จากความดำริของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เมตตาและห่วงใยความเป็นไปในความเห็นผิด ความเข้าใจผิดของชาวพุทธ ต่อพระธรรมคำสอนจากการตรัสรู้และทรงแสดงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบัน ที่กำลังขยายวงกว้างออกไปมากมาย จนกลายเป็นวิกฤตของพระพุทธศาสนา ที่ยากจะเยียวยาแก้ไข เพราะมิใช่แต่เพียงในประเทศไทยเท่านั้นที่ชาวพุทธส่วนใหญ่หลงเข้าใจผิดว่าเป็นสถานที่ๆ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก แต่ความเห็นผิด ปฏิบัติผิดในประเทศไทยปัจจุบันนั้น ทำให้คนทั้งโลก เข้าใจผิด ว่า พระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติธรรม โดยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฯลฯ ตามสำนักปฏิบัติธรรม ตามวัดวาอารามและตามสถานที่ต่างๆ เป็นการทำตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่มีการหยุดคิดพิจารณาก่อนเลย ว่าพระพุทธศาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น "หนทาง" เพื่อการรู้ ทรงสอนให้กระทำแบบนี้หรือ?
เพราะเหตุใดจึงได้กล่าวเช่นนี้? เราเคยฉุกคิด พิจารณาบ้างไหม จากคำที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาจนจำได้ ท่องได้ ในคำเตือนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเรื่องของ "ความเชื่อ" ที่ทรงแสดงไว้ ใน กาลามสูตร [เกสปุตตสูตร] ว่าด้วยมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง ดังต่อไปนี้ คือ "...ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบๆ กันมา อย่าได้ถือโดยความตื่นว่า ได้ยินอย่างนี้ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย เมื่อนั้น..." (คัดจาก [เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 338 ๕. กาลามสูตร (เกสปุตตสูตร) ว่าด้วยมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงแปล)
ทั้งๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังข้อความจากพระสูตรที่ยกมา แต่ผู้ที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธ ก็หาได้ฉงนใจสักนิดไม่ ว่า สิ่งที่ตนเองคิดและเชื่อมาแต่เดิมนั้น ผิดหรือถูกต้องกันแน่? ผู้ที่กล่าวว่าตนเองเป็นชาวพุทธ ไม่ฉุกคิดเลยหรือว่า ความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมคำสอนที่ทรงตรัสรู้และได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้พวกเราได้เข้าใจตามนั้น เรารู้ถูกต้องจริงๆ หรือไม่? พระพุทธศาสนาคือการไปนั่งหลับตา ไปเดิน ในท่าทางที่ผิดปกติ อย่างที่ทำๆ กันอยู่โดยทั่วไปในขณะนี้ แม้กระทั่งมีการให้ทำสิ่งที่เรียกว่า "ปิดวาจา" โดยไม่ต้องมีการฟัง ไม่ต้องมีศึกษาพระธรรมคำสอนให้ถ่องแท้ ถูกต้อง ก่อนที่จะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นหนทางที่ถูกต้อง จริงหรือ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสให้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้หรือ? หรือแม้ข้อความที่กล่าวว่า เมื่อศึกษาแล้ว ก็ต้องลงมือปฏิบัติด้วย นั้นเป็นความจริงที่ถูกต้องหรือไม่? และหากเป็นเช่นว่านั้น ใครคือผู้ที่ปฎิบัติ? เป็นเราที่ปฏิบัติ หรือเป็นธรรมะ ซึ่งทรงแสดงว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ปฏิบัติกิจของธรรม ด้วยความเป็นอนัตตา กันแน่!! "เรา" ปฏิบัติธรรมได้จริงๆ ละหรือ? และการที่ไปปฏิบัติธรรมที่ว่านั้น "ปัญญารู้อะไร?" ผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมตอบได้ไหม ว่าปัญญารู้อะไร?
เพราะเหตุที่พระพุทธศาสนาคือคำสอนที่มาจากการทรงบำเพ็ญบารมีมาอย่างยาวนาน กว่าที่จะได้ทรงตรัสรู้นั้น ผู้ที่จะรู้ตาม อาศัยเพียงการไปนั่ง ไปเดิน ไปคิดเอาเอง ได้โดยง่ายๆ กระนั้นหรือ? เราประมาทในพระปัญญาคุณเห็นปานนี้ได้อย่างไรกัน? พระพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาคือคำสอนที่มาจากการ "ตรัสรู้" เป็นคำสอนของ "ผู้รู้" และสอนให้รู้ความจริงจากการตรัสรู้ว่า "ไม่มีเรา แต่มีธรรมะ" ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ทั้งๆ ที่ทรงแสดงกำกับหนทางไว้เพื่อป้องกันความเห็นผิดว่า "ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ" กล่าวคือ การศึกษาปริยัติที่รอบรู้ถูกต้องเท่านั้น จึงจะเป็นหนทางไปสู่การปฏิปัตติ (หรือที่คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ) ที่ถูกต้องได้ และการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะนำไปสู่ปฏิเวธ คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมอย่างแท้จริงได้ ไม่ลืมว่า ทั้งหมด เป็นปัญญา เป็นธรรมะ และเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา (ทำไม่ได้ แต่อบรมให้มีขึ้นได้ เจริญขึ้นได้ ด้วยการฟัง การศึกษา-เข้าใจ ซึ่งเป็นหนทางเดียว ไม่ใช่ หนทางที่ "ทำตามๆ กัน" อยู่อย่างมากมาย แต่ปัญญาไม่รู้อะไรเลย ในขณะนี้ เหมือน "แถวของคนตาบอด" ตามที่ได้ทรงแสดงไว้)
ความเข้าใจผิดแม้เพียงเล็กน้อยในหนทางที่ทรงแสดงนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ต่อสังสารวัฏฏ์อันยาวนานของตน (ของเรา) นั้นเอง หาใช่ของบุคคลอื่นแต่ประการใดไม่ และหาใช่จะเป็นความเข้าใจผิดแต่เพียงในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นไปในทุกๆ ชาติ และเพราะเหตุที่ เมื่อบุคคลมีความเข้าใจผิดในพระธรรมคำสอน ย่อมเป็นเหตุให้มีความคิดผิด มีความประพฤติผิด มีการกล่าววาจาผิด สะสมไปๆ จนมั่นคง (ในความเห็นผิด) ประการสำคัญที่สุด คือ มีการพูดผิด สั่งสอนและแสดงหนทางที่ผิด (เพราะตนเองคิดผิด เข้าใจผิด) ให้ผู้อื่นเห็นผิด เข้าใจผิด ตามไปด้วย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ไม่เฉพาะแก่บุคคลนั้นเอง แต่ แก่ผู้อื่นอีกมากมายนับประมาณไม่ได้ ที่จะสะสมความเห็นผิดนั้นมากขึ้นๆ จนเป็นเหตุให้ แม้มีโอกาสที่จะได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ก็หาทราบได้ไม่ ว่าท่านผู้นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุที่ ผู้ที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อได้เคยสะสมความเข้าใจในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาแล้วในอดีต เท่านั้น จึงสามารถรู้ได้ (ด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกต้อง ซึ่งความเข้าใจเช่นว่านั้น สามารถเริ่มได้ ในขณะนี้)
ด้วยความห่วงใย ในวิกฤตของพระพุทธศาสนาดังกล่าวแล้ว ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จึงได้เพียรเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้อง จากการที่ท่านได้ศึกษา-เข้าใจแล้ว แก่สาธารณชนโดยทั่วไป ด้วยความซื่อตรงยิ่ง ต่อพระธรรมคำสอนที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้มาอย่างยาวนานกว่า ๖๐ ปีแล้ว โดยได้เพียรทำการเผยแพร่ในทุกๆ ช่องทางของการสื่อสารที่มีมาแต่อดีต จวบจนถึงปัจจุบัน ซึ่งท่านไม่เคยหยุดนิ่งเลย แม้จะรู้ว่าหนทางที่ท่านกำลังพยายามทำมาอย่างสุดกำลังนั้น นับวันก็ยิ่งยากขึ้นๆ ทุกที เหมือนการจะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน ที่จะทำให้บุคคลที่มีความเห็นผิดที่มีเป็นจำนวนมากนั้น ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น แม้กระนั้น ท่านก็ไม่เคยแสดงความเหน็ดเหนื่อย หรือท้อถอยแต่ประการใดเลย ในทางตรงกันข้าม ท่านกลับกระตือรือร้นอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา ที่จะแสวงหาทุกวิธีการ ทุกหนทาง ทั้งคอยกระตุ้นเตือนบุคคลรอบข้าง ในอันที่จะช่วยกันกระทำทุกวิถีทางที่จะให้บุคคลที่อาจจะได้เคยสะสมความเข้าใจมาก่อนในอดีต ได้พบ ได้ยิน ได้ฟัง หรือแม้เพียงได้ฉุกคิด ด้วยความเมตตา เป็นมิตร เป็นเพื่อนผู้มีความหวังดีให้เขาได้เข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง
ที่ได้เกริ่นมามากมาย ก็เพื่อที่จะให้เห็นถึงความห่วงใย ความเมตตา ปรารถนาดีด้วยจริงใจ ของท่านผู้มีนามว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในชาตินี้ ที่ท่านได้สะสมความเข้าใจพระธรรมมาแต่ในอดีต อนันตชาติ เป็นบุญยิ่งของพวกเราทั้งหลาย ที่ท่านอาจารย์ได้เกิดมาเป็นคนไทยในปัจจุบันชาติ หากท่านเกิดในชาติอื่น สถานอื่น เราคงไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจในความละเอียด ลึกซึ้งของพระธรรมคำสอนได้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่พระศาสนาคือคำสอน ใกล้ที่จะอันตรธานเนื่องจากไม่มีผู้สามารถเข้าใจได้ ซึ่งท่านอาจารย์สามารถถ่ายทอดปัญญา ความเข้าใจพระธรรมที่ท่านมีมาแต่ในอดีตอนันตชาตินั้น ในภาษาไทยให้เราเข้าใจได้ นี้เป็นบุญยิ่งของเราทั้งหลาย (ที่ผู้เข้าใจธรรม ย่อมรู้โดยลึกซึ้งว่า ชาตินี้ไม่สูญเปล่าแล้วที่ได้พบท่านอาจารย์ ซึ่งโดยปรมัตถธรรม คือ ปัญญาเจตสิก หาใช่นามบัญญัติว่า สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แต่ประการใดไม่)
จากที่ได้กล่าวแล้วถึงความห่วงใยของท่าน ที่นอกจากการเผยแพร่พระธรรมในทุกๆ ช่องทาง ดังได้กล่าวแล้วนั้น ขณะนี้ ท่านได้ดำริให้จัดทำรายการใหม่ ในรูปแบบของการเชิญบุคคลต่างๆ มาสนทนาแบบสบายๆ เป็นกันเองกับท่าน ถึงปัญหาต่างๆ ในชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบัน เพื่อจะนำออกอากาศเผยแพร่สู่สาธารณชน โดยหวังว่า จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของรายการ ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น สำหรับท่านที่สนใจ ขอได้โปรดอดทนรอชมได้ในเวลาอีกไม่นานนัก ซึ่งขณะนี้ ทางมูลนิธิฯ ได้ทำการบันทึกเทปรายการไว้ได้หลายตอนแล้ว เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาในการตัดต่อ ซึ่งจะสามารถนำออกเผยแพร่ตอนแรกได้ ในเร็ววันนี้
สำหรับกระทู้นี้ จะขออนุญาตนำเสนอ ช่วงหนึ่งของรายการ "สนทนาปัญหาสารพัน" ซึ่งเป็น ช่วง "ศิษย์ถามอาจารย์" ที่ได้ทำการบันทึกเทป ที่บ้านของคุณแหม่ม (จรียา พุกกะมาน) อดีตพิธีกรหญิงจากรายการครบเครื่องเรื่องผู้หญิง ที่เคยออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง ๗ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. หมายเลข ๓๗๓๗ ซึ่งปัจจุบันนอกจากจะเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มานานหลายปีแล้ว คุณแหม่ม จรียา พุกกะมาน และ คุณทินวัฒน์ พุกกะมาน สามีของคุณแหม่ม ยังมีกุศลศรัทธา ปวารณาให้ใช้บ้านพักของท่านเป็นสถานที่แห่งใหม่ของมูลนิธิฯ สำหรับใช้ในการบันทึกเทปรายการ "สนทนาปัญหาสารพัน" อีกด้วย
อนึ่ง ช่วง "ศิษย์ถามอาจารย์" ที่นำมาเผยแพร่นี้ นอกจากจะ เป็นคลิปแรกของ "รายการสนทนาปัญหาสารพัน" ช่วง "ศิษย์ถามอาจารย์" ที่ได้นำออกเผยแพร่แล้ว ทางยูทูป ทั้งยังเป็นครั้งแรกของท่านเจ้าของบ้าน คือคุณแหม่ม ที่ยอมออกรายการทีวีเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ท่านอาจารย์ยินยอมให้สัมภาษณ์ถึงประวัติส่วนตัวของท่านโดยละเอียด ทั้งที่แต่เดิมมาท่านไม่อนุญาตให้ทำมาก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าการให้ความเข้าใจพระธรรมสำคัญกว่า แต่เนื่องจากการร้องขอของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ที่กราบเรียนท่านว่า เนื่องจากท่านเป็นบุคคลสาธารณะ ควรที่จะได้ทำการบันทึกประวัติที่สำคัญๆ จากความทรงจำของท่านเองในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เก็บไว้ เพื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษา อ้างอิง ในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางด้านประวัติความเป็นมาของการศึกษาพระอภิธรรมในยุคต้นๆ ของประเทศไทย และที่มาของการศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาของท่าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เป็นช่วงรายการสนทนาแบบสบายๆ ที่ให้สาระ ความรู้ ความเข้าใจในหนทางของการศึกษาพระธรรมแก่ผู้ที่ได้รับชมรับฟังได้อย่างดียิ่ง ทั้งเป็นสิ่งที่แม้ศิษยานุศิษย์ของท่านอาจารย์ ก็อาจไม่เคยได้รับฟังเรื่องต่างๆ เช่นนี้มาก่อนเลย
ในนามของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณแหม่ม จรียา และคุณทินวัฒน์ พุกกะมาน มา ณ โอกาสนี้
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาช่วงดังกล่าวฉบับเต็ม ได้ที่นี่...
สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ เหมือนได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์เลย รายการนี้มีแนวคิดที่ดีมากๆ เลยคะ ที่จะนำปัญหาของคนในปัจจุบัน มาสนทนา และชี้แนะแนวทางการแก้ปัญหา ด้วยการใช้ธรรมะเข้าขัดเกลากิเลสต่างๆ เพราะความเข้าใจผิด หลงผิด หลงเดินตามผู้คน ที่ไม่รู้จักธรรมะอันแท้จริง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนทุกวันนี้ เมื่อได้มาฟังความจริงที่อาจารย์ท่านเมตตาเกื้อกูล เหมือนได้เกิดใหม่ ตั้งใจฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าใจทีละคำจริงๆ ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา.. สาธุเจ้าค่ะ
ในโลกใบนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ก็เป็นความโชคดีที่ได้พบสภาพธรรมะที่ดี
กราบขอบพระคุณครับ
ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอ อนุโมทนาในกุศลจิต ครับ
"คำของอาจารย์แนบ และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะฟังคำใคร"
ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่ง
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนา ท่าน อาจารย์ สุจินต์. และท่านวิทยากร ตลอดถึงเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ทุกท่าน ที่เสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ในการที่จะเข้าใจพระธรรม
เหนื่อยไหมคะ? เหนื่อยแน่นอน ขอกุศลทั้งหลายที่ทุกท่านได้กระทำ ส่งผลให้ทุกท่านเป็นผู้ได้ประจักษ์ใน นามธรรม และรูปธรรม ได้อย่างรวดเร็ว
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และวิทยากรทุกท่าน ในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
อิ่มเอมใจ ขออนุโมทนาครับ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ