เป็นคนย้ำคิดย้ำทำครับ ตรวจสอบจากเน็ตมาแล้วตรงหลายข้อ คือ เข้าค่ายคนเป็นโรค
ผมรู้สึกทุกข์ใจกับโรคนี้มาก สิ่งที่กลัวที่สุดและแก้ไม่หายคือกลัวการทำบาป ตั้งใจว่าไม่อยากทำ บางเหตุการณ์มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ขณะนั้นความคิดต่างๆ แทรกซ้อนเข้ามาจนเป็นกังวลว่าเราทำบาปไป ซึ่งความคิดที่เข้ามามักเป็นความคิดที่แย่ บางทีถ้าลืมพุทโธก็จะหลุดจากความทุกข์จากความกลัวนี้ยากมาก บางการกระทำความคิดชั่วมันก็ประเดประดังเข้ามาทั้งๆ ที่การกระทำนั้นพิจารณาทั่วไปได้ว่าไม่น่าส่งผลเสียต่อผู้อื่น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เชิญอ่านคำบรรยายท่าน อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในเรื่องประเด็นนี้ครับ
ท่าน อ.สุจินต์ เมื่ออบรมเจริญปัญญาจริงๆ ก็จะเห็นพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ตั้งแต่ขั้นปาติโมกขสังวรศีล ความประพฤติทางกายและทางวาจาที่ควรแก่สมณะ คือเพศบรรพชิตผู้สงบ แม้แต่การมองก็มองชั่วแอกเพื่อให้ระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ควรต่อเรื่องให้ยืดยาว เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ควรคิดวิจิตรเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้มากมาย เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นเพียง “เห็น” จะชั่วแอกหรือไม่ชั่วแอกก็ตาม เห็นแล้วก็จบ ขณะนั้นก็จะไม่ผูกพันธ์เยื่อใยในนิมิต อนุพยัญชนะ
เมื่อปัญญารู้ชัดจริงๆ ว่าที่เคยเห็นเป็นโลกภายนอกมีคนมากมายนั้น ก็เป็นเพราะคิด ถ้าไม่คิด เพียงเห็นแล้วก็หมด จะมีคนเยอะไหม แต่เพราะเคยคิดมานาน เพราะฉะนั้น ก็ย่อมคิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเลยตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา เช่น เห็นดอกไม้ท่านหนึ่งพอใจว่าสวย อีกท่านหนึ่งว่าไม่สวย ฉะนั้น สวยหรือไม่สวยจึงเป็นความคิดของแต่ละคน
โลกที่แท้จริงจึงเป็นโลกของความคิดของแต่ละบุคคล เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ ก็จะรู้ชัดว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม เมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมที่คิดก็รู้ว่าเรื่องราวที่เป็นคน สัตว์ต่างๆ ไม่มีจริงๆ
ขณะที่เป็นทุกข์กังวลใจก็รู้ว่าทุกข์ เพราะความคิด ขณะที่เป็นทุกข์ก็โดยนัยเดียวกัน ขณะที่ดูโทรทัศน์เรื่องที่ชอบใจก็เป็นสุข เพราะคิดตามภาพที่เห็น ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ก็อยู่ในโลกของความคิดนึกนั่นเอง โลกแต่ละขณะจึงเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็คิดนึกต่อทางใจเป็นเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง
ถ. ที่อาจารย์กล่าวว่า ความสุข ความทุกข์ นี้ เป็นเรื่องของความคิด ตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ เวลามีความทุกข์ ใครเขาจะอยากคิดทุกข์ ฉะนั้น ที่อาจารย์พูดว่า ความทุกข์เกิดจากความคิด คิดให้เป็นทุกข์คิดยังไงครับ
สุ. ไม่ใช่คิดให้เป็นทุกข์ มีเหตุมีปัจจัยให้คิดแล้วเป็นทุกข์
ถ. หมายความว่า มีปัจจัยเกิดขึ้น เช่น สมบัติพลัดพรากไป หรือว่าแทงม้าเสียไป กลับถึงบ้านก็คิดว่าเสียไปเท่านั้นเท่านี้ การแทงม้าเป็นปัจจัย
สุ. ถ้าไม่คิดเรื่องเสียม้าจะมีความทุกข์ไหม
ถ. ไม่ทุกข์ครับ
สุ. เมื่อเห็น ได้ยิน แล้วคิด ปัญญาจะต้องรู้ว่า ขณะที่คิดนั้นก็เป็นนามธรรมที่คิดเรื่องต่างๆ แล้วก็ดับ ขณะที่คิดเรื่องม้า ไม่มีม้าในขณะนั้น มีความจำเรื่องม้า ที่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น ฉะนั้น ทุกข์จึงเกิดเพราะคิดเรื่องที่ไม่พอใจ และสุขก็เกิดเพราะคิดเรื่องที่พอใจ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ประมาทในชีวิต สะสมความดีทุกประการ และ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะความดีและความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ขณะที่ความดี เกิดขึ้น ความเข้าใจเกิดขึ้น ขณะนั้น อกุศลใดๆ เกิดไม่ได้เลย ถ้าได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง ก็ย่อมจะมีเหตุมีปัจจัยให้ได้คิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ความฟุ้งซ่าน ความคิดเรื่องอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์ก็จะน้อยลง จึงขอให้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ต่อไป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ