[เล่มที่ 70] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 649
พุทธวรรคที่ ๑
๓. เถราปทาน
อานันทเถราปทานที่ ๑๒ (๑๐)
ว่าด้วยผลแห่งการกางฉัตรถวายพระพุทธเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 70]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 649
อานันทเถราปทานที่ ๑๒ (๑๐)
ว่าด้วยผลแห่งการกางฉัตรถวายพระพุทธเจ้า
[๑๒] พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จออกจากประตู พระอารามแล้ว ทรงเมล็ดฝนอมฤตให้ตก ยังมหาชนให้เย็น สบาย.
พระขีณาสพผู้เป็นนักปราชญ์เหล่านั้น ประมาณหนึ่งแสน ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดุจพระฉายาตามพระองค์ไปฉะนั้น.
เวลานั้น เราอยู่บนคอช้าง กั้นฉัตรขาวอันประเสริฐ ปีติ เกิดแก่เรา เพราะได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปโฉมงาม.
เราลงจากคอช้างแล้วเข้าไปเฝ้าพระนราสภ ได้กั้นฉัตร แก้วของเราถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.
พระมหาฤๅษีพระนามว่าปทุมุตตระ. ทรงทราบความดำริ ของเราแล้ว ทรงหยุดกถานั้นไว้ แล้วตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
ผู้ใดได้กั้นฉัตรอันประดับด้วยเครื่องอลังการทอง เราจัก พยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
บุรุษผู้นี้ไปจากมนุษยโลกแล้ว จักครอบครองภพดุสิต จัก เสวยสมบัติ มีนางอัปสรทั้งหลายแวดล้อม.
จักเสวยเทวราชสมบัติ ๓๔ ครั้ง จักเป็นอธิบดีแห่งชน ครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง จักเสวยราชสมบัติในประเทศราชอันไพบูลย์ในแผ่นดิน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 650
ในแสนกัป พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้จักเป็นโอรสแห่งพระญาติของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธงชัยแห่ง สกุลศากยะ จักรได้เป็นพุทธอุปัฏฐาก มีนามชื่อว่า อานนท์ จักมีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา ฉลาดในพาหุสัจจะ มี ความประพฤติอ่อนน้อม ไม่กระด้าง ชำนาญในบาลีทั้งปวง.
พระอานนท์นั้น มีจิตส่งไปเพื่อความเพียร สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน.
มีช้างกุญชรอยู่ในป่าอายุ ๖๐ ปี ตกมัน ๓ แห่ง (คือที่ ตา หู และอัณฑะ) เกิดในตระกูลช้างมาตังคะ มีงางอนงาม ควรเป็นราชพาหนะ ฉันใด แม้บัณฑิตทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ประมาณได้หลายแสน มีฤทธิ์มาก บัณฑิตทั้งหมดนั้นของ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้ไม่มีกิเลส.
เรานมัสการอยู่ทั้งในยามต้น ในยามกลาง และในยาม สุดท้าย เรามีจิตเลื่อมใส ปลื้มใจ บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ ประเสริฐสุด เรามีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา มีสติ สัมปชัญญะ บรรลุโสดาปัตติผล ฉลาดในเสขภูมิ.
ในแสนกัปแต่กัปนี้ เราก่อสร้างกรรมใดไว้ เราได้บรรลุ ถึงภูมิแห่งกรรมนั้นแล้ว ศรัทธาตั้งมั่นแล้วมีผลมาก การมา ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดของเรา เป็นการมาดีแล้ว หนอ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา ทำเสร็จแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 651
คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เรา ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
ทราบว่า ท่านพระอานนทเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.
จบอานันทเถราปทาน
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. พุทธาปทาน ๒. ปัจเจกพุทธาปทาน ๓. สารีปุตตเถราปทาน ๔. มหาโมคคัลลานเถราปทาน ๕. มหากัสสปเถราปทาน ๖. อนุรุทธเถราปทาน ๗. ปุณณมันตานีปุตตเถราปทาน ๘. อุปาลีเถราปทาน ๙. อัญญาโกณฑัญญเถราปทาน ๑๐. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน ๑๑. ขทิรวนิยเรวตเถราปทาน ๑๒. อานันทเถราปทาน. รวม คาถาทั้งหมดได้ ๖๕๐ คาถา.
จบอปทานพุทธวรรคที่ ๑
๑๐. พรรณนาอานันทเถราปทาน
คำมีอาทิว่า อารามทฺวารา นิกฺขมฺม ดังนี้. เป็นอปทานของท่าน พระอานนทเถระ.
แม้พระเถระนี้ก็ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 652
ก่อสร้างบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดเป็นน้องชายต่างมารดากับ พระศาสดา ในนครหังสวดี. เขาได้มีชื่อว่า สุมนะ. ก็พระบิดาของ สุมนะนั้น เป็นพระราชาพระนามว่า นันทะ, พระเจ้านันทราชนั้น เมื่อ สุมนกุมารผู้เป็นโอรสของพระองค์เจริญวัยแล้ว จึงได้ประทานโภคนคร ให้ในที่ประมาณ ๒๐ โยชน์ จากนครหังสวดีไป. สุมนกุมารนั้นมาเฝ้า พระศาสดาและพระบิดาในบางครั้งบางคราว ครั้งนั้น พระราชาทรงบำรุง พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ประมาณหนึ่งแสนโดยเคารพด้วยพระองค์เอง ไม่ ยอมให้คนอื่นบำรุง.
สมัยนั้น ปัจจันตชนบทกำเริบขึ้น. พระกุมารไม่กราบทูลพระราชา ถึงความที่ปัจจันตชนบทกำเริบ เสด็จไประงับเสียเอง. พระราชาได้สดับ ดังนั้นดีพระทัยตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พ่อจะให้พรเจ้า เจ้าจงรับเอา. พระกุมารกราบทูลว่า ข้าพระองค์ปรารถนาเพื่อจะบำรุงพระศาสดาและภิกษุ สงฆ์ กระทำชีวิตไม่ไห้เป็นหมัน. พระราชาตรัสว่า ข้อนั้นเจ้าไม่อาจได้ จงบอกอย่างอื่นเถิด. พระกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาว่า กษัตริย์ทั้งหลาย ไม่มีพระดำรัสเป็นสอง ขอพระองค์จงประทานการบำรุง พระศาสดานั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการอย่างอื่น. ถ้าพระศาสดาทรงอนุญาต ก็เป็นอันทรงประทานเถิดพระเจ้าข้า. พระกุมารนั้น จึงเสด็จไปยังพระวิหารด้วยทรงหวังว่า จักหยั่งรู้น้ำพระทัยของพระศาสดา. ก็สมัยนั้น พระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี. พระกุมารเสด็จ เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ โยมมาเพื่อจะเฝ้าพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 653
ศาสดา ขอท่านทั้งหลายจงแสดงพระศาสดาแก่โยมด้วยเถิด. ภิกษุทั้งหลาย ทูลว่า พระเถระชื่อว่าสุมนะเป็นพระอุปัฏฐากของพระศาสดา พระองค์จง เสด็จไปยังสำนักของพระเถระนั้น. พระกุมารจึงเสด็จไปยังสำนักของพระเถระแล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงพระศาสดา.
ลำดับนั้น พระเถระ เมื่อพระกุมารทรงเห็นอยู่นั่นเอง ได้ดำดิน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชบุตรเสด็จมาเพื่อจะขอเฝ้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุ ถ้าอย่างนั้นเธอจงปูลาดอาสนะไว้ข้างนอก. พระเถระถือเอาพุทธอาสน์อีกที่หนึ่ง แล้วดำลงในภายในพระคันธกุฎี เมื่อพระกุมารนั้นทรง เห็นอยู่ ก็ปรากฏขึ้น ณ ที่บริเวณภายนอก แล้วปูลาดอาสนะในบริเวณ พระคันธกุฎี. พระกุมารเห็นดังนั้น จึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า ภิกษุนี้ ยิ่งใหญ่หนอ.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ประทับนั่งบน อาสนะที่ปูลาดไว้. พระราชบุตรถวายบังคมพระศาสดา ทรงทำปฏิสันถาร แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระนี้เห็นจะเป็นที่โปรดปราน ในพระศาสนาของพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า ถวายพระพร พระกุมาร เธอเป็นที่โปรดปราน. พระราชบุตรทูลถามว่า พระเถระนี้เป็นที่โปรดปราน เพราะกระทำกรรมอะไร พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า เพราะ ทำบุญมีให้ทานเป็นต้น. พระราชบุตรนั้นทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้กระหม่อมฉันก็ใคร่จะเป็นที่โปรดปรานในศาสนาของพระพุทธเจ้าใน อนาคต เหมือนพระเถระนี้ แล้วถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ ที่กองค่ายพัก ตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ กราบทูลว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 654
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กระหม่อมฉันได้พรสำหรับปรนนิบัติพระองค์ ๓ เดือน จากสำนักพระราชบิดา ขอพระองค์จงรับนิมนต์การอยู่จำพรรษา เพื่อหม่อมฉันตลอด ๓ เดือน ทรงทราบว่าพระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว จึงพาพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริวารไป แล้วให้สร้างวิหารทั้งหลาย อันเหมาะสมที่จะเป็นที่อยู่ของพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ไว้ในที่ระยะหนึ่ง โยชน์ๆ แล้วนิมนต์ให้ประทับอยู่ในวิหารนั้นๆ แล้วนิมนต์ให้เสด็จเข้า ไปประทับยังวิหารที่สร้างด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง ในอุทยานชื่อว่า โสภณะ ซึ่งซื้อไว้ด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง ณ ที่ใกล้สถานที่ประทับของพระองค์ แล้ว หลั่งน้ำให้ตกลงด้วยพระดำรัสว่า
ข้าแต่พระมหามุนี อุทยานชื่อว่าโสภณะนี้ กระหม่อมฉัน ซื้อไว้ด้วยทรัพย์แสนหนึ่ง แล้วให้สร้างด้วยทรัพย์อีกแสนหนึ่ง ขอพระองค์ได้โปรดรับไว้เถิด.
ในวันใกล้วันเข้าพรรษา พระราชบุตรได้ยังมหาทานให้เป็นไปแด่ พระศาสดา แล้วทรงชักชวนโอรส พระชายา และเหล่าอำมาตย์ ในการ ให้ทาน และการกระทำกิจการว่า ท่านทั้งหลายพึงให้ทานโดยวิหารนี้ ส่วนพระองค์เองประทับอยู่ที่ใกล้ๆ กับสถานที่อยู่ของพระสุมนเถระ ทรง บำรุงพระศาสดาตลอดไตรมาส ณ สถานที่ประทับอยู่ของพระองค์ ด้วย ประการอย่างนี้. ก็เมื่อจวนจะใกล้วันปวารณา จึงเสด็จเข้าไปยังหมู่บ้าน ยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ทรงวางไตรจีวรไว้แทบ บาทมูลของพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ ทรงนมัสการแล้วได้ทรงกระทำ ความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุญที่กระหม่อมฉันทำเริ่มมา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 655
ตั้งแต่กองค่ายนั้น จะกระทำเพื่อประโยชน์แก่สักกสมบัติเป็นต้นก็หามิได้ โดยที่แท้ กระหม่อมฉันพึงเป็นอุปัฏฐากที่โปรดปรานของพระพุทธเจ้า องค์หนึ่งในอนาคต เหมือนพระสุมนเถระนี้. พระศาสดาทรงเห็นว่า ความปรารถนานั้นไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์แล้วเสด็จหลีกไป.
ในพุทธุปบาทกาลนั้น เขาทำบุญอยู่ถึงแสนปี แม้ต่อจากพุทธุปบาทกาลนั้นไป ก็ได้สั่งสมบุญกรรมไว้เหลือหลายในภพนั้นๆ ท่องเที่ยวไป ในเทวดาและมนุษย์ ครั้นในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสป จึงมาเกิดในเรือนของผู้มีสกุล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ได้เอาผ้า อุตราสงค์มาทำการบูชา เพื่อจะรับบาตรของพระเถระรูปหนึ่งผู้กำลังเที่ยว บิณฑบาตอยู่. เขากลับไปเกิดในสวรรค์อีก จุติจากสวรรค์แล้วมาเป็น พระเจ้าพาราณสี ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ จึงนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นให้ฉัน เสร็จแล้วให้สร้างบรรณศาลา ๘ หลังไว้ใน อุทยานอันเป็นมงคลของพระองค์ แล้วมอบถวายตั่งอันสำเร็จด้วยรัตนะ ทั้งหมด กับเชิงรองอันเป็นแก้วมณี ๘ สำรับ เพื่อให้เป็นที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น แล้วทำการอุปัฏฐากอยู่ถึงหมื่นปี. การกระทำ ดังนี้ ได้ปรากฏแล้ว.
เขาก่อสร้างบุญทั้งหลายไว้ในภพนั้นๆ ถึงแสนกัป ได้บังเกิดใน สวรรค์ชั้นดุสิต พร้อมกับพระโพธิสัตว์ของพวกเราทั้งหลาย จุติจากภพ ดุสิตนั้นแล้วมาบังเกิดในพระราชมณเฑียรของ พระเจ้าอมิโตทนศากยะ ได้นามว่า อานนท์ เพราะเกิดมาทำพวกพระญาติให้ยินดี. อานนท์ นั้นเจริญวัยขึ้นโดยลำดับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการเสด็จออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 656
อภิเนษกรมณ์ ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ แล้วเสด็จไปยังนครกบิลพัสดุ์เป็นครั้งแรก เสร็จ แล้วเสด็จออกจากนครกบิลพัสดุ์นั้น จึงออกไปพร้อมกับเจ้าภัททิยะเป็นต้น ผู้เสด็จออกบวชเพื่อเป็นบริวารของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แล้วบวชใน สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้ฟังธรรมกถาในสำนักของท่านพระปุณณมันตานีบุตร จึงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ก็สมัยนั้น ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีอุปัฏฐาก ประจำเป็นเวลา ๒๐ พรรษา. บางคราวท่านพระนาคสมาละถือบาตรจีวร เที่ยวไป. บางคราวพระนาคิตะ, บางคราวพระอุปวาณะ, บางคราวพระสุนักขัตตะ, บางคราวพระจุนทะสมณุทเทส, บางคราวพระสาคิตะ, บาง คราวพระเมฆิยะ ท่านเหล่านั้น โดยมากพระศาสดาไม่ทรงโปรด. อยู่มา วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมประทับนั่งอยู่บนบวรพุทธอาสน์อันเขาปูลาดไว้บนบริเวณพระคันธกุฎี ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นคนแก่แล้ว. ภิกษุบางพวก เมื่อเรากล่าวว่า จะไปทางนี้ กลับไปทางอื่น บางพวกวางบาตรจีวรของ เราไว้ที่พื้น พวกท่านจงเลือกภิกษุสักรูปหนึ่งให้เป็นอุปัฏฐากประจำตัว เรา. ภิกษุทั้งหลายได้ฟังดังนั้นเกิดธรรมสังเวช. ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักบำรุงพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ห้ามท่านเสีย. โดยอุบายนี้ พระมหาสาวกทั้งปวงมีพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ยกเว้นท่านพระอานนท์ ต่างลุกขึ้นกราบทูลว่า ข้าพระองค์จัก อุปัฏฐากๆ แม้พระมหาสาวกเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงห้ามเสีย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 657
ส่วนพระอานนท์คงนั่งนิ่งอยู่. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าว กะท่านพระอานนท์ว่า ท่านผู้มีอายุ แม้ตัวท่านก็จงทูลขอตำแหน่งอุปัฏฐาก พระศาสดาเถิด. พระอานนท์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าการอุปัฏฐากที่ได้มาด้วย การขอ จะเป็นเช่นไร ถ้าทรงชอบพระทัย พระศาสดาก็จักตรัสบอกเอง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนอื่นๆ ไม่ต้องให้กำลังใจอานนท์ เธอรู้ตัวเองแล้วจักอุปัฏฐากเราเอง. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่า ลุกขึ้นเถิด อาวุโสอานนท์ ท่านจงขอ ตำแหน่งอุปัฏฐากกะพระศาสดาเถิด. พระเถระลุกขึ้น แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่ประทานจีวรอันประณีต ที่ทรงได้แก่ข้าพระองค์ ๑ จักไม่ทรงประทานบิณฑบาตอันประณีต ๑ จักไม่ ประทานให้อยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกัน ๑ จักไม่ทรงพาไปยังที่นิมนต์ ๑ เมื่อ เป็นอย่างนี้ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า. การปฏิเสธ ๔ ข้อนี้ เพื่อจะปลดเปลื้องการติเตียนที่ว่า เมื่อได้คุณประโยชน์มีประมาณ เท่านี้ การอุปัฏฐากพระศาสดาจะหนักหนาอะไร. (พระอานนท์กราบทูล ว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จไปยังที่นิมนต์ที่ ข้าพระองค์ได้รับไว้ ๑ ข้าพระองค์จะได้นำบุคคลผู้มาแล้วๆ จากประเทศ อื่นเข้าเฝ้าในทันทีทันใด ๑ เมื่อใด ข้าพระองค์เกิดความสงสัย ขอให้ได้ เข้าเฝ้าถามพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ เมื่อนั้น ๑ ถ้าพระองค์จักทรงพยากรณ์ ธรรม ที่ทรงแสดงในที่ลับหลังแก่ข้าพระองค์อีก ๑ เมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า. การขอ ๔ ข้อนี้ เพื่อจะ ปลดเปลื้องคำติเตียนที่ว่า แม้เรื่องเท่านี้ พระเถระก็ไม่ได้การอนุเคราะห์ใน สำนักพระศาสดา และเพื่อจะทำธรรมภัณฑาคาริกขุนคลังธรรมให้บริบูรณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 658
รวมความว่า พระเถระได้พร ๘ ประการนี้ จึงจะเป็นอุปัฏฐากประจำ. พระเถระได้บรรลุผลแห่งบารมีทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญมาแสนกัป ก็เพื่อต้องการฐานันดรนั้นเท่านั้น.
ตั้งแต่วันที่ได้ตำแหน่งอุปัฏฐาก พระเถระได้อุปัฏฐากพระทศพล ด้วยกิจมีอาทิอย่างนี้ คือถวายน้ำสรง ๒ ครั้ง ถวายไม้ชำระพระทนต์ ๓ ครั้ง บริกรรมพระหัตถ์และพระบาท บริกรรมพระปฤษฎางค์ และกวาด บริเวณพระคันธกุฎี เป็นผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสำนักตลอดภาคกลางวัน ด้วย หวังใจว่า เวลาชื่อนี้ พระศาสดาควรได้สิ่งชื่อนี้ เราควรทำกรรมชื่อนี้ ส่วนในภาคกลางคืน ได้ถือเอาประทีปด้ามดวงใหญ่ เดินไปรอบๆ บริเวณพระคันธกุฎี ๙ ครั้ง เพื่อจะได้ถวายคำตอบในเมื่อพระศาสดาตรัส เรียก และเพื่อบรรเทาความง่วงเหงาหาวนอน. ลำดับนั้น พระศาสดา ประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าในพระเชตวัน ตรัสสรรเสริญ พระอานนทเถระโดยอเนกปริยาย แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเลิศแห่งภิกษุ ทั้งหลาย ผู้เป็นพหูสต มีสติ มีคติ มีธิติ และ เป็นอุปัฏฐาก.
พระเถระนี้ อันพระศาสดาทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะ ในฐานะ ๕ ฐานะ ด้วยประการอย่างนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอันน่าอัศจรรย์ไม่ เคยมี ๔ ประการ เป็นผู้รักษาคลังธรรมของพระศาสดา ทั้งที่ยังเป็นพระเสขะอยู่ทีเดียว เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว อันภิกษุทั้งหลายให้อาจหาญ ขึ้น และอันเทวดาให้สังเวชสลดใจโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง คิดว่า ก็บัดนี้ พรุ่งนี้แล้วหนอ จะทำสังคายนาพระธรรม ก็ข้อที่เรายังเป็น พระเสขะมีกรณียะที่จะพึงทำ จะไปยังที่ประชุมเพื่อสังคายนาพระธรรมกับ พระเถระผู้เป็นอเสขะ ไม่สมควรเลย จึงเกิดความอุตสาหะ เริ่มตั้ง วิปัสสนา กระทำวิปัสสนากรรมอยู่ตลอดคืนยังรุ่ง ไม่ได้ความเพียรอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 659
สม่ำเสมอในการจงกรม แต่นั้น จึงเข้าไปยังวิหารแล้วนั่งบนที่นอน มี ความประสงค์จะนอน จึงเอนกายลง. ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน, และ เท้าพอพ้นจากพื้น ในระหว่างนี้ จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายโดยไม่ ถือมั่น ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖.
พระเถระประกอบด้วยคุณ มีอภิญญา ๖ เป็นต้นอย่างนี้ บรรลุ ตำแหน่งเอตทัคคะโดยคุณมีความเป็นอุปัฏฐากเป็นต้น ระลึกถึงบุพกรรม ของตน เมื่อจะแสดงอปทานแห่งความประพฤติในกาลก่อนด้วยความ โสมนัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อารามทฺวารา นิกฺขมฺม ดังนี้. บรรดาบท เหล่านั้น บทว่า อารามทฺวารา ความว่า พระมหามุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จออกจากประตูพระวิหาร แล้วประทับนั่งบน บวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้เรียบร้อย ที่เขาทำไว้ท่ามกลางมณฑป ใกล้ประตู ด้านนอก เพื่อจะทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งปวง. บทว่า วสฺสนฺโต อมตํ วุฏฺึ ความว่า หลังฝนคือธรรมด้วยสายธารแห่งมหาอมตะคือพระธรรมเทศนา. บทว่า นิพฺพาเปสิ มหาชนํ ความว่า ทรงทำไฟคือกิเลสอัน อยู่ในจิตสันดานของมหาชนให้ดับ คือให้สงบระงับ อธิบายว่า ทรง ยังมหาชนให้ถึงความสงบคือความเย็น ด้วยการดื่มน้ำอมฤตคือพระนิพพาน.
เมื่อจะแสดงบริวารสมบัติจึงกล่าวว่า สตสหสฺสํ เต ธีรา ดังนี้. อธิบายว่า นักปราชญ์เหล่านั้นเป็นพระขีณาสพประมาณหนึ่งแสน ประกอบด้วยอภิญญา ๖ คือส่วนแห่งญาณ มีอิทธิวิธญาณเป็นต้น ชื่อว่ามีฤทธิ์ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยฤทธิ์ทั้งหลาย อันสามารถไปในหลายแสน จักรวาลได้โดยทันที พากันแวดล้อมพระสัมพุทธเจ้า คือพระผู้มีพระภาค-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 660
เจ้าพระนามว่าปทุมุตตระพระองค์นั้น ประดุจเงาไม่ไปปราศในที่ไหนๆ อธิบายว่า แวดล้อมฟังธรรมอยู่.
บทว่า หตฺถิกฺขนฺธคโต อาสึ ความว่า ในกาลนั้น คือในสมัย แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราได้นั่งอยู่บนหลังช้าง. บทว่า เสตจฺฉตฺตํ วรุตฺตมํ ความว่า เรานั่งบนหลังช้างกั้นเศวตฉัตรชั้นสูงที่พึง ต้องการไว้เหนือกระหม่อมของเรา. บทว่า สุจารุรูปํ ทิสฺวาน ความว่า ความปลื้มใจ คือความยินดี ได้แก่ความโสมนัสเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้ เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปงดงามเป็นที่จับใจ กำลังทรงแสดงธรรมอยู่.
บทว่า โอรุยฺห หตฺถิกฺขนฺธมฺหา ความว่า เราเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นประทับนั่ง จึงลงจากหลังช้างแล้วเข้าไปเฝ้า คือไปสู่ที่ใกล้ พระนราสภ คือพระผู้ประเสริฐแห่งนระ. บทว่า รตนมยฉตฺตํ เม เชื่อม ความว่า เรากั้นฉัตรของเราอันประดับด้วยรัตนะ เหนือพระเศียรแห่ง พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.
บทว่า มม สงฺกปฺปมญฺาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระนั้นทรงเป็นใหญ่ในระหว่างฤาษีทั้งหลาย ทรงทราบ ความดำริอันเกิดขึ้นด้วยความเลื่อมของเรา. บทว่า ตํ กตํ ปยิตฺวาน ความว่า พระองค์ทรงหยุดพระธรรมกถาที่พระองค์กำลังทรงแสดงอยู่นั้น. แล้วได้ภาษิตคือตรัสคาถาเหล่านี้ เพื่อต้องการพยากรณ์เรา.
หากจะมีคำถามว่า ทรงพยากรณ์อย่างไร? จึงตรัสคำมีอาทิว่า โย โส ดังนี้. ในคำนั้น เชื่อมความว่า พระราชกุมารนั้นใดทรงกั้นฉัตร อันประดับด้วยเครื่องอลังการอันเป็นทอง เหนือกระหม่อมของเราตถาคต. บทว่า ตมหํ กิตฺตยิสฺสามิ ความว่า เราจักประกาศคือจักกระทำพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 661
ราชกุมารนั้นให้ปรากฏ. บทว่า สุโณถ มม ภาสโต ความว่า ท่าน ทั้งหลายจงฟัง คือจงเงี่ยโสตลงมนสิการคำของเราผู้จะกล่าวอยู่.
บทว่า อิโต คนฺตฺวา อยํ โปโส ความว่า พระราชกุมารนี้จุติ จากมนุษยโลกนี้ จักไปยังภพดุสิตแล้วอยู่ คือจักอยู่ในภพดุสิตนั้น. ใน คำนั้นเชื่อมเนื้อความว่า อันนางอัปสรทั้งหลายกระทำไว้ในเบื้องหน้า คือ แวดล้อม จักเสวยสมบัติอยู่ในภพดุสิต.
บทว่า จตุตฺตึสกฺขตฺตุํ เชื่อมความว่า จุติจากภพดุสิตแล้วบังเกิด ขึ้นในภพดาวดึงส์ จักเป็นจอมเทวดาครองเทวราชสมบัติอยู่ ๓๔ ครั้ง. บทว่า พลาธิโป อฏฺสตํ ความว่า จุติจากภพดาวดึงส์มาบังเกิดใน มนุษยโลก จักเป็นใหญ่ในกองทัพ คือเป็นใหญ่เป็นประธานในกองทัพ อันประกอบด้วยองค์ ๔ จักเป็นเจ้าประเทศราช ๑๐๘ ชาติ จักอยู่ครอง พสุธาคือปฐพีอันประเสริฐด้วยรัตนะมิใช่น้อย คือจักอยู่ในแผ่นดิน.
บทว่า อฏฺปญฺาสกฺขตฺตุํ ความว่า จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ชาติ. จักครองความเป็นเจ้าประเทศราชอันกว้างใหญ่คือนับไม่ถ้วน ใน แผ่นดิน คือในแผ่นดินชมพูทวีปทั้งสิ้น.
บทว่า สกฺยานํ กุลเกตุสฺส ความว่า จักได้เป็นญาติของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธงชัยแห่งสักยราชสกุล.
บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร. บทว่า นิปโก ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา กล่าวคือปัญญารู้รอบคอบ. เป็นผู้เฉลียวฉลาด ในพาหุสัจจะ คือความเป็นพหูสูต ได้แก่ในการทรงจำพระไตรปิฎก. เชื่อมความว่า จักเป็นผู้มีความประพฤติในการถ่อมตน คือเป็นผู้ไม่ดูหมิ่น ผู้อื่น เป็นผู้ไม่แข็งกระด้าง คือเว้นจากความกระด้างมีความคะนองทาง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้า 662
กายเป็นต้น จักเป็นผู้ชำนาญบาลีทั้งปวง คือจักเป็นผู้มีปกติทรงจำพระ-ไตรปิฎกทั้งสิ้นได้.
บทว่า ปธานปหิตตฺโต โส ความว่า พระอานนทเถระนั้น เป็นผู้มีจิตส่งไปเพื่อกระทำความเพียร. บทว่า อุปสนฺโต นิรูปธิ ความว่าเป็นผู้เว้นอุปธิคือ ราคะ โทสะ และโมหะ. เป็นผู้สงบ คือเป็นผู้มีกายและจิตสงบ เพราะละเหล่ากิเลสที่จะพึงละด้วยโสดาปัตติมรรค.
บทว่า สนฺติ อารญฺกา ความว่า มีในอรัญ คือเกิดในป่าใหญ่. บทว่า สฏฺิหายนา ความว่า ในเวลามีอายุ ๖๐ ปี มีกำลังเสื่อมไป. บทว่า ติธา ปภินฺนา ความว่า ตกมัน ๓ แห่ง กล่าวคือที่ตา หู และอัณฑะ. บทว่า มาตงฺคา แปลว่า เกิดในตระกูลช้างชื่อมาตังคะ. บทว่า อีสาทนฺตา แปลว่า มีงาเหมือนงอนรถ. เป็นช้างทรงคือเป็นราชพาหนะ. ช้างตัวประเสริฐ ได้แก่พญาช้าง กล่าวคือช้างกุญชรมีปรากฏอยู่ ฉันใด บัณฑิตกล่าวคือพรขีณาสพ ได้แก่พระอรหันตนาคผู้มีฤทธิ์นับด้วยแสน ย่อมมีอยู่ ฉันนั้น. พระอรหันตนาคทั้งหมดนั้น ของพญาช้างตัวประเสริฐคือพระพุทธเจ้า. บทว่า น โหนฺติ ปณิธิมฺหิ เต ความว่า บัณฑิตเหล่านั้นย่อมไม่เป็นเช่นนั้นในความปรารถนา อธิบายว่าบัณฑิตทั้งหมดนั้นพึงกลัวภัย ไม่อาจดำรงอยู่ตามภาวะของตนได้อย่างไร. คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วฉะนี้แล.
จบพรรณนาอานันทเถราปทาน
จบพรรณนาพุทธวรรคที่ ๑ ด้วยลำดับคำเพียงเท่านี้
จบอรรถกถาอปทานภาคที่ ๑