อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าการเรียนพระอภิธรรมนี้ จะทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนละคนหรือเพียงลดละกิเลส ตามดูจิตทันครับ
และผมมีเพื่อนเรียนพระอภิธรรมเป็นปีๆ แล้วครับ แต่ผมยังรู้สึกเพื่อนไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไร ในตอนนั้นเพื่อน (เป็นเกย์) ชอบกินเหล้า เล่นยาเสพติด นอกใจแฟนผู้ชาย ผมตำหนิไปว่าเรียนอภิธรรม ไม่น่าผิดศีลห้า เพื่อนผมก็ฉลาดแกมโกง พยายามทำให้ศีลทะลุหรือด่างไม่ให้ขาด
ขอบคุณครับ เและสาธุๆ ๆ ครับ
อยากสอบถามว่าคนเรียนพระอภิธรรมจะเป็นยังไงบ้างครับ
การที่ผมตำหนิเพื่อนด้วยเจตนาดี จะเป็นบาปและได้วิบากอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจก่อนว่า พระอภิธรรม เป็นธรรมที่มีจริง ละเอียดโดยความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระอภิธรรม จึงไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เป็นธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก กุศล อกุศล เป็นต้น นี้แหละ คือ พระอภิธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเราจะต้องเข้าใจความจริงว่า กิเลสของปุถุชนที่สะสมมานั้น มากมายมหาศาลนับชาติไม่ถ้วน หาปริมาณวัดไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า หากเปรียบกิเลสมีรูปร่าง จับต้องได้ จักรวาลก็ไม่เพียงพอที่จะบรรจุกิเลสของคนๆ เดียวได้เพียงพอ นี่แสดงให้เห้นว่า สัตว์โลกสะสมกิเลสมามาก เพราะฉะนั้น เพียงเพิ่งเริ่มฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ปัญญาเพียงขั้นการฟัง ขั้นเข้าใจ ไม่สามารถทำกิเลสได้เลย แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้ในขั้นการฟัง เพราะฉะนั้น กิเลส ไม่ใชลดรวดเร็ว เปลี่ยนเป็นคนละคน แต่ธรรมจะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสไปทีละน้อย เหมือนการจับด้ามมีด ที่ค่อยๆ สึกไปทีละน้อยมากเมื่อจับด้ามมีดในแต่ละครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าสึกไปเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น อุปนิสัยที่สะสมมาในทางที่ไม่ดี ด้วยอำนาจกิเลสก็ยังมีต่อไป แต่ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ความเป็นจริง เป็นแต่เพียงธรรม แม้แต่การศึกษาอภิธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่การศึกษาเป็นชื่อที่จะต้องจำชื่อให้ได้ ว่ามีเท่าไหร่ แต่เข้าใจความจริงที่มีในขณะที่เป็นอภิธรรม ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่จะเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อศึกษาพระธรรม นั่นแสดงถึงความผิดปกติ ที่จะทำ และไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่หนทางที่ถูก คือ ค่อยๆ เข้าใจกิเลส อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็ค่อยๆ ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ดีขึ้นที่เริ่มคิดถูก แต่ ยังไม่มีกำลังต้านทานกิเลสได้ แต่แม้กิเลสเกิดขึ้น ก็เข้าใจขั้นการฟังว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จนในที่สุด ก็ค่อยๆ ละกิเลส ไปได้ แต่ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วนเลย ซึ่งผู้ที่จะรักษาศีล 5 ไม่ล่วงศีลอีกเลย คือ พระโสดาบัน แต่ผู้ที่เป็นปุถุชน ก็ยังล่วงศีลได้เป็นธรรมดา ครับ
ซึ่งในความเป็นจริงในเรื่องของนิสัยของสัตว์โลกก็แตกต่างกันไปตามการสะสม แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะมีอุปนิสัยอย่างไร เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใคร บุคคลใด สะสมอะไรมามากหรือน้อย เพราะแม้บางคนจะมีนิสัยตระหนี่มาก (สมัยพุทธกาล) แต่ก็อบรมปัญญามาในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก็ได้ฟังพระธรรม และได้บรรลุธรรมก็มี บางคนก็มีมานะมาก ไม่ไหว้บิดา มารดาเลย ไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่เมื่อได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุธรรม บางคนก็ขี้โกรธมาก แต่ฟังธรรมก็ได้บรรลุธรรม บางคนเห็นผิด เข้าใจผิด แต่เพราะเคยสะสมความเห็นถูกมา เมื่อฟังธรรมก็ได้บรรลุธรรมจะเห็นว่า อุปนิสัยอย่างไรก็ไม่เป็นเครื่องกั้นต่อการบรรลุธรรม เพราะเป็นผู้สะสมปัญญามาในอดีตแล้วครับ
นิสัยที่ไม่ดี มีได้เป็นธรรมดา ตราบเท่าที่ยังเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส แต่ก็สามารถอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมได้ และค่อยๆ เข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและในอนาคต กิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ก็ยังทำให้มีอุปนิสัยที่ไม่ดีได้ แต่เพราะอบรมปัญญา ก็สามารถบรรลุธรรม เมื่อได้ฟังพระธรรม และเมื่อบรรลุธรรม ปัญญาเกิดแล้ว อุปนิสัยที่ไม่ดีก็ค่อยๆ หายไป หายไปตามกิเลสที่ได้ดับไปนั่นเองครับ
ส่วนที่ผู้ถามตักเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี แม้จะมีอกุศลสลับบ้าง ก็ไม่บาปที่จะทำให้ล่วงศีลอะไร ก็แนะนำเพื่อนให้อยู่ในความดี ถูกต้องแล้ว ครับ
อนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ส่วนใหญ่เวลาได้ยินคำว่า อภิธรรม แล้วกลัว กลัวว่าจะเรียนไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว อภิธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ว่าเป็นอภิธรรม ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากอภิธรรมเลย เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ความดี ความชั่ว เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริง ที่เป็นอภิธรรม ทั้งสิ้น พระอภิธรรมจึงไม่ได้อยู่ในตำรา แต่เป็นชีวิตจริงๆ ทุกขณะ เพราะฉะนั้น สำคัญที่การเริ่มต้น ด้วยการฟังด้วยการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องนั้นต้องไม่ใช่แบบวิชาการ แต่เป็นไป เพื่อขัดเกลา ละคลายกิเลส มีความเห็นผิด ความไม่รู้ เป็นต้น
ขณะที่เข้าใจ ก็ละความไม่เข้าใจแล้วในขณะนั้น จะเปลี่ยนจากผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลสในทันทีทันใด ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะอาศัยความเข้าใจพระธรรม ค่อยๆ กล่อมเกลาจิตใจไป ในที่สุด จากที่มากไปด้วยความประพฤติที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมประการต่างๆ ก็จะลดน้อยลง ตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้ืน และที่สำคัญ สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกได้ว่า แม้จะเป็นอกุศล ก็คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา และมีความเพียรที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม เพื่อสะสมปัญญา ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่สะสมหมักหมมอยู่ในจิตของตนเองต่อไป เพราะใครๆ ก็ขัดเกลาละคลายให้ไม่ได้ ก็ต้องเป็นปัญญาและคุณความดีของตนเองเท่านั้น ฟังแล้วก็ต้องฟังอีก แล้วก็ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรอง ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังซึ่งเป็นเรื่องยากมาก การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับจริงๆ ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้ามีความตั้งใจ มีปัญญา ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนดีขึ้นได้ ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ
ผมคิดว่าเวลาที่ศึกษาพระธรรมเพื่อเจริญปัญญา อยู่ในขั้นทำความเข้าใจ ขั้นเริ่มต้น อาจจะเพิ่งเริ่มชาติแรกก็เป็นได้ ดังนั้น คงจะเร่งรีบไปวัดผลลัพธ์ของใครไม่ได้ เพราะอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวสอนว่าปัญญาเป็นพืชที่โตช้า ปัญญาเท่านั้นที่จะขัดเกลาได้อย่างแท้จริง แล้วก็ไม่ใช่การเรียนแบบปัญญาทางโลกด้วย แต่คนส่วนใหญ่พอพูดถึงคำว่าปัญญา ก็คิดถึงลักษณะปัญญาทางโลกทันที ทำให้ชาวธรรมะบางกลุ่มถึงกลับดูแคลนการเจริญปัญญาด้วยซ้ำ เพราะเข้าใจเอาเองว่าเป็นลักษณะเดียวกับปัญญาทางโลก คงเพราะนำคำบาลีมาใช้กันในความหมายใหม่จึงเข้าใจกันผิดไป อีกทั้งเวลาที่ไปนั่งสมาธิหรือไปทำอะไร ขณะนั้นเป็นโลภะที่น่าพอใจ ไม่เกิดโทสะ ก็คิดว่ากำลังทำความดีอยู่ เพราะไม่รู้ว่าเป็นโลภะ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ใครๆ ก็ชอบโลภะ ทำให้คิดว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ถูกผลลัพธ์หลอก ว่านี่คือการทำความดี นี่คือกุศล
แล้วอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า การสะสมปัญญาที่จะขัดเกลากิเลส นั้นแยกขาดจากการสะสมกิเลสมา ดังนั้น ระหว่างที่สะสมอบรมเจริญปัญญา ก็อาจจะยังไม่ถึงพร้อมที่จะละกิเลสที่สะสมมาเนิ่นนานจากอดีตหลายๆ ชาติ ดังนั้นผมจึงคิดว่า การที่ใครศึกษาธรรม แล้วเขายังไม่สามารถจะเป็นคนดีพร้อมได้ดั่งใจเรา ก็ควรจะเห็นใจที่เขาสะสมกิเลสมามากมายจากอดีตชาตินับไม่ถ้วน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดับหมดสิ้นภายในชาติเดียว แล้วยิ่งน่าอนุโมทนาที่เขายังแบ่งเวลาของกิเลส มาศึกษาธรรม อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นสะสมการฟังธรรม เพราะยุคนี้จะหาคนที่ศึกษาพระธรรมนั้นน้อยมากครับ ส่วนใหญ่จะหลบไปนั่งสมาธิหรือทำอะไรต่างๆ เพื่อหลบจากสภาพโทสะต่างๆ แล้วเรียกว่าการปฏิบัติธรรม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอเชิญรับฟัง ซีดี ชุด
พื้นฐานพระอภิธรรม