญาเกิด ก็คุ้มครองไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด แล้ว และในขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ด้วย ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประเด็นที่ควรจะได้พิจารณา คือ การเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสักกายทิฏฐิเสมอไป เพราะจะเป็นความเห็นผิดก็ต่อเมื่อเห็นว่ามีเราจริงๆ มีตัวตนจริงๆ เป็นสิ่งนั้นจริงๆ ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน เป็นต้น เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เมื่อเห็นแล้ว ก็คิดนึกจำเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ หมายรู้ว่า เป็นใคร เป็นอะไร เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี๊ เป็นอวัยวะต่างๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นต้น ซึ่งก็เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อไม่ได้มีความเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ก็ไม่ใช่ความเห็นผิด แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ ที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน ก็เป็นความเห็นผิด แต่สำหรับพระอริยบุคคล ท่านดับความเห็นผิดได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ไม่ได้มีความเห็นผิดว่ามีสัตว์ มีบุคคล หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจริงๆ ในขณะนั้น เพียงแต่จำ ในนิมิต สัณฐาน หรือ ส่วนละเอียดต่างๆ นั้น ตามที่เป็นอย่างนั้น หมายรู้ว่า เป็นใครหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่ใช่ด้วยความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์บุคคล หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
มีบัญญัติเป็นอารมณ์ไม่ใช่ความเห็นผิดเสมอไป เพราะการเจริญเมตตายังต้องมีสัตว์ บุคคลเป็นอารมณ์ และ บัญญัติเป็นอารมณ์ของสมถภาวนาได้ แต่บัญญัติจะเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานไม่ได้ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอาจารย์ทุกท่านอย่างยิ่งค่ะ
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ก็ยังมีปัจจัยให้จิตของพระองค์มีบัญญัติเป็นอารมณ์อยู่
เช่น ยังทรงเห็นท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ เป็นต้น
แต่เป็นโสภณกิริยาของพระอรหันต์ ไม่ใช่กุศลจิต และอกุศลจิต ครับ.
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง ครับ.
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ