โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในแต่ละชาติ ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน 21 ก.พ. 2561
โดย khampan.a  21 ก.พ. 2561
หัวข้อหมายเลข 29506

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม

ที่บ้านธัมมะ ลำพูน

วัน พุธ ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

~ ความเพียร ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ เพราะไม่รู้ และไม่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่สามารถที่จะรู้คำของพระองค์โดยที่ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดให้เข้าใจถูกต้อง

~ ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ที่มีจริง ทั้งหมด เป็นธรรม

~ ฟังธรรมไปเถิด ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี ขณะนั้นก็มีความเพียร เพราะฉะนั้นแทนที่จะเพียรอย่างอื่น ก็เพียรเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง

~ มี เมื่อเกิดขึ้น แต่เมื่อดับไปก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิม เหมือนเดิมที่ไม่เคยมี เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์

~ เพียรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง มีประโยชน์ไหมหรือจะหลงอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์?

~ ฟังธรรมแล้ว จึงรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (คือ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

~ โอกาสที่หายากอย่างยิ่ง คือ ฟังพระธรรม เพราะไม่มีใครรู้ว่าชาติก่อนเกิดเป็นอะไร และชาติต่อไปจะเกิดเป็นอะไร แม้แต่ขณะต่อไป จะเกิดอะไร ทุกคนเหมือนกับอยู่ในโลกนี้ แต่จะอยู่นานสักเท่าไหร่ บางคนออกจากบ้านไปทำธุระก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้านหรืออยู่ที่ไหนก็ตาม ก็ไม่รู้ว่าขณะต่อไปจะเป็นอะไร แล้วจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกหรือไม่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุดในแต่ละชาติ คือ ความเข้าใจพระธรรม ทรัพย์สินเงินทองก็นำไปไม่ได้ รูปร่างทุกสิ่งทุกอย่างติดตามไปไม่ได้เลย แต่ว่าความเข้าใจธรรมที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ สะสมจนสามารถที่จะถึงเวลาที่สภาพธรรมจะปรากฏกับปัญญาที่สามารถเข้าใจธรรมนั้นได้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

~ ถ้าฟังแล้ว ไม่คิด ไม่ไตร่ตรองจะเข้าใจไหม ผ่านหูไปเลย จะเข้าใจได้อย่างไร แต่ว่าคนที่จะเข้าใจได้มาก เพราะฟังมามาก เข้าใจมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังอีกได้ยินอีก ความเข้าใจที่มีมากนั้นไม่ได้หายไปไหน เมื่อวานได้ฟัง วันนี้ได้ฟังอีก ก็ทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้นจากการที่เราได้ยินซ้ำอีก เพราะฉะนั้น เราจะขาดการฟังได้ไหม

~ ชาติหนึ่งๆ ก็คือการเกิดดับสืบต่อของจิต เป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ เมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ จิตก็ไม่ได้สิ้นสุด เพราะมีจิตเกิดดับสืบต่อ แต่เป็นบุคคลใหม่ตามกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น

~ จิต ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง แต่เป็นธาตุที่รู้

~ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ฟังกี่ครั้งแล้ว ซึ่งไม่พอเลย เห็นไหมว่าถ้าขาดการฟัง ลืมสนิท แต่ฟังเมื่อไหร่ก็ค่อยๆ เตือน ซึ่งถ้าฟังไปบ่อยๆ แม้ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังในขณะนั้นก็ยังมีการระลึกถึงธรรม (ที่ได้ยินได้ฟัง) ได้ ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด

~ กุศลที่เกิดแล้ว สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ทำให้แต่ละบุคคลมีอัธยาศัยต่างกันตามประเภทที่สะสม อย่างคนที่สะสมการให้ทาน เขาจะคิดถึงเรื่องทาน ทั้งวันเลยมีแต่เรื่องทาน (การให้) เพราะสะสมมาที่จะเป็นอัธยาศัยอย่างนี้ แต่บางคนสะสมอัธยาศัยของการฟังธรรม เรื่องอื่นเขาจะสนใจน้อยกว่า แต่พอถึงเวลาฟังธรรม จะมีความสนใจที่จะมีการสะสมความเข้าใจธรรมจากการฟัง

~ จะต้องจากโลกนี้ไป จากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่เหลืออีกเลย

~ เห็นคุณค่าอย่างยิ่งจากการที่ไม่รู้ เป็นรู้ได้ จากคำที่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอกาสของการฟังพระธรรมก็ไม่แน่ว่าจะนานเท่าไหร่ จะมากหรือจะน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ก็คือ ได้เข้าใจความจริง

~ มีสำนักปฏิบัติ ผิดไหม? ผิดมากเลย เพราะเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา


~ อะไรที่ผิด ก็ต้องบอกว่าผิด (เพื่อคนอื่นจะได้ไม่หลงผิดตามไป)

~ จิต ไม่ดี ไม่ชั่ว จิตเพียงรู้แจ้ง ใครจะแย่งหน้าที่จิตไม่ได้ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ก็ไม่ได้มารู้แจ้งอย่างจิต จิตกำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยแต่และหนึ่งก็กระทำกิจของตน สลับกันไม่ได้ แย่งหน้าที่กันไม่ได้ จำ เกิดขึ้นจำเท่านั้น ไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏได้

~ ข้อสำคัญ คือ เดี๋ยวนี้ เป็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

~ เข้าใจเมื่อไหร่ ขณะที่เข้าใจนั้นเองที่กำลังละคลายความไม่เข้าใจ

~ เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ

~ ถ้ายังมีความไม่รู้ ก็ยังเป็นเหตุให้กิเลสทั้งหลายประการต่างๆ เกิดร่วมกับความไม่รู้

~ ถ้าไม่มีความตรงต่อความเป็นจริงของธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมได้เลย

~ ไม่มีเรา แม้แต่ความเข้าใจ ก็ต้องเกิดจากการฟัง เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง

~ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของของใครด้วย

~ พระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีใครเข้าใจ ก็ไม่สามารถดำรงต่อไปได้ ความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะดำรงพระพุทธศาสนาต่อไปได้

~ พระพุทธศาสนา อันตรธานคือสูญสิ้นแล้ว จากผู้ที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด

~ รู้น้อย ไม่เห็นเป็นไร ดีกว่าอยากไปรู้มากๆ ซึ่งเป็นกิเลส (อยาก เป็นโลภะ เป็นกิเลส)

~ เป็นบุคคลนี้เพียงชาตินี้ พอพ้นจากความเป็นบุคคลนี้แล้วไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีกแต่สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตไม่สูญหายไปไหน

~ ความเข้าใจธรรม สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ไม่สูญหายไปไหน เมื่อเกิดในภพใหม่ ถ้าหากได้ฟังพระธรรมอีก ความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้น

~ ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ จะมีจิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้ เพราะไม่มีจิตเกิดซ้อนกันสองหรือสามขณะ

~ ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจในความเป็นจริงของธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เพราะแท้ที่จริงแล้ว มีแต่ธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น

~ บังคับไม่ให้โกรธได้ไหม บังคับไม่ให้เห็น ได้ไหม นี่คือความเป็นอนัตตา ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้

~ ไม่มีใคร มีแต่ธรรม คิดเป็นคิด เห็นเป็นเห็น ไม่มีใครเลย

~ ไม่มีเรา ไม่ใช่เราตั้งแต่ต้น เพราะมีแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดดับเท่านั้น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นวาจาสัจจะซึ่งใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทั้งพระธรรมและพระวินัย

~ เบิกบานที่ได้เข้าใจความจริง ไม่หลงไปในทางที่ผิด

~ ปัญญานำไปสู่กิจของกุศลทั้งปวง ไม่ได้นำไปสู่อกุศลเลย

~ ได้เห็นคนเบียดเบียนกันถึงกับสิ้นชีวิต น่าสลดใจไหม ฆ่าได้ คนฆ่าคนได้ คิดดู เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่า เพราะอะไรจึงฆ่า ฆ่าด้วยกำลังของกิเลสใช่ไหม มีความรุนแรงจนกระทั่งสามารถที่จะทำร้ายชีวิตได้ แค่ทุบตีนิดหน่อยก็ยังเป็นกิเลสที่ปรากฏว่าไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่นี่ถึงกับไม่ให้เขามีชีวิตต่อไป เพราะฉะนั้น เห็นการกระทำอย่างนั้นแล้ว คนที่สะสมมาที่จะเห็นโทษ ก็ไม่ฆ่าอะไรอีกเลย เพราะขณะนั้น เห็นโทษ เห็นภัยจริงๆ บุคคลนั้นเห็นโทษจริงๆ แล้วสมาทานคือถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติในทางกุศลต่อไป ไม่ทำอกุศล

~ คนที่เคยไม่ระวังเรื่องคำพูด พูดจาฟังไม่ได้เลย รู้ไหมว่าขณะนั้นคนฟังเดือดร้อน คนพูดไม่คิดเลย มีกำลังของกิเลสที่จะพูด แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นเดือดร้อนเพราะคำนั้น

~ ใครบ้างชอบคำไม่จริง ไม่มีใครชอบ แล้วคนนั้นไปพูดคำไม่จริงให้คนอื่นได้ยินให้เขาเข้าใจผิดสมควรหรือ ในเมื่อเราเองก็ยังไม่ชอบเลยเมื่อมีใครมาพูดคำไม่จริงกับเรา

~ กุศลธรรมกล้าที่จะทำสิ่งที่ดี ละอายที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี

~ ฟังธรรมแต่ละคำแล้วเข้าใจขึ้น แล้วจะฟังต่อไป นั่นคือ สมาทานคือถือเอาเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่จะฟังพระธรรมต่อไป

~ ทุกอย่างที่จะเกิด เกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเป็นเหตุที่ดี ก็ต้องนำผลที่ดีมาให้ ถ้าเหตุที่ไม่ดี จะนำผลที่ดีมาให้ได้อย่างไร แค่นี้ ในชีวิต ทำดี เพราะรู้ว่าจะเกิดอีกนานในสังสารวัฏฏ์ แล้วจะเป็นอะไรแล้วแต่การสะสม เพราะฉะนั้น คนต่อไปไม่ใช่คนนี้ แต่สืบต่อจากคนนี้ จะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่คนนี้ในชาตินี้ จะเห็นผิด ก็สะสมความเห็นผิดต่อไปในชาติหน้า ดีไหม (ไม่ดี) อันตรายแค่ไหนของความเห็นผิด เป็นตอของสังสารวัฏฏ์ ออกไปไม่ได้เลย

~ การสนทนาธรรมเป็นมงคล นำมาซึ่งความเจริญในความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งสามารถที่จะทำให้ชีวิตเจริญในทางกุศลเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็จมอยู่ในอกุศลลึกลงไปทุกวัน


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย panasda  วันที่ 21 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย peem  วันที่ 21 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 21 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย thilda  วันที่ 21 ก.พ. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 22 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น ค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย p.methanawingmai  วันที่ 22 ก.พ. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย j.jim  วันที่ 22 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Boonyavee  วันที่ 25 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย wirat.k  วันที่ 26 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 10 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย Kalaya  วันที่ 10 ม.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย palsawangpattanagul  วันที่ 17 ธ.ค. 2564

กราบขอบพระคุณค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย มังกรทอง  วันที่ 16 ธ.ค. 2565

พึงฟังธรรม ฟังคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 14    โดย เฉลิมพร  วันที่ 13 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ