[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 56
ปฐมปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๓
๑. สีหสูตร
ว่าด้วยกําลังของพระตถาคต ๑๐ ประการ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 38]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 56
มหาวรรคที่ ๓
๑. สีหสูตร
ว่าด้วยกำลังของพระตถาคต ๑๐ ประการ
[๒๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลาเย็น สีหมฤคราชย่อมออกจากที่อาศัย ครั้นแล้วย่อมเหยียดดัดตัว ครั้นแล้วย่อมเหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ ครั้นแล้วย่อมบันลือสีหนาทสามครั้ง ครั้นแล้วย่อมหลีกไปเพื่อหากิน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมันคิดว่า เราอย่าได้ยังสัตว์ตัวเล็กๆ ผู้ไปในที่หากินอันไม่สม่ำเสมอให้ถึงการถูกฆ่าเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าสีหะนี้แล เป็นชื่อแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตแสดงธรรมแก่บริษัท เป็นสีหนาทของตถาคต.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประกอบด้วยกำลังเหล่าใด ย่อมปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท กำลังของตถาคตมี ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งฐานะโดยเป็นฐานะ และอฐานะโดยเป็นอฐานะในโลกนี้ ตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งฐานะโดยเป็นฐานะ และอฐานะโดยเป็นอฐานะตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งวิบากแห่งการยึดถือการกระทำทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งวิบากแห่งการยึดถือการกระทำที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน โดยฐานะ โดยเหตุตามที่เป็นจริงนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 57
เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงประโยชน์ทั้งปวงตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงซึ่งประโยชน์ทั้งปวงตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งโลกอันมีธาตุเป็นอเนก มีธาตุต่างๆ ตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งโลกอันมีธาตุเป็นอเนก มีธาตุต่างๆ ตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีอัธยาศัยต่างๆ กันตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีอัธยาศัยต่างๆ กันตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งความหย่อนและยิ่งแห่งอินทรีย์ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นตามเป็นจริงนี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 58
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมรู้ชัดซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติทั้งหลายตามเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตรู้ชัดซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติทั้งหลายตามเป็นจริงนี้เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฎกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฎกัปวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนี้ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ นี้เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 59
อีกประการหนึ่ง ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ตถาคตย่อมเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตเห็นสัตว์ผู้กำลังจุติ อุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ รู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ฯลฯ นี้ เป็นกำลังของตถาคต ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
อีกประการหนึ่ง ตถาคตกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ตถาคตกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ แม้นี้ ก็เป็นกำลังของตถาคต
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 60
ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประกอบด้วยกำลังเหล่าใด ปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท กำลังของตถาคตเหล่านั้น ๑๐ ประการนี้แล.
จบสีหสูตรที่ ๑
มหาวรรคที่ ๓
อรรถกถาสีหสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๓ สีหสูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิสมคเต ได้แก่ ผู้ไปในที่หาเหยื่ออันไม่ราบเรียบ. บทว่า สงฺฆาตํ อาปาเทสิํ แปลว่า ให้ถึงฆาต คือการถูกฆ่า. จริงอยู่ ราชสีห์นั้น มีความเอ็นดูในหมู่สัตว์เล็กๆ เพราะตนมีอำนาจมาก. เพราะฉะนั้น จึงคิดว่าหมู่สัตว์เหล่าใด อาจตั้งอยู่ในฐานะเป็นศัตรู จำต้องฆ่าหมู่สัตว์เหล่านั้นเสีย หมู่สัตว์เหล่าใดอ่อนกำลัง ประสงค์จะหนี หมู่สัตว์เหล่านั้น ก็จักหนีไปเสีย จึงบันลือสีหนาทแล้วออกไปล่าเหยื่อ. บทว่า ตถาคตสฺเสตํ อธิวจนํ ความว่า ก็ผิว่าพระตถาคตชื่อว่า สีหะ เพราะทรงอดทนอย่างหนึ่ง เพราะทรงฆ่าอย่างหนึ่ง จึงทรงอดทนอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ทุกอย่าง และทรงฆ่าเสีย ด้วยทรงย่ำยีวาทะของเหล่าผู้มีวาทะเป็นข้าศึกทุกคน. บทว่า อิทมสฺส โหติ สีหนาทสฺมิํ ได้แก่ นี้เป็นสีหนาท คือการบันลือที่ไม่มีความกลัวของพระตถาคตนั้น.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 61
บทว่า ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ ได้แก่ เป็นกำลังของพระตถาคตเท่านั้น ไม่ทั่วไปกับคนอื่นๆ. อธิบายว่า พละของพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลายมาแล้วโดยสมบัติ คือบุญแลยศฉันใด แม้พละของพระตถาคตก็ฉันนั้น ดังนี้. ในคำว่า ตถาคตสฺส พลานิ นี้ กำลังมี ๒ อย่าง คือกำลังพระวรกาย ๑ กำลังพระญาณ ๑ ในกำลัง ๒ อย่างนั้น กำลังพระวรกายพึงทราบโดยการเทียบตระกูลช้าง. สมจริงที่พระโบราณจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
"กาฬาวกญฺจ คงฺเคยฺยํ ปณฺฑรํ ตมฺพปิงฺคลํ คนฺธมงฺคลเหมญฺจ อุโปสถจฺฉทฺทนฺติเม.
ตระกูลช้างเหล่านี้ คือ กาฬาวกะ ๑ คังเคยยะ ๑ ปัณฑระ ๑ ตัมพะ ๑ ปิงคละ ๑ คันธะ ๑ มังคละ ๑ เหมะ ๑ อุโปสถะ ๑ ฉัททันตะ ๑"
รวมช้าง ๑๐ ตระกูลเหล่านี้ บรรดาตระกูลช้างเหล่านั้น ตระกูลช้างกาฬาวกะ พึงเห็นว่าเป็นตระกูลช้างธรรมดาๆ กำลังกายบุรุษ ๑๐ คน เท่ากับกำลังช้างตระกูลกาฬาวกะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลกาฬาวกะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายช้างตระกูลคังเคยยะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลคังเคยยะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลปัณฑระ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลปัณฑระ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลตัมพะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลตัมพะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลปิงคละ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลปิงคละ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลคันธะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลคันธะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูล
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 62
มังคละ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลมังคละ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลเหมะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลเหมะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลอุโบสถะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลอุโบสถะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลฉัททันตะ ๑ เชือก กำลังกายของช้างตระกูลฉัททันตะ ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังพระวรกายของพระตถาคตพระองค์เดียว กำลังพระวรกายของพระตถาคตนี้เรียกว่า กำลังนารายณ์ดังนี้ก็มี กำลังพระวรกายของพระตถาคตนี้นั้น เมื่อเทียบช้างธรรมดาๆ ก็เท่ากับกำลังช้าง ๑ พันโกฏิ. เมื่อเทียบบุรุษ ก็เท่ากับกำลังบุรุษ ๑ หมื่นโกฏิ นี้เป็นกำลังพระวรกายของพระตถาคตก่อน.
พึงทราบกำลังพระญาณที่มาในบาลีก่อน พระทศพลญาณมาในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย จตุเวสารัชชญาณ อกัมปนญาณในบริษัท ๘ จตุโยนิปริจเฉทญาณ ปัญจคติปริจเฉทญาณ ญาณ ๗๓ ญาณ ๗๗ ซึ่งมาในคัมภีร์สังยุตตนิกาย รวมญาณดังกล่าวนี้ ญาณหลายพันอย่างอื่นอีก. นี้ชื่อว่า กำลังพระญาณ. แม้ในสูตรนี้ ท่านก็ประสงค์เอากำลังพระญาณเท่านั้น. จริงอยู่ พระญาณท่านเรียกว่า พละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว และเพราะอรรถว่าอุปถัมภ์.
บทว่า อาสภณฺฐานํ ได้แก่ ฐานะอันประเสริฐสุด คือฐานะอันสูงสุด. อีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย ชื่อว่า อาสภะ. อธิบายว่า ฐานะของอาสภะ พระพุทธเจ้าปางก่อนเหล่านั้น. อีกนัยหนึ่ง โคจ่าฝูง ๑๐๐ ตัว ชื่อว่า อุสภะ โคจ่าฝูง ๑,๐๐๐ ตัว ชื่อว่า อาสภะ หรือว่า โคจ่าฝูง ๑๐๐ คอก ชื่อว่า อุสภะ โคจ่าฝูง ๑,๐๐๐ คอก ชื่อว่า อาสภะ โคตัวประเสริฐสุดแห่งโคทั้งหมด ทนอันตรายได้ทุกอย่าง สีขาว ผึ่งผาย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 63
ลากเข็ญของหนักมากได้แม้ถูกเสียงฟ้าร้อง ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ชื่อว่า นิสภะ โคนิสภะนั้น ท่านประสงค์เอาว่า โคอุสภะในสูตรนี้. ก็คำนี้ เป็นคำบรรยายของคำว่า อุสภะนั้น. บทว่า อุสภสฺส อิทํ ได้แก่ อาสภะ. บทว่า ฐานํ ได้แก่ ที่ที่โคอาสภะยืนเอาเท้าทั้ง ๔ เหยียบลงแผ่นดิน. ก็ที่นี้ เป็นเหมือนอาสภะ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อาสภะ (ที่ยืนอย่างองอาจ) เพราะเปรียบเหมือนโคอุสภะ ที่นับได้ว่า โคนิสภะ ประกอบด้วยกำลังของโคอุสภะ เอาเท้าทั้ง ๔ ยืนเหยียบ ณ ที่ยืนโดยไม่ไหวติง ฉันใด แม้พระตถาคตทรงประกอบด้วยกำลังของพระตถาคต ๑๐ ประการ ทรงเหยียบแผ่นดิน คือบริษัท ๘ อันศัตรูหมู่ปัจจามิตรไรๆ ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ ก็ทรงยืน ณ ที่อันมั่นคงฉันนั้น เมื่อทรงยืนอย่างนั้น ก็ทรงปฏิญาณเข้าถึง ไม่บอกคืนฐานะอันสูงสุดที่มีในพระองค์ ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า อาสภณฺฐานํ ปฏิชานาติ ปฏิญาณฐานะอันสูงสุดดังนี้.
บทว่า ปริสาสุ ได้แก่ ในบริษัท ๘ คือขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชิกบริษัท ดาวดึงส์บริษัท มารบริษัท และพรหมบริษัท. บทว่า สีหนาทํ นทติ แปลว่า บันลือ การบันลืออันประเสริฐสุด บันลือการบันลือของบุคคลผู้ไม่มีความกลัว หรือบันลือการบันลือเสมือนการบันลือของราชสีห์. ในข้อนั้นมีอุปมาดังนี้ ราชสีห์ประกอบด้วยกำลังของราชสีห์ แกล้วกล้าในที่ทุกแห่ง ปราศจากขนพอง ย่อมบันลือสีหนาทฉันใด แม้ราชสีห์คือพระตถาคต ทรงประกอบด้วยกำลังของพระตถาคต ทรงแกล้วกล้าในบริษัททั้ง ๘ ปราศจากขนพอง ทรงบันลือสีหนาท อันพรั่งพร้อมด้วยความงามแห่งเทศนานานาวิธี โดยนัยว่าดังนี้ สักกายะเป็นต้นก็ฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 64
จึงตรัสว่า ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ บันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย ดังนี้.
ก็ในคำว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ นี้ คำว่า พฺรหฺมํ แปลว่า ประเสริฐสุด สูงสุด วิเศษสุด. คำว่า จกฺกํ ได้แก่ ธรรมจักร. ก็ธรรมจักรนี้นั้น มี ๒ อย่าง คือปฏิเวธญาณ ๑ เทศนาญาณ ๑. ใน ๒ อย่างนั้น ธรรมจักรที่พระปัญญาอบรมนำอริยผลมาให้พระองค์ ชื่อว่า ปฏิเวธญาณ ธรรมจักรที่พระกรุณาอบรมนำอริยผลมาให้พระสาวกทั้งหลาย ชื่อว่า เทศนาญาณ. ในญาณทั้งสองนั้น ปฏิเวธญาณมี ๒ คือที่กำลังเกิด ที่เกิดแล้ว จริงอยู่ ปฏิเวธญาณนั้น ชื่อว่ากำลังเกิดตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงพระอรหัตตมรรค ชื่อว่าเกิดแล้วในขณะแห่งผลจิต หรือว่า ชื่อว่ากำลังเกิดตั้งแต่ภพดุสิตจนถึงพระอรหัตตมรรค ณ โพธิบัลลังก์ ชื่อว่าเกิดแล้วในขณะแห่งผลจิต หรือว่า ชื่อว่ากำลังเกิดจำเดิมแต่ตั้งความปรารถนา ณ เบื้องพระบาทแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร จนถึงทรงบรรลุพระอรหัตตมรรค ชื่อว่าเกิดแล้วในขณะแห่งผลจิต. ฝ่ายเทศนาญาณก็มี ๒ คือ ที่กำลังเป็นไป ที่เป็นไปแล้ว. จริงอยู่ เทศนาญาณนั้น ชื่อว่ากำลังเป็นไปจนถึงโสดาปัตติมรรคของพระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อว่าเป็นไปแล้วในขณะแห่งผลจิต (โสดาปัตติผล). ก็ในญาณทั้ง ๒ นั้น ปฏิเวธญาณที่เกิดแล้วเป็นโลกุตระ เทศนาญาณที่เป็นไปแล้วเป็นโลกิยะ แม้ญาณทั้ง ๒ นั้น ไม่ทั่วไปแก่สาวกอื่นๆ เป็นญาณที่เกิดอยู่ในพระองค์ของพระพุทธะทั้งหลายเท่านั้น.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงโดยพิสดาร ถึงพระพละที่พระตถาคตทรงประกอบแล้ว ทรงปฏิญาณฐานะอันสูงสุด จึงตรัสว่า กตมานิ ทส อิธ ภิกฺขเว ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต เป็นอาทิ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 65
ฐานญฺจ ฐานโต ได้แก่ เหตุโดยความเป็นเหตุ. จริงอยู่ เพราะเหตุที่ผลตั้งอยู่ เกิดและเป็นไปในเหตุนั้น เพราะเป็นไปเนื่องด้วยเหตุนั้น ฉะนั้น เหตุท่านจึงเรียกว่าฐานะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบเหตุนั้นๆ ว่าฐานะ เพราะธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งธรรมเกิดขึ้น ทรงทราบเหตุนั้นๆ ว่าอฐานะ เพราะธรรมที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นปัจจัยแห่งธรรมเกิดขึ้น ชื่อว่าทรงทราบฐานะโดยเป็นฐานะ อฐานะโดยเป็นอฐานะ ตามเป็นจริง. แต่ในอภิธรรม คำนี้ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้ว โดยนัยเป็นต้นว่า มรรคญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ฐานะโดยเป็นฐานะ และรู้อฐานะโดยเป็นอฐานะ ตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน ดังนี้. บทว่า ยมฺปิ แปลว่า ด้วยญาณใด. บทว่า อิทมฺปิ ภิกฺขเว ตถาคตสฺส ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานาฐานญาณแม้นี้ ย่อมชื่อว่าตถาคตพละของตถาคต. พึงทราบการประกอบความในบททั้งปวงด้วยประการอย่างนี้.
บทว่า กมฺมสมาทานานํ ได้แก่ ของกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่บุคคลยึดถือกระทำแล้ว อีกอย่างหนึ่งกรรมนั้นแล ชื่อว่ากรรมสมาทาน. บทว่า ฐานโส เหตุโส แปลว่า โดยความเป็นปัจจัยและโดยความเป็นเหตุ. ก็ในกรรมสมาทานนั้น กถากล่าวถึงญาณนี้โดยพิสดารว่า กรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก เพราะคติ อุปธิ กาลและปโยคะ มาแล้วในอภิธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า กรรมสมาทานฝ่ายอกุศลบางเหล่ามีอยู่ ห้ามคติสมบัติ จึงไม่ให้วิบาก.
บทว่า สพฺพตฺถคามินิํ ได้แก่ ที่ให้ถึงคติทั้งปวงและที่ไม่ให้ถึงคติ. บทว่า ปฏิปทํ ได้แก่ มรรค. บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ ความว่า เมื่อมนุษย์แม้เป็นอันมาก ฆ่าสัตว์ตัวเดียวเท่านั้น เขาย่อมรู้ชัดถึงสภาพ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 66
ของการปฏิบัติทั้งหลาย กล่าวคือกุศลเจตนาและอกุศลเจตนาในวัตถุอันเดียวกันโดยไม่ผิดตามนัยนี้ว่า ผู้นี้จักมีเจตนาไปนรก ผู้นี้จักมีเจตนาไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน. อนึ่ง กถากล่าวถึงญาณนี้โดยพิสดารมาแล้วในอภิธรรมเหมือนกัน โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ปฏิปทาไปในคติทั้งปวงตามเป็นจริงของตถาคตเป็นไฉน พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดว่านี้มรรค นี้ไม่ใช่มรรค นี้ปฏิปทาที่ให้ไปนรก ดังนี้.
บทว่า อเนกธาตุํ ได้แก่ ธาตุเป็นอันมาก โดยจักขุธาตุเป็นต้นหรือโดยกามธาตุเป็นต้น. บทว่า นานาธาตุํ ได้แก่ ธาตุมีประการต่างๆ เพราะกำหนดความต่างของธาตุเหล่านั้น. บทว่า โลกํ ได้แก่ โลก คือขันธ์ อายตนะและธาตุ. บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ ได้แก่ ทรงแทงตลอดสภาพของธาตุเหล่านั้นโดยไม่ผิด. แม้ญาณนี้ ท่านก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ธาตุเป็นอันมาก ธาตุต่างๆ โลกตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน. พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดความเป็นต่างๆ แห่งขันธ์ ดังนี้.
บทว่า นานาธิมุตฺติกตํ ได้แก่ ความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่างๆ กัน โดยอัธยาศัยทั้งหลายมีอัธยาศัยเลวเป็นต้น. ญาณแม้นี้ ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่างๆ กัน ตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน. พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดว่า สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยเลวมีอยู่ดังนี้.
บทว่า ปรสตฺตานํ ได้แก่ สัตว์ที่มีอินทรีย์ดี. บทว่า ปรปุคฺคลานํ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 67
ได้แก่ สัตว์ที่มีอินทรีย์เลวอื่นจากนั้น. อีกอย่างหนึ่ง สองบทนี้มีความอย่างเดียวกัน ตรัสเป็น ๒ ส่วน ก็ด้วยอำนาจเวไนยสัตว์. บทว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺตํ ความว่า ความยิ่งและความหย่อน ความเจริญและความเสื่อมแห่งอินทรีย์ทั้งหลายมีสัทธินทรีย์เป็นต้น. กถากล่าวถึงญาณแม้นี้โดยพิสดาร ก็มาในอภิธรรมเหมือนกันโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ความที่สัตว์อื่น บุคคลอื่น มีอินทรีย์ยิ่งและหย่อนตามเป็นจริงของพระตถาคตนั้นเป็นไฉน. พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้อาสยะ อัธยาศัยดี ทรงรู้อนุสยะ อัธยาศัยเลวของสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้.
บทว่า ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ ได้แก่ แห่งฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น วิโมกข์ ๘ มีว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ บุคคลผู้เจริญรูปฌาน เห็นรูปทั้งหลายเป็นต้น สมาธิ ๓ มีสมาธิที่มีวิตก ที่มีวิจารเป็นต้น และ อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ มีปฐมฌานสมาบัติเป็นต้น. บทว่า สงฺกิเลสํ ได้แก่ ธรรมฝ่ายเสื่อม. บทว่า โวทานํ ได้แก่ ธรรมฝ่ายวิเศษ. บทว่า วุฏฺฐานํ ได้แก่ แม้การออกจากสมาบัตินั้นๆ ก็ชื่อว่าวุฏฐานะ ฌานที่คล่องแคล่ว และภวังคจิต และผลสมาบัติ ท่านก็เรียกอย่างนั้น จริงอยู่ ฌานที่คล่องแคล่วชั้นต่ำๆ ย่อมเป็นปทัฏฐานของฌานชั้นสูงๆ เพราะฉะนั้น แม้โวทาน ท่านก็เรียกว่าวุฏฐานะ การออกจากฌานทั้งปวงย่อมมีด้วยภวังคจิต การออกจากนิโรธสมาบัติย่อมมีด้วยผลสมบัติ. ข้าพเจ้าหมายเอาข้อนั้นจึงกล่าวว่า แม้การออกจากสมาบัตินั้นๆ ชื่อว่า วุฏฐานะ. แม้ญาณนี้ท่านก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในอภิธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌานวิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน. บทว่า ฌายี ได้แก่ ผู้มี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 68
ฌาน ๔ มีความพิสดารในอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า ผู้มีฌานบางท่านแอบแนบสมาบัติที่มีอยู่นั่นแล ดังนี้. การวินิจฉัยในกถากล่าวถึงญาณทั้งหลายโดยพิสดารว่า สพฺพวิปตฺติ เป็นต้น ก็กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาคัมภีร์วิภังค์ (อภิธรรม) ชื่อว่า สัมโมหวิโนทนี. กถาที่ว่าด้วย ปุพเพนิวาสานุสสติญาณและทิพพจักขุญาณ ก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค. กถาว่าด้วยอาสวักขยญาณ ก็กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
ในเรื่องพระญาณของพระตถาคตนั้น มีคำตอบของพระปรวาทีว่า ญาณแผนกหนึ่งที่ชื่อว่าทศพลญาณไม่มี. อันนี้ก็เป็นประเภทแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง. คำนั้นไม่ควรเห็นอย่างนั้น. ด้วยว่า ทศพลญาณก็ญาณหนึ่ง พระสัพพัญญุตญาณก็ญาณหนึ่ง. จริงอยู่ พระทศพลญาณ ก็รู้เฉพาะกิจของตนๆ เท่านั้น พระสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้ทั้งกิจของตนๆ นั้น ทั้งกิจที่เหลือนอกจากของตนนั้น. ความจริงในพระทศพลญาณทั้งหลาย พระญาณที่ ๑ รู้เหตุและมิใช่เหตุ พระญาณที่ ๒ รู้กรรมอื่นและวิบากอื่น พระญาณที่ ๓ รู้การกำหนดกรรม พระญาณที่ ๔ ย่อมรู้เหตุแห่งความที่ธาตุเป็นต่างๆ กัน พระญาณที่ ๕ ย่อมรู้อธิมุตติ คืออัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย พระญาณที่ ๖ ย่อมรู้ความที่อินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายว่าแก่หรืออ่อน พระญาณที่ ๗ ย่อมรู้ความเศร้าหมองเป็นต้นของธรรมเป็นอาทิเหล่านั้น พร้อมกับญาณเป็นอาทิ พระญาณที่ ๘ ย่อมรู้สันตติความสืบต่อแห่งขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนๆ พระญาณที่ ๙ ย่อมรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย พระญาณที่ ๑๐ ย่อมรู้กำหนดสัจจะ. ส่วนพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้ข้อที่พระญาณเหล่านั้นควรรู้ และข้อที่เกินไปกว่าพระญาณเหล่านั้น. ก็พระสัพพัญญุตญาณหาทำกิจของพระ-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 69
ญาณเหล่านั้นทุกอย่างไม่. จริงอยู่ พระสัพพัญญุตญาณนั้น หาเป็นญาณแนบสนิทอยู่ได้ไม่ หาเป็นอิทธิแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ไม่ หาเป็นมรรคทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไปได้ไม่.
อนึ่ง ท่านปรวาทีพึงถูกถามอย่างนี้ว่า ธรรมดาพระทศพลญาณนี้ มีวิตกมีวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เป็นกามาวจร รูปาวจร หรืออรูปาวจร เป็นโลกิยะหรือโลกุตระ เมื่อรู้ ก็จักตอบว่า พระญาณ ๗ ตามลำดับ มีวิตกมีวิจาร จักตอบว่าพระญาณ ๒ นอกจากพระญาณ ๗ นั้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร. จักตอบว่าอาสวักขยญาณ มีวิตกมีวิจารก็มี. จักตอบว่าพระญาณ ๗ ตามลำดับก็เหมือนกัน เป็นกามาวจร พระญาณ ๒ นอกจากพระญาณ ๗ นั้น เป็นรูปาวจร พระญาณหนึ่งสุดท้าย เป็นโลกุตระ. ส่วนพระสัพพัญญุตญาณ มีวิตกมีวิจารเท่านั้น เป็นกามาวจรเท่านั้น เป็นโลกิยะเท่านั้น. ครั้นรู้การพรรณนาตามบทในพระญาณของพระตถาคตนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะเหตุที่พระตถาคตทรงเห็นความไม่มีกิเลสเครื่องกั้นจิต อันเป็นฐานะและอฐานะแห่งการบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะและไม่บรรลุของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยฐานาฐานญาณก่อนทีเดียว เพราะทรงเห็นสัมมาทิฏฐิเป็นต้นอันเป็นโลกิยะ และเพราะทรงเห็นความไม่มีนิยตมิจฉาทิฏฐิ ลำดับนั้นจึงทรงเห็นความไม่มีวิบากเป็นเครื่องกั้นด้วยกรรมวิปากญาณ เพราะทรงเห็นปฏิสนธิของสัตว์ที่มีไตรเหตุ ทรงเห็นความไม่มีกรรมเป็นเครื่องกั้น ด้วยสัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ เพราะทรงเห็นความไม่มีอนันตริยกรรม เมื่อเป็นดังนั้น จึงทรงเห็นความวิเศษแห่งจริยาของเหล่าสัตว์ที่ไม่มีเครื่องกั้น ด้วยอเนกธาตุนานาธาตุญาณ เพื่อทรงแสดงธรรมที่อนุกูล เพราะทรงเห็นความ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 70
ที่ธาตุต่างกัน ต่อนั้นก็ทรงเห็นอธิมุตติอัธยาศัยของสัตว์เหล่านั้น ด้วยนานาธิมุตติกตญาณ เพื่อที่แม้ไม่ทรงยึดประโยค ก็ทรงแสดงธรรมด้วยอำนาจอธิมุตติ ทรงเห็นความที่สัตว์มีอินทรีย์ยิ่งและหย่อน ด้วยอินทริยปโรปริยัติญาณ เพื่อทรงแสดงธรรมตามความสามารถและตามกำลัง ด้วยอำนาจเหล่าสัตว์ที่ทรงเห็นอธิมุตติแล้วอย่างนั้น เพราะทรงเห็นอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นแก่และอ่อน แต่สัตว์เหล่านั้นที่ทรงกำหนดรู้ว่ามีอินทรีย์ยิ่งและหย่อนอย่างนั้น ถ้าอยู่ไกลแค่นั้น ก็จะเสด็จเข้าไปใกล้สัตว์เหล่านั้นอย่างฉับพลัน ด้วยความวิเศษแห่งฤทธิ์ เพราะทรงชำนาญในฌานเป็นต้นด้วยฌานาทิญาณ ครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว เมื่อทรงเห็นภาวะของสัตว์เหล่านั้นในชาติก่อนๆ ด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ เมื่อทรงเห็นความวิเศษแห่งสมบัติที่สัตว์บรรลุแล้ว ด้วยเจโตปริยญาณที่พึงบรรลุ เพราะอานุภาพแห่งทิพยจักขุญาณจึงทรงแสดงธรรม เพื่อปฏิปทาอันจะให้ถึงธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะเพราะเป็นผู้ปราศจากความลุ่มหลงแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งอาสวักขยญาณ ฉะนั้น พึงทราบตามลำดับนี้ว่า ตรัสพละทั้งหลาย ด้วยลำดับนี้.
จบอรรถกถาสีหสูตรที่ ๑