โดยทั่วไปผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรม จะเข้าใจว่าความคิดของคนเราเกิดจากสมองคิด แต่ความจริงเป็นจิตที่รับรู้อารมณ์ทางทวารต่างๆ ที่ละหนึ่ง แล้วเจตสิกก็ปรุงแต่งคิดนึกตามเหตุปัจจัย ส่วนสมองนั้นเป็นเพียงรูปเท่านั้น ดิฉันเข้าใจถูกหรือเปล่าค่ะ ขอความกรุณาท่านอจ.ช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยค่ะกราบขอบพระคุณท่านอจ.ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่กล่าวว่าเป็น สมอง นั้น ก็ต้องเป็นธรรม ที่เป็นรูปธรรม มีการเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย เมื่อจับต้องก็มีเพียงแข็งหรืออ่อน ในเมื่อเป็นสภาพไม่รู้อะไร ก็คิดนึกอะไรไม่ได้
ส่วนจิตเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้อารมณ์ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เป็นคนละส่วนกันกับสมองอย่างสิ้นเชิง จิตไม่ได้ทำงานให้สมอง สมองไม่ได้ทำงานให้จิต แต่ละหนึ่งๆ ล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
จิตเกิดขึ้นเป็นไปแต่ละขณะ มีที่อาศัยให้จิตนั้นเกิดขึ้น รูปอันเป็นที่อาศัยให้จิตเกิดขึ้น เรียกว่า วัตถุรูป วัตถุรูป เป็นรูปธรรมอันเป็นที่เกิดของจิต ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ มี ๖ ประเภท ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยวัตถุ เพราะในภูมิที่มีรูป จิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วยจะต้องเกิดที่วัตถุรูป ไม่ได้เกิดนอกรูปเลย แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
เพราะฉะนั้นสมองเป็นรูป คิดไม่ได้ แต่จิตคิดได้ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูป ไม่รู้อะไร จึงคิดไม่ได้ สภาพที่คิด ต้องเป็นนามธรรม เท่านั้น ความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น สำคัญที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ มั่นคงในความจริง และสิ่งที่มีจริงที่ควรรู้ควรเข้าใจ นั้น มีมาก ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน นามธรรม ก็มีจริงในชีวิตประจำวัน รูปธรรมก็มีจริงในชีวิตประจำวัน แต่ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ดังนั้น จะขาดการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุๆ ๆ ๐๐๐ ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ
ขออนุโมทนาค่ะ สาธุๆ ๆ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ