การบรรลุธรรมนั้น ขั้นแรกต้องเริ่มจากการละความเห็นผิด คือ ละความยึดถือ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ข้อความข้างต้นนั้นถ้าจะอธิบายในทางธรรมะในทางที่ถูกจะอธิบายหรือขยาย ความได้อีกอย่างไรครับ จึงจะถือว่าเป็นความเห็นถูก
สิ่งที่มีจริง (สัจธรรม) คือ ปรมัตรธรรม แบ่งได้เป็น ๔ ชนิด คือ จิต เจตสิก รูปนิพพาน ซึ่งย่อลงได้เป็น ๒ ประเภท คือ รูปธรรม และนามธรรมรูปธรรม คือ สิ่งที่ไม่รู้อะไรเลย ส่วนนามธรรมคือสภาพรู้ (จิต เจตสิก) สภาพธรรมทั้งสองชนิดนี้เกิดดับเร็วมาก โดยที่รูปธรรมเกิดดับเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จึงทำให้ เห็น ได้ยิน เสมือนเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้เห็นผิดว่า มีตัวตน เป็นแท่งเป็นก้อนทั้งที่จริงสภาพธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยสืบต่อกันไปไม่มีระหว่างคั่น จึงต้องเข้าใจความจริงนี้ซึ่งเป็นความเห็นถูก ก็จะสามารถละความเห็นผิดว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ปกติเคยยึดถือโต๊ะเก้าอี้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอกระทบสัมผัสก็มีแต่ลักษณะแข็งเท่านั้นไม่มีการยีดถือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏให้รู้ แต่ไม่ใช่เรารู้เป็นปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรมเข้าใจแล้วสติเกิดเอง เป็นปัจจังตังรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ
ขอบพระคุณมากครับ อธิบายได้ดีทั้ง ๓ ท่านเลยครับ อ่านแล้วเย็นเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ทำให้ผมมองเห็นความเป็นมิจฉาทิฏฐิของตนเองได้ชัดเจน (ต้องขออภัยท่าน werayut s ด้วยครับ ที่เคยล่วงเกินเพราะ เข้าใจผิดหลงตัวเอง) จากการอ่านและพิจารณาแล้วรู้สึกว่า ผมจะต้องมองตัวเองให้เห็นตัวเองอยู่ในสภาพธรรมคือการเห็นตัวเองที่ไม่ใช่สภาพที่เห็นอยู่ ใช่ไหมครับไม่มีความเป็นนาย praisin นาย praisinเป็นเพียงสิ่งสมมติ ขอความเห็นเพิ่มเติมครับจากท่านอื่นที่จะกรุณาด้วยครับ (แต่ที่อธิบายแล้วก็ทำให้เข้าใจได้มากทีเดียวครับ)
ต้องเข้าใจว่าเป็นธัมมะที่ทำหน้าที่ครับ (สติและปัญญา) ไม่ใช่เราจะทำให้เห็นดังนั้น เมื่อเหตุปัจจัยไม่พร้อมที่สติจะเกิดเห็นอย่างนั้น ก็เป็นตัวเราที่จะทำ ซึ่งก็เป็นโลภะอย่างละเอียดอีกครับ ซึ่งกว่าจะเห็นเป็นธัมมะก็ต้องใช้เวลานานในขั้นการฟัง ซึ่งชาตินี้สติอาจไม่เกิดก็ได้ เพราะเราสะสมความไม่รู้มามาก แต่เราต้องมั่นคงว่า ไม่มีเรา แม้ขั้นการฟัง ในเมื่อไม่มีเรา มีธัมมะ ก็ไม่มีใครไปบังคับให้เห็นแบบนั้นตามใจชอบครับ เพราะธัมมะเกิดจากเหตุปัจจัย ต้องฟังไปเรื่อยๆ ครับ ทางนี้ต้องอดทน ถ้าไม่อดทนก็จะถูกโลภะพาไปทางอื่น เพราะเห็นว่าทางอื่นง่ายกว่าครับ ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้นครับ ธัมมะเขาทำหน้าที่เอง ไม่ใช่เราครับ
ท่าน kusala เข้าไปฟังแล้วแต่ฟังไม่ได้พยายามอยู่ตั้งนานก็ไม่มีเสียงออกมา อาจจะเป็นเพราะ คอมฯผมไม่ดี
ขอบคุณท่าน "แล้วเจอกัน" ... ตอนนี้เข้าใจมากขึ้นครับ สรุปว่าแท้จริงไม่มีตัวเรามีแต่สภาพธรรมอยู่แสดงว่าเราเข้าใจตัวเองผิดมาตั้งแต่ต้น ทำให้เราเข้าใจอย่างอื่นผิดไปด้วย เราต้องเข้าใจสิ่งอื่นในความเป็นสภาพธรรมด้วยเช่นกัน การเข้าใจว่ามีตัวตนเป็นความเห็นผิด นำไปสู่ความเข้าใจผิด การเห็นก็ผิด,การฟังก็ผิด, ฯลฯ ถ้ายังมีตัวตนเกิดอยู่ในการเห็น,การฟังนั้น ดังนั้นจึงต้องเห็นสักแต่ว่าเห็น, ฟังสักแต่ว่า ฟัง ฯลฯ ... มีความเข้าใจมากขึ้นครับ (แต่ไม่ทราบว่ายังเป็นความเข้าใจที่ผิดอยู่หรือไม่) ตอนนี้พอมองออกว่ากิเลสเกิดเพราะการมีตัวตน, การเกิดมีตัวตนเพราะมีความเข้าใจตนเองผิดต้องปรับแก้ความเข้าใจนี้ เพื่อการเข้าใจในสิ่งอื่นๆ ที่ถูกต้องจะเกิดขึ้นตาม
ขอความเห็นและการวิจารณ์เพิ่มเติมด้วยครับผมว่าผมกำลังมองเห็นอะไรบางอย่างเกิดขึ้นคือความเห็นผิดนำไปสู่ความเข้าใจผิด เราต้องปรับแก้ตัวเองตรงนี้
ขออนุโมทนากับคุณ praisin ที่เป็นผู้ตรงต่อตัวเองนะครับ เมื่อรู้ว่าตนเคยเห็นผิดเข้าใจผิดแล้วก็น้อมมาเพื่อสนใจและศึกษาในสิ่งที่ถูกต้อง ธัมมะก็คือธัมมะครับไม่ใช่เรา ไม่ใช่มีเราจะไปบังคับบัญชา ไปจัดการอะไรได้ ความเข้าใจที่ถูกนี่แหละครับ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเกิดปัญญา ในเมื่อเราไม่สามารถจะนึกหรือคิดถึงความเป็นจริงของสภาพธัมมะต่างๆ ที่ปรากฏได้เอง แต่มีผู้ที่ตรัสรู้และกรุณาถ่ายทอดให้เราแล้ว เช่น สมเด็จพระผู้มีพระภาค หน้าที่ของเราก็คือรับฟังและพิจารณาตามด้วยความเคารพครับ ขอให้มั่นคงในการเป็นสาวก (ผู้ฟัง) ที่ดี เชื่อมั่นได้เลยครับว่าปัญญาที่ถูกย่อมเกิดขึ้นกับคุณ praisin แน่นอน.. ผมเองคงถ่ายทอดสิ่งที่คุณ praisin อยากรู้ได้ไม่ดีนักเพราะเหตุว่าเพิ่งเริ่มฟังเหมือนกัน (เคยผิดทางมาก่อน) แต่ที่ทำได้คือแนะนำให้คุณเริ่มฟังไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าฟังจากทางเวปไม่ได้จริงๆ ผมยินดีส่ง CD ไปให้คุณครับ ขอเพียงที่อยู่ของคุณ..
ขออนุโมทนาอีกครั้งและอนุโมทนากับญาตธรรมทุกท่านที่บ้านหลังนี้ครับ
ขอบคุณท่านกุมารน้อย ... ที่อยู่ของผม นาย ไพรสินธ์ ทองประเสริฐ 1789 ม.3 ม.สินธร -รังสิต ซอย E-8 ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000 (ขอบคุณล่วงหน้าครับ)
หลบไปพิจารณาความเป็นตัวเองในสภาพธรรมอยู่ครับและพิจารณาสิ่งอื่นในสภาพธรรม ให้ความรู้สึกที่ดีมาก มีความว่างเกิดขึ้นมากมาย ทำให้นึกถึงเรื่องจิตว่างของท่านพุทธทาส ที่ผมเองก็ไม่เคยเข้าใจเหมือนกัน พิจารณาตัวเองในสภาพธรรมเหมือนหลุดออกไปจากความเป็นตัวตน การที่เราหลงติดความเป็นตัวตนอยู่เหมือนตกหลุมพรางในทางธรรมชาติ ก็คงต้องทบทวนอีกครับว่าจิตหลอนหรือเปล่า
การรู้ธัมมะไม่ต้องไปหลบที่ไหนครับ เพราะธัมมะนั้นมีอยู่ขณะนี้ โกรธก็เป็นธัมมะ แต่เราไม่รู้ว่าเป็นธัมมะ เพราะปัญญาไม่เกิด ต่อให้ไปหลบ แต่ไม่มีปัญญาเพียงพอ ก็ไม่รู้ว่าเป็นธัมมะ การเจริญวิปัสสนามิใช่เป็นการกั้นไม่ให้กิเลสเกิด (บังคับไม่ได้อยู่แล้ว) พอกิเลสไม่เกิดก็ดีใจ เข้าใจว่าได้ผลของธัมมะ แต่การเจริญวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) คือ การรู้ตามความจริงว่ากิเลสเป็นธัมมะ ต้องเริ่มต้นที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แม้กิเลส ดังนั้น กิเลสเขาไม่ได้เลือกจะเกิดว่าถ้าที่ตรงนี้เงียบๆ หลบไปซักพัก กิเลสจะไม่เกิด กิเลสเกิดที่จิตครับ ดังนั้น ไม่ต้องหลบหลีกไปไหน เพียงแต่ฟังธัมมะให้เข้าใจ จนวันหนึ่งสติเกิดรู้ว่าเป็นธัมมะไม่ใช่เรา ที่สำคัญก็ต้องย้ำอีกครั้ง ไม่มีตัวตนจะไปให้สติเกิด เป็นอนัตตาครับ
ขอบคุณครับ.. อย่างน้อยก็ต้องทบทวนว่าสิ่งที่ตนเข้าใจนั้นมีความถูกต้องอยู่อย่างไร เพราะบางที่เป็นเพียงอารมณ์เกิดขึ้นเท่านั้นก็ได้ เมื่ออารมณ์นั้นดับไปสิ่งที่คิดว่าเป็นจริงก็หายไปด้วยคือ มันไม่จริงนั่นเอง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ามีความจริงที่ได้รับคือการพิจารณาตัวเองในความเป็นสภาพธรรมทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเกิดขึ้น เห็นการเกิดความรู้สึกที่ดี ทำให้มองเห็นความมีตัวตนเหมือนหลุมที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุก็ยังมีหลักที่เป็นความจริงคือความเข้าใจที่ผิดนำไปสู่ความเห็นที่ผิด ทำให้เราไม่เข้าใจความเป็นสภาพธรรมของทุกสิ่ง สิ่งที่เราจะต้องระวังก็คือความรู้สึกที่เป็นตัวเรานั่นเอง
ความว่างหายไปเพราะเกิดความวิตกกังวล ความไม่มั่นใจในแนวทางที่เกิดจิตส่ายทำให้ความเป็นอัตตาเกิด เมื่อความวิตกกังวลหมดไปจึงรู้ว่าความว่างคือความสงบที่เกิดขึ้นนั่นเอง การอยู่กับความเป็นปัจจุบันความสงบจึงเกิดขึ้นได้ ความสงบเป็นพลังที่สวยงาม ความเป็นอัตตาทำให้จิตเศร้าหมอง จิตไม่ว่างเพราะมันดิ้นรนอยู่นั่นเอง การเกิดเป็นอัตตาคือความทุกข์เพราะมันเตรียมที่จะปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลามันจึงมีความรู้สึกเป็นทุกข์อยู่เหมือนคนที่มีแต่ความกระวนกระวายอยู่ มีความรู้สึกเศร้าหมองแม้ความรู้สึกที่ว่าเป็นตัวเราก็ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ความสงบเกิดขึ้นจึงจะเป็นความสวยงามของจิต ที่เราควรทำให้เกิดขึ้นได้เพราะการปรุงแต่งเป็นอัตตาเป็นความทุกข์นั่นเองจึงต้องสงบลง (เป็นแนวทางที่เห็นว่ามีความต่อเนื่องกันอยู่)
ก็คงสรุปได้ว่าเราต้องละวางความมีตัวตน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดทุกข์ การมีตัวตนจะแสดงอย่างหยาบๆ ได้คือการมีความโกรธ และอย่างกลางๆ คือการเสพสุขและอย่างละเอียดคือ การหลงตัวเอง และสุดท้ายคือความฟุ้งซ่าน ความไม่มั่นใจ การมีความรู้สึกที่มีตัวตนจึงทำให้เกิความรู้สึกที่เศร้าหมอง (ตั้งแต่ในระดับหยาบถึงละเอียด) ดังนั้น เราต้องระวังการมีตัวตนจากสิ่งที่มากระทบคือการไม่เกิดปฏิกริยาโต้ตอบสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปคือความไม่เที่ยง ถ้าเข้าไปยึดถือจะเป็นทุกข์ สิ่งสุดท้ายที่จะคงอยู่นั่นคือความจริง การอยู่กับความจริงจึงเป็นความสิ้นสุดในการแสวงหา แท้จริงจิตของเราแสวงหาความจริงอยู่เสมอ การไม่พบความจริงจึงเหมือนการดิ้นรนอยู่
ขอขอบคุณทีมงานบ้านธัมมะที่มีความอดทนต่อความโง่เฃลาของผู้มาเยือน
ความเข้าใจนี้ทำให้มีความเห็นว่า ศาสนาพุทธน่าจะเป็นศาสนาของโลกได้เพราะคงไม่มีศาสตร์ใดที่จะให้คุณค่าต่อชีวิตได้เท่าแนวทางของศาสนาพุทธนี้.
ขออนุโมทนาต่อความเสียสละของทุกๆ ท่าน
การที่ผมกล่าวพาดพิงถึงท่านพระพุทธทาสว่าผมไม่เข้าใจเรื่องจิตว่างนั้น เป็นความเข้าใจของผมเองที่ไม่อาจจะเข้าใจตามนั้นได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของปัจเจคบุคคล จึงไม่อาจจะเอามาเป็นบรรทัดฐานได้ แต่ท่านพระพุทธทาสก็ได้แสดงความเห็นไว้ในหลายเรื่อง เช่น ตัวกู-ของกู ก็คือการไม่ยึดมั่นในตัวตนนั่นเอง และคนเราเกิดมาทำไม (คู่มือมนุษย์) ก็ทำให้เกิดคำถามที่แยบคายเกิดขึ้น ผมเองก็อยากจะต่อว่าพวกเรามีธุระอะไรในโลกนี้ จึงต้องมาดิ้นรนอยู่อย่างนี้ด้วยเหมือนกัน นั่นคือสาเหตุของการที่เราไม่เข้าใจตัวเอง ซึ่งความเห็นของท่านพระพุทธทาสนั้น แสดงความลึกซึ้งในระดับอัจฉริยะที่ชาวโลกเข้าใจได้ ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดา ท่านจึงได้รับการยกย่องเป็นบุคคลระดับโลก ซึ่งมองในมุมกลับจะเห็นว่าศาสนาพุทธมีสิ่งที่จะทำให้ชาวโลกเข้าใจ คือเข้าใจในความเป็นตัวของเขาเองนั่นเอง
ขออนุโมทนาที่ คุณไพรสินธ์ มีกุศลจิต ปราถนาที่จะศึกษาหาความจริงซึ่งก็มีพร้อมอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนอื่นขออนุญาตแนะนำให้เริ่มศึกษา ด้วยความเข้าใจจริงๆ ก่อน เอาตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า ธรรม คืออะไร ถ้าเป็นไปได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ ที่มูลนิธิฯ มีรายการสนทนาธรรม และมีกัลญาณมิตรมากมายที่พร้อมที่จะช่วยแนะนำ รายละเอียดที่จะเดินทางมีใน web นี้แล้ว หรือเริ่มฟังจากแผ่น CD, MP.3 ที่เพื่อนสมาชิกจะส่งไปให้จากนั้นโปรดค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองจากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาว่า จริงหรือไม่ รวมทั้งโปรดตรวจสอบจากพระไตรปิฏกด้วยความรอบคอบ ทั้งอรรถ และพยัญชนะ จากความเห็นที่ 1 คือความหมายของธรรม ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนอกเหนือจากปรมัตถธรรมสี่อย่างนี้แล้วก็ไม่มีอีก จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสิ่งที่ มีจริง สิ่งที่มีจริง = ธรรม.. แล้วค่อยๆ ศึกษาว่าแต่ละอย่างแยกย่อยเป็นอย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดมากมายโดยสามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวันนี้ทั้งนั้น เช่นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก ขอให้ค่อยๆ ทำความเข้าใจนะครับ ใจเย็นๆ และอย่าไปเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้ที่เราเคยเข้าใจมาปะปน จะเป็นจับแพะชนแกะไปซะหมด รวมถึงความเห็นของใครก็ตามที่เราเคยเชื่อถือ ถ้าไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนก็ต้องกล้าที่จะเป็นผู้ซื่อตรงที่จะยอมรับว่าไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง (ปรมัตถธรรมสี่) เพราะถ้าแตกต่างจากสิ่งที่ทรงแสดง ก็แสดงว่าท่านนั้นก็เป็นศาสดาองค์ใหม่ไม่ใช่สาวก (ผู้ฟัง) คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นผู้สะสมบุญมาดีจึงมาพบเจอมิตรที่ดี พยายามจะเกื้อกูล สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต บุญกุศลที่ท่านสั่งสมมาคงจะอำนวยประโยชน์แก่ตัวท่านเองอย่างสมเหตุสมผล ไม่มีขาดเกิน และไม่มีลูกฟลุ๊คอย่างแน่นอน ขออนุโมทนา
ขอนำข้อความจากเพื่อนสมาชิกที่เป็นประโยชน์ครับจากกระทู้
เห็นด้วยครับ ที่ว่า ..
ทำใจให้ว่างทำไม่ได้หรอก แต่ทำใจให้ว่างจากอกุศลความวุ่นวายก็ยังพอได้ คือ การฟังธรรม เพราะขณะนั้นจิตสงบจาก โลภะ โทสะ โมหะ ชั่วขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจจิตเป็นกุศล ก็ว่างจากอกุศลชั่วคราว แต่ปกติแล้วจิตไม่ว่าง เพราะจิตดวงหนึ่งดับไปเป็นเหตุปัจจัยให้จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น เว้น จุติจิตของพระอรหันต์ ไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดอีก
โดย : Suvidech
จิตเป็นสภาพรู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ในขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ขณะนั้นจิตก็ไม่ว่างค่ะ เพราะนิพพานเป็นอารมณ์ของจิต
โดยสมาชิก : devout
กล่าวโดยนัยนี้ แม้พระอรหันต์ซึ่งมีจิตเพียง ๒ ชาติ จิตก็ไม่ว่าง เพราะจิตของท่านก็ยังรู้อารมณ์
โดยสมาชิก : pornchai.s
ขอบคุณครับ
เรียนท่านกุมารน้อย
ได้รับ cd. แล้วครับขอบพระคุณท่านกุมารน้อยที่มีเมตตา ฟังไปบ้างแล้วทำให้ได้รู้คำศัพท์ในทางลึกที่เรามักรู้เพียงผิวเผิน เหมือนเปิดประตูออกไปสู่อีกโลกหนึ่งที่มีแต่ความสงบเย็น โลกของธรรมะคือความสงบเย็น
อนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับคุณไพรสินธ์..
ยินดีในกุศลจิตค่ะ