๔. นันทกเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระนันทกเถระ
โดย บ้านธัมมะ  19 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40595

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 19

เถรคาถา จตุกกนิบาต

๔. นันทกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระนันทกเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 19

๔. นันทกเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระนันทกเถระ

[๓๒๖] เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็น เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง ๙ ช่อง เป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาดเป็นนิตย์ ท่านอย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวกผู้บรรลุอริยสัจธรรม ให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส เพราะอริยสาวกของพระตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์ จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณอันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชน เหล่าใดแลเป็นคนพาล มีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้นจึงจะกำหนัดยินดีใน เครื่องผูกที่มารดักไว้ ชนเหล่าใดคายราคะ โทสะ และ อวิชาได้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้าย คือตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อมไม่กำหนัดยินดีในบ่วงมารนั้น.

จบนันทกเถรคาถา

อรรถกถานันทกเถรคาถาที่ ๔

คาถาแห่งพระนันทกเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ธีรตฺถุ ดังนี้. เรื่องนั้น มีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตระ


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 20

พระเถระแม้นี้ เป็นเศรษฐีมีสมบัติมากในหังสวดีนคร กำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งอันเลิศ แห่งภิกษุผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้ามีราคา ๑๐๐,๐๐๐ แล้ว ได้ตั้งความปรารถนาไว้ และให้การบูชาด้วยประทีป ณ โพธิพฤกษ์แด่พระศาสดา. จำเดิมแต่นั้นมา ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ ได้เป็นนกการเวกส่งเสียงกึกก้องไพเราะ กระทำประทักษิณพระศาสดา, ภายหลังเป็นนกยูง มีจิตเลื่อมใส วันหนึ่งร้องเสียงอันไพเราะขึ้น ๓ ครั้ง อยู่ที่ประตูถ้ำอันเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทำบุญในที่นั้นๆ ด้วยอาการอย่างนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในกรุงสาวัตถี ได้นามว่า นันทกะ เจริญวัยแล้ว ฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ได้ศรัทธาบรรพชาเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทาน (๑) ว่า

เราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ชูคบเพลิงไว้ ๓ ดวง ที่ไม้โพธิพฤกษ์ของพระพุทธเจ้า พระนามปทุมุตระ ซึ่งเป็นไม้สูงสุดกว่าไม้ทั้งหลาย ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาคบเพลิงใด ด้วยการบูชาคบเพลิงนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลของการบูชาคบเพลิงเป็นทาน เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว... ฯลฯ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.


๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๔๕.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 21

ก็แลท่านเป็นพระอรหันต์ ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่วิมุตติ ถูกพระศาสดาทรงสั่งให้โอวาทภิกษุทั้งหลาย ในอุโบสถวันหนึ่ง ได้ให้ภิกษุณี ๕๐๐ บรรลุพระอรหัตโดยโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ให้โอวาทนางภิกษุณี. ภายหลังวันหนึ่ง หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าคนหนึ่ง แลดูพระเถระผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ด้วยอำนาจแห่งกิเลสแล้วหัวเราะ. พระเถระเห็นกิริยานั้นของหญิงนั้น เมื่อจะกล่าวธรรม โดยยกเอาการประกาศความเป็นของปฏิกูลแห่งสรีระ จึงได้กล่าวคาถา (๑) ว่า

เราติเตียนร่างกายอันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด มีกลิ่นเหม็น เป็นฝักฝ่ายแห่งมาร ชุ่มไปด้วยกิเลส มีช่อง ๙ ช่อง เป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาดเป็นนิตย์ ท่าน อย่าคิดถึงเรื่องเก่า อย่ามาเล้าโลมอริยสาวกผู้บรรลุอริยสัจธรรมให้ยินดีด้วยอำนาจกิเลส เพราะพระอริยสาวกของตถาคตเหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในกามคุณแม้ในสวรรค์ จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณอันเป็นของมนุษย์เล่า ก็ชนเหล่าใดแลเป็นพาล มีปัญญาทราม มีความคิดชั่ว ถูกโมหะหุ้มห่อไว้แล้ว ชนเหล่านั้นจะกำหนัดยินดี ในเครื่องผูกที่มารดักไว้ ชนเหล่าใดคายราคะ โทสะ และอวิชชา ได้แล้ว ชนเหล่านั้นเป็นผู้คงที่ เป็นผู้ตัดเส้นด้าย คือ ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพัน ย่อมไม่กำหนัดยินดีในบ่วงมารนั้น.


๑. ขุ. เถร. ๒๖/๓๒๖.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 22

บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า ธิ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า น่าติเตียน อักษร ในบทว่า รตฺถุ กระทำการเชื่อมบท อธิบายว่า น่าติเตียน คือขอ ติเตียนร่างกายนั้น อันเต็มไปด้วยของน่าเกลียด จงเป็นการติเตียนท่าน เถิด.

บทว่า ปุเร เป็นต้น เป็นไวพจน์แห่งการร้องเรียก อันแสดงภาวะ ที่พึงติเตียนหญิงนั้น. บทว่า ปุเร ได้แก่ ในร่างกายอันเต็มไปด้วยของ อันน่าเกลียดอย่างยิ่ง คือซากศพนานาชนิด ได้แก่ ด้วยของอันไม่สะอาด มีอย่างต่างๆ.

บทว่า ทุคฺคนฺเธ ได้แก่ มีสภาวะมีกลิ่นเหม็น เพราะเต็มไปด้วย ซากศพนั่นเอง.

บทว่า มารปกฺเข ความว่า เพราะเหตุที่วัตถุอันวิสภาค (ที่เป็นข้าศึกกัน) ย่อมยังกิเลสมารให้เจริญ เพราะปุถุชนคนบอด มีการใส่ใจโดยไม่แยบคายเป็นนิมิต และย่อมให้โอกาสแก่เทวบุตรมารเข้าไป. เพราะฉะนั้น จึงเป็นฝักฝ่ายแห่งมาร. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มารปกฺเข ดังนี้.

บทว่า อวสฺสุเต ความว่า อันชุ่มไปด้วยการไหลออกแห่งกิเลสและด้วยการไหลออกแห่งของอันไม่สะอาด ในที่นั้นๆ ตลอดกาลทั้งปวง. บัดนี้ ท่านแสดงถึงฐานะเป็นที่ไหลออกแห่งของอันไม่สะอาดของหญิงนั้น ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยว่า ขี้ตาไหลออกจากตาเป็นต้น.

ก็หญิงนั้น เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งกายอันมีช่อง ๙ ช่อง เต็มไปด้วยของอันไม่สะอาด ไหลออกเป็นนิจด้วยอาการอย่างนี้ อย่าสำคัญการหัวเราะการเจรจาการเล่น อันเป็นไปในการไม่รู้ถึงเรื่องเก่าว่า อย่าคิดสำคัญถึงเรื่องเก่า คือ อย่าคิดว่า แม้บัดนี้ เธอจักปฏิบัติอย่างนี้.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 23

บทว่า มาสาเทสิ ตถาคเต ความว่า ท่านอย่าเข้าประเล้าประโลม ด้วยความดูหมิ่น และด้วยอำนาจกิเลสซึ่งพระอริยสาวก ผู้ดำเนินไปอย่างนั้น ด้วยมีมรรคผลเป็นที่มา เป็นอย่างนั้น คือโดยประการนั้น เหมือนปกติสัตว์ให้ยินดีว่า พุทธสาวกในปางก่อน มาด้วยความถึงพร้อมด้วยธรรมอันเป็นอุปนิสัยฉันใด หรือว่าพุทธสาวกเหล่านั้น ไปคือดำเนินไปด้วยการปฏิบัติชอบฉันใด อนึ่ง มาถึง คือบรรลุ ได้แก่ หยั่งรู้ลักษณะอันถ่องแท้แห่งรูปธรรมและนามธรรม และธรรมอันถ่องแท้คืออริยสัจ ฉันใด แม้ชนเหล่านี้ก็ฉันนั้น. ท่านกล่าวเหตุแห่งความเป็นผู้ไม่ประเล้าประโลมยินดีว่า พระอริยสาวกย่อมไม่กำหนัดยินดีแม้ในสวรรค์ จะป่วยกล่าวไปไยถึงพวกมนุษย์เล่า ดังนี้ อธิบายว่า พุทธสาวกเหล่านั้น ย่อมไม่กำหนัดยินดีในสุข แม้อันพระสัพพัญญูพุทธเจ้าไม่สามารถให้สิ้นลงได้ ด้วยการบอกทางก็ดี ในสวรรค์ก็ดี คือย่อมยังราคะให้เกิด รอผลการพิจารณา จาก อ.คำปั่น เพราะเห็น โทษในสังขารทั้งหลายดีแล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึงกามคุณ อันเป็นของมนุษย์ อันเป็นเสมือนกองคูถ คือไม่จำต้องกล่าวถึงเลยว่า ไม่กำหนัดยินดีในกามคุณนั้น.

บทว่า เย จ โข ความว่า ก็ชนเหล่าใด ชื่อว่าเป็นพาล เพราะประกอบด้วยความเป็นพาล ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาทราม เพราะไม่มีปัญญา อันมีโอชะเกิดแต่ธรรม ชื่อว่าผู้มีความคิดชั่ว เพราะครุ่นคิดแต่สิ่งที่ชั่ว โดยตามเห็นในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ชื่อว่าถูกโมหะครอบงำ เพราะเป็นผู้มีจิตถูกโมหะ คือความไม่รู้ปิดบังไว้ โดยประการทั้งปวง ปุถุชนคนบอด ก็เช่นนั้น คือเห็นปานนั้น ย่อมกำหนัดยินดีในเครื่องผูกพัน อันสำคัญว่าเป็นหญิง


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 24

อันมารซัดไป คืออันมารดักไว้ ได้แก่บ่วงมารนั้นๆ ได้แก่ กำหนัด ติดอยู่ ข้องอยู่ สยบ หมกอยู่.

บทว่า วิราชิตา ความว่า ก็ชนเหล่าใดคือพระขีณาสพ คาย คือละได้ ตัดขาดราคะ อันมีสภาวะเปลื้องได้ยาก เหมือนเครื่องย้อมที่หยอดด้วยน้ำมัน โทสะ มีสภาวะประทุษร้าย เหมือนข้าศึกได้โอกาส และ อวิชชา มีสภาวะไม่รู้ ด้วยการคายด้วยอริยมรรค โดยประการทั้งปวง ชนเหล่านี้ก็เช่นนั้น ผู้มีตัณหาดุจเส้นด้ายเครื่องนำสัตว์ไปสู่ภพอันตัดได้แล้ว ด้วยศัสตราคืออรหัตตมรรค ชื่อว่าผู้ไม่มีกิเลสดุจเครื่องผูก เพราะไม่มีเครื่องผูก แม้ในที่ไหนๆ นั้นนั่นเอง ย่อมคายบ่วงของมารตามที่กล่าวแล้วนั้น พระเถระแสดงธรรมแก่หญิงนั้น แล้วจากไป ด้วยประการฉะนี้.

จบอรรถกถานันทกเถรคาถาที่ ๔