[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 253
๒. อุปาทานสูตร
ว่าด้วยอุปาทาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 253
๒. อุปาทานสูตร
ว่าด้วยอุปาทาน
[๑๙๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 254
ภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียนบ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง พึงลุกโพลง บุรุษใส่หญ้าแห้ง ใส่โคมัยแห้ง และใส่ไม้แห้งในไฟกองนั้นทุกๆ ระยะ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น มีอาหารอย่างนั้น มีเชื้ออย่างนั้น พึงลุกโพลงตลอดกาลนาน แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนืองๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับไป เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[๑๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟกองใหญ่แห่งไม้สิบเล่มเกวียนบ้าง ยี่สิบเล่มเกวียนบ้าง สามสิบเล่มเกวียนบ้าง สี่สิบเล่มเกวียนบ้าง พึงลุกโพลง บุรุษไม่ใส่หญ้าแห้ง ไม่ใส่โคมัยแห้ง และไม่ใส่ไม้แห้งในกองไฟนั้นทุกๆ ระยะ ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ ไฟกองใหญ่นั้น ไม่มีอาหาร พึงดับไป เพราะสิ้นเชื้อเก่า และเพราะไม่เติมเชื้อใหม่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 255
แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเห็นโทษเนืองๆ ในธรรมทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมดับฉันนั้นเหมือนกัน เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ.
จบอุปาทานสูตรที่ ๒
อรรถกถาอุปาทานสูตรที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยในอุปาทานสูตรที่ ๒ ต่อไป.
บทว่า "อุปาทานีเยสุ อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน" ได้แก่ ในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน ๔.
บทว่า "อสฺสาทานุปสฺสิโน เห็นความพอใจเนืองๆ " คือ เห็นอยู่เนืองๆ ซึ่งความพอใจ.
บทว่า "ตตฺร" คือ ในกองไฟนั้น.
บทว่า "ตทาหาโร มีอาหารอย่างนั้น." คือ มีปัจจัยอย่างนั้น.
คำว่า "มีเชื้ออย่างนั้น" เป็นไวพจน์ของปัจจัยนั้นนั่นเอง.
ในคำว่า "เอวเมว โข" นี้ ภพ ๓ หรือที่เรียกว่า วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ บ้าง พึงเห็นว่าเหมือนกองไฟ. ปุถุชนผู้โง่เขลา ซึ่งอาศัยวัฏฏะคือความเวียนว่ายตายเกิด เหมือนบุรุษบำเรอไฟ. การทำกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทางทวาร ๖ ด้วยอำนาจตัณหาเป็นต้น ของปุถุชนผู้เห็นความพอใจเนืองๆ เหมือนการใส่โคมัยแห้งเป็นต้น. ความบังเกิดแห่งวัฏทุกข์ในภพต่อๆ ไป เพราะปุถุชนผู้โง่เขลาลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นเล่า พยายามทำกรรมตามที่กล่าวแล้ว เหมือนเมื่อหญ้าและโคมัยเป็นต้นหมดแล้ว กองไฟก็ยังลุกโพลงอยู่เรื่อยไป เพราะใส่หญ้าและโคมัยเหล่านั้นเข้าไปบ่อยๆ.
ข้อว่า "น กาเลน กาลํ สุกฺขานิ เจว ติณานิ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 256
ปกฺขิเปยฺย ไม่ใส่หญ้าแห้งทุกๆ ระยะ" อธิบายว่า ก็ใครๆ ผู้หวังประโยชน์ พึงกล่าวกะบุรุษนั้นอย่างนี้ว่า "ผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงลุกขึ้นแล้วลุกขึ้นเล่าเหยียบย่ำกระเบื้อง เอาหญ้าและไม้แห้งใส่กระบุงจนเต็ม ใส่โคมัยแห้งเข้าไป ทำให้ไฟกองนี้ลุกโพลง เพราะการกระทำนี้เป็นเหตุความเจริญไรๆ ย่อมมีแก่ท่านบ้างหรือหนอ." บุรุษนั้นกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ การกระทำเช่นนี้ มาตามวงศ์ (เป็นประเพณี) ของพวกเรา แต่การกระทำเช่นนี้ ก็ไม่มีความเจริญแก่เราเลย ความเจริญจักมีแต่ที่ไหน. เพราะเรามัวบำเรอไฟนี้อยู่ จึงไม่ได้อาบน้ำ ทั้งไม่ได้กิน ไม่ได้นอนเลย."
ผู้หวังประโยชน์ กล่าวว่า "ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น จะมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน กับการจุดไฟให้ลุกโพลงอันไร้ประโยชน์นี้ มาเถิดท่าน หญ้าเป็นต้นที่ท่านนำมาแล้วเหล่านี้ ที่ใส่เข้าไปในกองไฟนี้แล้ว จักลุกไหม้ขึ้นเองแหละ แต่ว่าท่านจงไปอาบน้ำที่สระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำเย็นอยู่ในที่โน้น ตกแต่งตนด้วยเครื่องลูบไล้คือระเบียบและของหอม นุ่งห่มอย่างดี เข้าสู่เมืองด้วยรองเท้าชั้นดี ขึ้นสู่ปราสาทอันประเสริฐ เปิดหน้าต่าง แล้วนั่งอิ่มเอิบอยู่กับความสุข มีอารมณ์เดียว รุ่งเรืองอยู่บนถนนใหญ่. เมื่อท่านนั่งในปราสาทนั้นแล้ว ไฟกองนั้นจักถึงภาวะที่ตั้งอยู่ไม่ได้เองโดยแท้ เพราะสิ้นเชื้อมีหญ้าเป็นต้นเสีย." บุรุษนั้น พึงกระทำอย่างนั้น. และเมื่อเขานั่งบนปราสาทนั้นอย่างนั้นแล้ว ไฟกองนั้นพึงถึงภาวะคือการตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะสิ้นเชื้อ.
คำว่า "น กาเลน กาลํ" เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาความข้อนี้.
แต่ในคำว่า "เอวเมวโข" นี้ มีการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาดังนี้.
วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ พึงเห็นเหมือนไฟกองใหญ่ที่ลุกโพลงอยู่ด้วยไม้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 257
(ฟืน) ๔๐ เล่มเกวียน. พระโยคาวจรผู้ยังอาศัยวัฏฏะอยู่ เหมือนบุรุษผู้บำเรอไฟ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนบุรุษผู้หวังประโยชน์.
เวลาที่พระตถาคตตรัสกัมมัฏฐานในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ แก่ภิกษุนั้นว่า "ดูก่อนภิกษุ เธอจงหน่ายในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ เถิด เธอจักพ้นจากวัฏทุกข์อย่างนี้." เหมือนโอวาทที่บุรุษผู้หวังประโยชน์ให้แก่บุรุษผู้บำเรอไฟนั้น.
เวลาที่พระโยคีรับโอวาทของพระสุคตแล้วเข้าไปสู่สุญญาคาร เริ่มตั้งวิปัสสนาในธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ ได้อาหารสัปปายะเป็นต้น เห็นปานนั้นโดยลำดับ นั่งบนอาสนะเดียวแล้วตั้งอยู่ในผลอันเลิศ (อรหัตตผล) เหมือนเวลาที่บุรุษ (ผู้บำเรอไฟ) นั้น ปฏิบัติตามที่มีผู้สอนแล้วนั่งในปราสาท.
เวลาที่พระโยคีชำระมลทินคือกิเลสด้วยน้ำคือมรรคญาณที่สระโบกขรณีคืออริยมรรค นุ่งผ้าคือหิริโอตตัปปะ เข้าไปทาด้วยเครื่องลูบไล้คือศีล ตกแต่งอัตภาพด้วยเครื่องตกแต่งคือพระอรหัต ประดับพวงดอกไม้คือวิมุตติ สวมรองเท้าคืออิทธิบาท เข้าไปสู่นครคือพระนิพพาน ขึ้นสู่ปราสาทคือพระธรรม รุ่งเรืองอยู่บนถนนใหญ่คือสติปัฏฐาน แนบสนิทผลสมาบัติที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ เหมือนเวลาที่บุรุษนั้น นั่งบนปราสาทนั้น มีอารมณ์เดียว อิ่มเอิบด้วยความสุข เพราะมีกายที่ชำระและตกแต่งแล้วด้วยการอาบน้ำและเครื่องลูบไล้เป็นต้น.
ส่วนความสงบอันยิ่งใหญ่แห่งวัฏฏะของพระขีณาสพ ผู้ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุ แล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะความแตกแห่งขันธ์ที่มีใจครอง พึงเห็นเหมือนเวลาที่บุรุษนั้นนั่งบนปราสาทนั้นแล้ว กองไฟก็ถึงความไม่มีบัญญัติ เพราะสิ้นเชื้อมีหญ้าเป็นต้น.
จบอรรถกถาอุปาทานสูตรที่ ๒