เห็นคนไปไหนมีแต่มีแต่พูดเรื่องของคนอื่น เช่น นินทา ว่าร้าย บุคคลนั้นลับหลัง คนที่กระทำเช่นนี้ เขาเป็นคนอย่างไร หรือมีกรรมเก่าติดตัวมาหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย ชีวิตที่ดำเินินไปในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นกาย หรือวาจา หรือใจ ก็ย่อมประกอบไปด้วยกิเลสนานาประการ โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะ บ้าง เป็นต้น อยู่ตราบนั้น เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา แม้ในเรื่องของการพูด ก็เช่นเดียวกัน ขณะใดคำพูดเป็นไปเพราะอกุศล-จิต คำพูดเหล่านั้นจะเป็นวจีทุจริต ทั้งหมด (พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ) แม้แต่ตัวอย่างที่ผู้ถามได้ยกมา คือ การพูดนินทา ว่าร้าย รวมไปถึงพูดกระทบ พูดเสียดแทงให้เจ็บช้ำน้ำใจ บางครั้งก็ด่าว่าสบประมาทหวังที่จะให้ผู้อื่นเกิดความอับอาย เป็นต้น ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นเรื่องของคำพูดที่เกิดขึ้นเพราะกิเลสผู้ที่มีคำพูดอย่างนี้เกิดขึ้น เป็นผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรม และ เป็นการสะสมอกุศลให้มีมากยิ่งขึ้นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งๆ จะมีแต่อกุศลตลอดเวลา กุศลจิตก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน การพูดด้วยกุศลจิต ก็ย่อมจะมี ด้วยเช่นกัน แต่อกุศล จะเกิดมากกว่า
ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้สะสมปัญญาไปตามลำดับ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ ก็สามารถรู้ได้ว่าถ้าเกิดคำพูดที่ไม่ดีอย่างนั้นขึ้น จิตในขณะนั้นเป็นอกุศลอย่างไร แล้วพร้อมที่จะขัดเกลาตนเองต่อไป เพราะเหตุว่าผู้ที่จะดับวจี-ทุจริตได้ ต้องเป็นพระอริยบุคคล เท่านั้น จะเห็นได้ว่า คำพูดที่พูดกันมีมากมาย การที่ไปสนใจคนอื่น หรือ ไปมองคนอื่น ก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับมองตัวเอง พิจารณาตัวเอง โดยขอให้เริ่มพิจารณา สังเกตแม้คำพูดของตนเอง ให้ทราบว่าขณะนั้นเป็นเพราะอกุศลประเภทใด จึงทำให้คำพูดชนิดนั้นเกิดขึ้นในลักษณะต่างๆ อย่างนั้น การพูดด้วยอกุศลจิตไม่มีประโยชน์กับบุคคลใดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรระลึกได้ว่าไม่ควรเลยที่จะกล่าว ควรกล่าวเฉพาะวจี-สุจริต เท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ได้ การพูดด้วยกุศลจิต ก็จะมีมากขึ้น การพูดด้วยกุศลจิตทั้งหมดย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง พร้อมทั้งเป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย เพราะเหตุว่าในขณะนั้น กุศลธรรมเจริญขึ้น ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ แต่ละบุคคลมีการสะสมที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการสะสมของผู้อื่นได้ แต่เราสามารถที่จะขัดเกลากิเลสของตนเองได้ ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นได้ ด้วยกุศลธรรม ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริงสัตว์โลกสะสมกิเลสมามากมาย เป็นปุถุชนคือผู้หนาด้วยกิเลส
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กาย วาจา ที่แสดงออกมา ก็ย่อมเป็นไปตามกิเลสที่มีมากครับ
แต่ประเด็็นที่สำคัญคือ ที่กล่าวว่าสัตว์โลกสะสมกิเลสมามาก อะไรสะสม จิตและ
เจตสิกนั่นเองครับที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายดีและไม่ดีคือ กุศลและอกุศล
ในสังสารวัฏฏ์ สัตว์โลกสะสมอกุศลมามากกว่ากุศลและปัญญา เพราะมีโอกาส
ได้พบพระพุทธเจ้าน้อยกว่าชาติที่ไม่ไ่ด้พบพระพุทเจ้าครับ จึงทำให้จิตทีเป็อกุศลเกิด
บ่อยๆ ทำให้สะสมกิเลสมามาก เมื่อมีกิเลสมาก จิตไม่ดีเกิดบ่อย กาย วาจาก็ย่อมน้อม
ไปที่จะเป็นอกุศลได้ง่ายมาก เมื่อเทียบกับฝ่ายกุศล ดังนั้นเมื่อพูดก็พูดด้วยวจีทุจริต
มีการพูดเพ้อเจอ พูดว่าร้าย พูดเรื่องคนอื่นในทางที่ไม่ดี เป็นต้นเพราะจิตเป็นอกุศล
อันเกิดจากกิเลสที่สะสมมามากนั่นเองครับ
ที่สำคัญที่สุด มีใครพูดว่าร้าย พูดนินทาไหมหรือมีแต่สภาพธรรมทีเ่ป็น จิต เจตสิก
ที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลที่สะสมมา เมื่อมีแต่จิตที่เป็นอกุศลแล้ว ก็มีแต่ธรรมอันแสดงให้เห็น
ถึงการสะสมของกิเลสที่เกิดขึ้น ความเข้าใจธรรมเช่นนี้ เมื่อพบเหตุการณ์นี้ก็ย่อมเข้าใจ
ความจริงที่เป็นสัจจะ ที่มีแต่เพียงสภาพธรรม ไม่มีเรา ไม่มีใคร มีแต่อกุศลจิตและสภาพ
ธรรมอื่นทีเ่กิดขึ้นเท่านั้น เมื่อเข้าใจความจริงตรงนี้แทนที่จะเป็นอกุศลในเหตุการณ์ที่
พบเห็นก็เข้าใจและเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นพร้อมปัญญาที่เข้ใจว่ามีแต่ธรรมที่เป็น จิตและ
เจตสิกที่สะสมมาเท่านั้นครับ
ดังนั้นหนทางเดียวคืออบรมปัญญา ฟังพระธรรมของพระพุทะเจ้าก็จะเข้าใจความ
จริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงและ ละความไม่รู้และกิเลสของเราเอง ไม่ใช่กิเลส
ของผู้อื่นครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ