[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 661
อัฏฐกวัคคิกะ
ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ ๗
ว่าด้วยเมถุนธรรม หน้า 661
ว่าด้วยวิเวก ๓ หน้า 663
ว่าด้วยผู้บวชแล้วสึก หน้า 670
ว่าด้วยยศและเกียรติ หน้า 674
ว่าด้วยสิกขา ๓ อย่าง หน้า 675
ว่าด้วยข้อเสียของภิกษุ หน้า 677
ว่าด้วยต้นตรงปลายคด หน้า 682
ว่าด้วยการลงโทษ หน้า 683
ว่าด้วยปฏิปทาของมุนี หน้า 686
อรรถกถาติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส หน้า 693
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 65]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 661
ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ ๗
[๒๒๔] ท่านพระติสสเมตเตยยะ กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า :-
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ซึ่งความคับแค้นของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม พวกข้าพระองค์ได้ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว จัก ศึกษาในวิเวก.
ว่าด้วยเมถุนธรรม
[๒๒๕] คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนื่องๆ ในเมถุนธรรม ความว่า ชื่อว่า เมถุนธรรม ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ ธรรมของชาว บ้าน ธรรมของคนเลว ธรรมชั่วหยาบ ธรรมมีน้ำเป็นที่สุด ธรรมอัน พึงทำในที่ลับ ธรรมคือความถึงพร้อมด้วยธรรมของคนคู่กัน.
เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าเมถุนธรรม? เพราะเป็นธรรมของคนทั้งสอง ผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น มีจิตอันราคะ ครอบงำ เป็นเช่นเดียวกันทั้งสองคน เพราะเหตุดังนี้นั้น จึงเรียกว่า เมถุนธรรม.
คน ๒ คนทำความทะเลาะกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนทำความ มุ่งร้ายกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนทำความอื้อฉาวกัน เรียกว่าคนคู่,
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 662
คน ๒ คนทำความวิวาทกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนก่ออธิกรณ์กัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนพูดกัน เรียกว่าคนคู่ คน ๒ คนปราศรัยกัน เรียกว่าคนคู่, ฉันใด ธรรมนั้นเป็นธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัด กล้า ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น มีจิตอันราคะครอบงำ เป็นเช่น เดียวกันทั้งสองคน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้แล้ว จึงเรียกว่า เมถุนธรรม.
คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม ได้แก่ ของบุคคลผู้ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบเอื้อเฟื้อ ประกอบพร้อม ใน เมถุนธรรม คือผู้ประพฤติในเมถุนธรรม มักมากในเมถุนธรรม หนักใน เมถุนธรรม น้อมไปในเมถุนธรรม โน้นไปในเมถุนธรรม โอนไปใน เมถุนธรรม น้อมใจไปในเมถุนธรรม มีเมถุนธรรมนั้นเป็นใหญ่ เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม.
[๒๒๖] คำว่า ท่านพระติสสเมตเตยยะกราบทูลถามพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า มีความว่า ศัพท์ว่า อิติ เป็นบทสนธิเชื่อมบท เป็น ปทปูรณะ ควบอักษร เป็นศัพท์มีพยัญชนะสละสลวย เป็นลำดับบท.
คำว่า อายสฺมา เป็นคำกล่าวด้วยความรัก เป็นคำกล่าวด้วยความ เคารพ เป็นคำกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ เป็นคำกล่าวด้วยความ ยำเกรง.
คำว่า ติสฺส เป็นนาม เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมายรู้ เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เป็นชื่อ เป็นความตั้งขึ้น เป็นความทรงชื่อ เป็นเครื่องกล่าว. ถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เช่นเครื่องกล่าวเฉพาะ แห่งพระเถระนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 663
คำว่า เมตเตยยะ เป็นโคตร เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมายรู้ เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร แห่งพระเถระนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ท่าน พระติสสเมตเตยยะกราบทูลถามผู้มีพระภาคเจ้าว่า.
[๒๒๗] คำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์โปรด ตรัสบอกซึ่งความคับแค้น มีความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอก คือ โปรดบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้แสดง ประกาศซึ่งความคับแค้น คือ ความเข้าไปกระทบ ความเบียดเบียน ความ กระทบกระทั่ง ความระทมทุกข์ ความขัดข้อง.
คำว่า มาริสะ เป็นคำกล่าวด้วยความรัก เป็นคำกล่าวด้วยความ เคารพ เป็นคำกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ เป็นคำกล่าวด้วยความ ยำเกรง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์ โปรดตรัสบอกซึ่งความคับแค้น.
[๒๒๘] คำว่า ได้ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว มีความว่า ได้ ฟัง ได้สดับ ศึกษา เข้าไปทรง เข้าไปกำหนด ซึ่งพระดำรัส คำเป็นทาง เทศนา คำพร่ำสอนขอพรพระองค์ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ได้ฟังคำสอน ของพระองค์แล้ว.
ว่าด้วยวิเวก ๓
[๒๒๙] คำว่า จักศึกษาในวิเวก มีความว่า คำว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก ๓ คือ กายวิเวก, จิตวิเวก, อุปธิวิเวก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 664
กายวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมซ่องเสพเสนาสนะอัน สงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฎ ที่แจ้ง ลอมฟาง และเป็นผู้สงัดกายอยู่ คือ เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งอยู่ในที่หลีกเร้น ผู้เดียว อธิษฐานจงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียวเที่ยวไปอยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติรักษา เป็นไป ให้เป็นไป นี้ชื่อว่า กายวิเวก.
จิตตวิเวกเป็นไฉน? ภิกษุเข้าปฐมฌาน มีจิตสงัดจากนิวรณ์. เข้า ทุติยฌาน มีจิตสงัดจากวิตกและวิจาร. เข้าตติยฌาน มีจิตสงัดจากปีติ. เข้าจตุตถฌาน มีจิตสงัดจากสุขและทุกข์. เข้าอากาสานัญจายตนฌาน มี จิตสงัดจากรูปสัญญา ปฎิฆสัญญา นานัตตสัญญา. เข้าวิญญาณัญจายตนฌาน มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา. เข้าอากิญจัญญายตนฌาน มีจิตสงัดจากวิญญาณัญจายตนสัญญา. เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน มี จิตสงัดจากอากิญจัญญายตนสัญญา. เมื่อเป็นพระโสดาบัน มีจิตสงัดจาก สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และ จากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น. เป็นพระสกทาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ และจากกิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น. เป็นพระอนาคามี มีจิตสงัดจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยอย่างละเอียด และจากกิเลสที่ ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับกามราคสังโยชน์อย่างละเอียดเป็นต้นนั้น. เป็น พระอรหันต์ มีจิตสงัดจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 665
มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย กิเลสที่ตั้งอยู่ในเหล่าเดียวกันกับ รูปราคะเป็นต้นนั้น และจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอก นี้ชื่อว่า จิตตวิเวก.
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่า อุปธิ อมตนิพพาน เรียกว่า อุปธิวิเวก ได้แก่ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอก ความดับ ความ ออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่า อุปธิวิเวก.
ก็กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายหลีกออก ผู้ยินดียิ่งในเนกขัมมะ. จิตตวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้ว อย่างยิ่ง. อุปธิวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้หมดอุปธิ ถึงซึ่งนิพพานอันเป็น วิสังขาร.๑
คำว่า จักศึกษาในวิเวก มีความว่า พระเถระนั้นมีสิกขาอันศึกษา แล้วโดยปกติ อีกอย่างหนึ่ง พระเถระนั้นเมื่อจะทูลขอพระธรรมเทศนา จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า จักศึกษาในวิเวก เพราะเหตุนั้น พระติสสเมตเตยย เถระจึงกราบทูลอย่างนี้ว่า :- (ท่านพระติสสเมตเตยยะกราบทูลถามพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ซึ่งความคับแค้นของบุคคลประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม พวกข้าพระองค์ได้ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว จักศึกษา ในวิเวก.
๑. วิสังขารธรรม - ธรรมอันเป็นปัจจัยอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 666
[๒๓๐] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :- ดูก่อนเมตเตยยะ)
คำสั่งสอนของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุน ธรรมย่อมเลอะเลือน และบุคคลนั้นย่อมปฏิบัติผิด นี้เป็น ธรรมอันไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น.
[๒๓๑] คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม ความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ ธรรมของชาวบ้าน ธรรมของคนเลว ธรรมชั่วหยาบ ธรรมมีน้ำเป็นที่สุด ธรรมอันพึงทำใน ที่ลับ ธรรมคือความถึงพร้อมด้วยธรรมของคนคู่กัน.
เพราะเหตุไรจึงเรียกเมถุนธรรม? เพราะเป็นธรรมของตนทั้งสอง ผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น มีจิตอันราคะ ครอบงำ เป็นเช่นเดียวกันทั้งสองคน เพราะเหตุดังนี้นั้น จึงเรียกว่า เมถุนธรรม.
คน ๒ คนทำความทะเลาะกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนทำความ มุ่งร้ายกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนทำความอื้อฉาวกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนทำความวิวาทกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนก่ออธิกรณ์กัน เรียกว่า คนคู่, คน ๒ คนพูดกัน เรียกว่าคนคู่, คน ๒ คนปราศรัยกัน เรียกว่า คนคู่, ฉันใด ธรรมนั้นเป็น ธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น มีจิตอันราคะครอบงำ เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งสองคน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น จึงเรียกว่า เมถุนธรรม.
คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม ได้แก่ ของบุคคลผู้ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบเอื้อเฟื้อ ประกอบพร้อมใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 667
เมถุนธรรม คือผู้ประพฤติในเมถุนธรรม มักมากในเมถุนธรรม หนักใน เมถุนธรรม น้อมไปในเมถุนธรรม โน้มไปในเมถุนธรรม โอนไปใน เมถุนธรรม น้อมใจไปในเมถุนธรรม มีเมถุนธรรมนั้นเป็นใหญ่ เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพระเถระนั้น โดยโคตรว่า เมตเตยยะ.
คำว่า ภควา เป็นพระนามเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะอรรถว่า ทรงทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำสายกิเลส และเพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรงจำแนกวิเศษ ทรง จำแนกวิเศษเฉพาะ ซึ่งธรรมรัตนะ เพราะอรรถว่า ทรงทำซึ่งที่สุดแห่ง ภพทั้งหลาย เพราะอรรถว่า มีพระกายอันอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะ และป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้ สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันเป็นอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 668
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูปสมาบัติ ๔ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘ อภิภายตนะ ๘ อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปานสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่ง สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค มีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งตถาคตพลญาณ ๑๐ เวสารัชชธรรม ๔ ปฏิสัมภิทา ๘ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา พระ ภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้ เฉลิมให้พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม เป็นสัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โคนแห่งต้นโพธิ์ ของ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมตเตยยะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 669
[๒๓๒] คำว่า คำสั่งสอน ... .ย่อมเลอะเลือน มีความว่า คำสั่ง สอนย่อมเลอะเลือนด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ คำสั่งสอนทางปริยัติย่อม เลอะเลือน ๑ คำสั่งสอนทางปฏิบัติย่อมเลอะเลือน ๑.
คำสั่งสอนทางปริยัติเป็นไฉน? คำสั่งสอนใด คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ อันบุคคลนั้นศึกษาแล้ว นี้ชื่อว่าคำสั่งสอนทางปริยัติ คำสั่งสอนทางปริยัติ แม้นั้น ย่อมเลอะเลือน ฟั่นเฝือ เหินห่าง. คำสั่งสอน ... .ย่อมเลอะ เลือนแม้อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
คำสั่งสอนทางปฏิบัติเป็นไฉน? ความปฏิบัติชอบ ความปฏิบัติ สมควร ความปฏิบัติไม่เป็นข้าศึก ความปฏิบัติเป็นไปตามประโยชน์ความ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ความเป็นผู้กระทำให้สมบูรณ์ในศีล ความ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้จักประมาณ ในโภชนะ ความประกอบเนืองๆ ในความเป็นผู้ตื่น สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ชื่อว่าคำสั่งสอนทางปฏิบัติ คำสั่งสอนทางปฏิบัติ แม้นั้น ย่อมเลอะเลือน ฟั่นเฝือ เหินห่าง คำสั่งสอนย่อมเลอะเลือนแม้ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
[๒๓๓] คำว่า บุคคลนั้นย่อมปฏิบัติผิด มีความว่า บุคคลนั้น ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง. ตัดที่ต่อบ้าง ปล้นโดยไม่เหลือบ้าง ปล้น เฉพาะเรือนหลังเดียวบ้าง ดักปล้นที่หนทางเปลี่ยวบ้าง คบหาภรรยาของ ผู้อื่นบ้าง กล่าวคำเท็จบ้าง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลนั้นย่อม ปฏิบัติผิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 670
[๒๐๔] คำว่า นี้เป็นธรรมอันไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น มี ความว่า ข้อปฏิบัติผิดนี้ เป็นธรรมอันไม่ประเสริฐ เป็นธรรมของตน พาล เป็นธรรมของตนหลง เป็นธรรมของตนไม่รู้. เป็นธรรมของคนมี ถ้อยคำดิ้นได้ไม่ตายตัว ในบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า นี้เป็น ธรรมอันไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค เจ้าจึงตรัสว่า :- (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมตเตยยะ.)
คำสั่งสอนของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุน ธรรมย่อมเลอะเลือน และบุคคลนั้นย่อมปฏิบัติผิด นี้เป็น ธรรมอันไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น.
[๒๓๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลใดเป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ย่อมซ่อง เสพเมถุนธรรม บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่าเป็น ปุถุชนคนเลวในโลก เหมือนยวดยานที่หมุนไป ฉะนั้น.
ว่าด้วยผู้บวชแล้วสึก
[๒๓๖] คำว่า เป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น มีความว่า เป็น ผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยส่วนบรรพชา ๑, ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ ๑.
เป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ด้วยส่วนบรรพชาอย่างไร? บุคคล ตัดกังวลในฆราวาสทั้งหมด ตัดกังวลในบุตรและภรรยา ตัดกังวลในญาติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 671
ตัดกังวลในมิตรและอำมาตย์ ตัดกังวลในความสั่งสม ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เข้าถึงความเป็นผู้ไม่มีกังวล เป็นผู้เดียวเที่ยวไป คือ อยู่ เปลี่ยนกิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็นไป ให้เป็นไป ยังอัตภาพให้เป็นไป ชื่อว่า เป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้อง ต้น ด้วยส่วนบรรพชาอย่างนี้.
เป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่อย่าง ไร? บุคคลนั้นบวชแล้วอย่างนั้น เป็นผู้เดียว ซ่องเสพเสนาสนะ อันเป็น ป่าละเมาะและป่าทึบ อันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้องปราศจาก ชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น ภิกษุนั้น เดินผู้เดียว ยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อ บิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งในที่หลีกเร้นผู้เดียว อธิษฐานจงกรม ผู้เดียว เป็นผู้เดียวเที่ยวไป อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็น ไป ให้เป็นไป ชื่อว่า เป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ด้วยการละ ความคลุกคลีด้วยหมู่ อย่างนี้.
[๒๓๗] คำว่า บุคคลใด ย่อมซ่องเสพเมถุนธรรม มีความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ ฯลฯ เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า เมถุนธรรม คำว่า บุคคลใด ... .ย่อมซ่องเสพเมถุนธรรม ความว่า สมัยต่อมา บุคคลนั้นบอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา เวียนมาเป็นคฤหัสถ์ ย่อมเสพ ซ่องเสพ หมกมุ่น เสพเฉพาะซึ่งเมถุนธรรม เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลใด ... .ย่อมซ่องเสพเมถุนธรรม.
[๒๓๘] คำว่า บุคคลนั้น ... .ในโลก เหมือนยวดยานที่หมุน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 672
ไปฉะนั้น มีความว่า คำว่า ยาน ได้แก่ ยานช้าง ยานม้า ยานโค ยานแกะ ยานแพะ ยานอูฐ ยานลา ที่หมุนไป คือที่เขามิได้ฝึกหัด มิได้ฝึกฝน มิได้อบรม ย่อมแล่นไปผิดทาง คือ ย่อมขึ้นบนตอไม้บ้าง กองหินบ้าง ที่ไม่เรียบ ทำลายยานบ้าง ผู้ขับขี่บ้าง ตกไปในเหวบ้าง ยานนั้นที่หมุน ไปคือที่เขามิได้ฝึกหัด มิได้ฝึกฝน มิได้อบรม ย่อมแล่นไปผิดทาง ฉันใด บุคคลนั้นหมุนผิดไป เปรียบเหมือนยานที่หมุนไป ย่อมถึงทางผิด คือถือ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ ถือมิจฉาสมาธิ ก็ฉันนั้น ยานนั้นที่หมุนไป คือที่เขามิ ได้ฝึกหัด มิได้ฝึกฝน มิได้อบรม ย่อมขึ้นบนตอไม้บ้าง กองหินบ้างที่ ไม่เรียบร้อย ฉันใด บุคคลนั้นหมุนไปผิด เปรียบเหมือนยานที่หมุนไป ย่อมขึ้นสู่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สัมฝัปปลาป อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ สังขาร กามคุณ ๕ นิวรณ์ อันไม่เสมอ ฉันนั้น เหมือนกัน ยานนั้นที่หมุนไป คือที่เขามิได้ฝึกหัด มิได้ฝึกฝน มิได้อบรม ย่อมทำลายแม้ผู้ขับขี่ ฉันใด บุคคลนั้นหมุนไปผิด เปรียบเหมือนยาน ที่หมุนไป ย่อมทำลายตนในนรก ทำลายตนในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ทำลาย ตนในวิสัยแห่งเปรต ทำลายตนในมนุษย์โลก ทำลายตนในเทวโลก ฉัน นั้น ยานนั้นที่หมุนไป คือที่เขามิได้ฝึกฝน มิได้ฝึกหัด มิได้อบรม ย่อม ตกเหวบ้าง ฉันใด บุคคลนั้นหมุนไปผิด เปรียบเหมือนยานที่หมุนไป ย่อมตกไปสู่เหวคือชาติบ้าง ตกไปสู่เหวคือชราบ้าง ตกไปสู่เหวคือพยาธิบ้าง ตกไปสู่เหวคือมรณะบ้าง ตกไปสู่เหวคือโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสบ้าง ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 673
คำว่า ในโลก ได้แก่ ในอบายโลก ฯลฯ มนุษยโลก เพราะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้น ... ... ในโลกเหมือนยวดยานที่หมุนไป ฉะนั้น.
[๒๓๙] คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าเป็นปุถุชนคนเลว มี ความว่า คำว่า ปุถุชน ความว่า ชื่อปุถุชน เพราะอรรถว่าอะไร? ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ยังกิเลสอันหนาแน่นให้เกิด เพราะอรรถ ว่า มีสักกายทิฏฐิที่ยังไม่ได้กำจัดหนาแน่น เพราะอรรถว่า ปฏิญาณต่อ ศาสดามาก เพราะอรรถว่า อันคติทั้งปวงร้อยไว้มาก เพราะอรรถว่า ผู้อันอภิสังขารต่างๆ ปรุงแต่งไว้มาก เพราะอรรถว่า ผู้ลอยไปตามโอฆ- กิเลสต่างๆ มาก เพราะอรรถว่า ผู้เดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนต่างๆ มาก เพราะอรรถว่า ผู้เร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนต่างๆ มาก เพราะอรรถ ว่า ผู้กำหนัด ปรารถนา ยินดี ติดใจ ลุ่มหลง ข้องเกี่ยว เกี่ยวพัน พัวพัน ในกามคุณ ๕ มาก และเพราะอรรถว่า อันนิวรณ์ ๕ ร้อยรัด ปกคลุม หุ้มห่อ ปิดบัง ปกปิด ครอบงำไว้มาก.
คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าเป็นปุถุชนคนเลว มีความว่า ได้กล่าว บอก พูด แสดง แถลงอย่างนี้ว่าเป็นปุถุชนคนเลว ทราม ต่ำช้า ลามก สกปรก ต่ำต้อย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวว่าเป็นปุถุชนคนเลว เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
บุคคลใดเป็นผู้เดียวเที่ยวไปในเบื้องต้น ย่อมซ่อง เสพเมถุนธรรม บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่าเป็น ปุถุชนคนเลวในโลก เหมือนยวดยานที่หมุนไป ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 674
[๒๔๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ยศและเกียรติในกาลก่อนของภิกษุนั้นย่อมเสื่อมไป ภิกษุเห็นความเสื่อมแม้นั้นแล้ว พึงศึกษาเพื่อละเมถุน ธรรมเสีย.
ว่าด้วยยศและเกียรติ
[๒๔๑] คำว่า ยศและเกียรติในกาลก่อนของภิกษุนั้นย่อม เสื่อมไป. มีความว่า ยศเป็นไฉน? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ อันชนทั้งหลายสักการะเคารพ นับถือ บูชา นอบน้อมแล้วเป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ในกาลก่อน คือใน คราวเป็นสมณะ นี้เรียกว่า ยศ
เกียรติเป็นไฉน? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นผู้อันชนทั้งหลาย สรรเสริญเกียรติคุณว่า เป็นบัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูตร มีถ้อย คำไพเราะ มีปฏิภาณดี ทรงจำพระสูตรบ้าง ทรงจำพระวินัยบ้าง เป็น พระธรรมกถึกบ้าง เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการเที่ยว บิณฑบาตเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือ การทรงไตรจีวรเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก เป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการห้ามภัตในภายหลังเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการ อยู่ในเสนาสนะตามที่เขาจัดให้เป็นวัตรบ้าง เป็นผู้พูดปฐมฌานบ้าง เป็นผู้ ได้ทุติยฌานบ้าง เป็นผู้ได้ตติยฌานบ้าง เป็นผู้ได้จตุตถฌานบ้าง เป็นผู้ ได้อากาสานัญจายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติบ้าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 675
เป็นผู้ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตน สมาบัติบ้าง ในกาลก่อน คือในคราวเป็นสมณะ นี้เรียกว่า เกียรติ.
คำว่า ยศและเกียรติในกาลก่อนของภิกษุนั้นย่อมเสื่อมไป มีความว่า สมัยต่อมา เมื่อภิกษุนั้นบอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา เวียนมาเป็นคฤหัสถ์ ยศนั้นและเกีตรตินั้นย่อมเสื่อมไปคือ เสื่อมรอบ สิ้นไป หมดไป สิ้นไป สลายไป เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ยศและเกียรติ ในกาลก่อนของภิกษุนั้นย่อมเสื่อมไป.
ว่าด้วยสิกขา ๓ อย่าง
[๒๔๒] คำว่า ภิกษุเห็นความเสื่อมแม้นั้นแล้วพึงศึกษาเพื่อ ละเมถุนธรรมเสีย มีความว่า คำว่า นั้น คือ ภิกษุเห็น พบ เทียบเตียงพิจารณาทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้ง ซึ่งสมบัติและวิบัตินั้น คือ ยศและเกียรติในกาลก่อน คือในคราวเป็นสมณะ กลายเป็นความเสื่อมยศ และเสื่อมเกียรติของภิกษุผู้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา แล้วเวียนมาเป็นคฤหัสถ์ในภายหลัง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เห็นความ เสื่อมแม้นั้นแล้ว.
คำว่า พึงศึกษา ได้แก่ สิกขา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑.
อธิศีลสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วย ความสำรวมในปาติโมกข์ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจระ เห็นภัยในโทษ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 676
ทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ศีลขันธ์ น้อย ศีลขันธ์ใหญ่ ศีลเป็นที่ตั้ง เป็นเบื้องต้น เป็นเครื่องประพฤติ เป็น ความสำรวม เป็นความระวัง เป็นปาก เป็นประธาน แห่งความถึงพร้อม แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย นี้เรียกว่า อธิศีลสิกขา.
อธิจิตตสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก อยู่ เพราะวิตกวิจารสงบไป บรรลุทุติยฌานอันมีความผ่องใสแห่งจิตใน ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิด แต่สมาธิอยู่ เพราะปีติสิ้นไป จึงมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย นามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็น ผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัส ก่อนๆ ได้ บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติ บริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า อธิจิตตสิกขา.
อธิปัญญาสิกขาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีปัญญาประ กอบด้วยปัญญาอันให้ถึงความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ นี้เรียกว่า อธิปัญญาสิกขา.
คำว่า เมถุนธรรม มีความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ได้แก่ ธรรม ของอสัตบุรุษ ฯลฯ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เมถุนธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 677
คำว่า ภิกษุเห็นความเสื่อมแม้นั้นแล้ว พึงศึกษาเพื่อละ เมถุนธรรมเสีย มีความว่า ภิกษุพึงศึกษาแม้อธิศีล พึงศึกษาแม้อธิจิต พึงศึกษาแม้อธิปัญญา เพื่อละ เพื่อสงบ เพื่อสละคืน เพื่อระงับเมถุนธรรม คือภิกษุเมื่อนึก เมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อ น้อมจิตไปด้วยศรัทธา เมื่อประคองความเพียร เมื่อเข้าไปตั้งสติ เมื่อตั้งจิต ให้มั่น เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่พึงรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ พึงกำหนดรู้ เมื่อละธรรมที่พึงละ เมื่อเจริญธรรมที่พึงเจริญ เมื่อทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่พึงทำให้แจ้ง พึงศึกษา พึงประพฤติเอื้อเฟื้อ ประพฤติด้วยดี สมาทานประพฤติซึ่งสิกขา ๓ เหล่านี้ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภิกษุเห็น ความเสื่อมแม้นั้นแล้ว พึงศึกษาเพื่อละเมถุนธรรมเสีย เพราะ เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ยศและเกียรติในกาลก่อนของภิกษุนั้นย่อมเสื่อมไป ภิกษุเห็นความเสื่อมแม้นั้นแล้ว พึงศึกษาเพื่อละเมถุนธรรม เสีย.
[๒๔๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ภิกษุนั้นถึงพร้อมด้วยความดำริ ย่อมซบเซา เหมือน คนกำพร้า ได้ยินเสียงติเตียนของชนเหล่าอื่นแล้ว ย่อม เป็นผู้เก้อเขินเป็นผู้เช่นนั้น.
ว่าด้วยข้อเสียของภิกษุ
[๒๔๔] คำว่า ภิกษุนั้นถึงพร้อมด้วยความดำริ ย่อมซบเซา เหมือนคนกำพร้า มีความว่าภิกษุนั้น อันความดำริในกาม ดำริใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 678
พยาบาท ดำริในควานเบียดเบียน ดำริด้วยทิฏฐิ ถูกต้อง ครอบงำ กลุ้มรุม ประกอบ ย่อมซบเซา. ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงา เหมือนคนกำพร้า คนโง่ คนหลงใหล นกเค้าคอยดักจับหนูอยู่ที่กิ่งไม้ ย่อมซบเซา ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงา ฉันใด สุนัขจิ้งจอก ดักจับปลาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ ย่อมซบเซา ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงา ฉันใด แมวคอยดักจับหนู. อยู่ในที่ต่อ ที่ท่อน้ำ ที่ฝั่งน้ำมีเปือกตม ย่อมซบเซา ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงา ฉันใด ลามีแผลที่หลัง ย่อมซบเซา ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงาอยู่ในที่โขดหิน ที่ท่าน้ำ และฝั่งมีเปือกตม ฉันใด ภิกษุนั้น ผู้หมุนไปผิด อันความดำริในกาม ดำริในพยาบาท ดำริในความเบียดเบียน ดำริด้วยทิฏฐิ ถูกต้อง ครอบงำ กลุ้มรุม ประกอบ ย่อมซบเซา ซึมเซา เซื่อมซึม หงอยเหงา ฉันนั้น เหมือนคนกำพร้า คนโง่ คนหลงใหล เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภิกษุนั้นถึงพร้อมด้วยความดำริ ย่อมซบเซา เหมือนคนกำพร้า.
[๒๔๕] คำว่า ได้ยินเสียงติเตียนของชนเหล่าอื่นแล้ว ย่อม เป็นผู้เก้อเขิน เป็นผู้เช่นนั้น มีความว่า คำว่า ชนเหล่าอื่น คือ อุปัชฌาย์บ้าง อาจารย์บ้าง ชนชั้นอุปัชฌาย์บ้าง ชนชั้นอาจารย์บ้าง มิตร บ้าง คนที่เคยเห็นกันบ้าง คนที่เคยคบกันบ้าง สหายบ้าง ย่อมตักเตือนว่า ดูก่อนอาวุโส ไม่ใช่ลาภของท่านแล ท่านเอาดีไม่ได้แล้ว คือข้อที่ท่าน ได้พระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่เห็นปานนี้ บวชในธรรมวินัยที่พระศาสดาตรัสดี แล้วอย่างนี้ ได้คณะพระอริยะเห็นปานนี้แล้ว บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิกขา แล้วเวียนมาเพื่อความเป็นคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งเมถุน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 679
ธรรมอันเลว ท่านชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรมทั้งหลายบ้าง เป็น ผู้ไม่มีหิริในกุศลธรรมทั้งหลายบ้าง เป็นผู้ไม่มีโอตตปปะในกุศลธรรม ทั้งหลายบ้าง เป็นผู้ไม่มีสติในกุศลธรรมทั้งหลายบ้าง เป็นผู้ไม่มีปัญญา ในกุศลธรรมทั้งหลายบ้าง ดังนี้ ภิกษุนั้นได้ยิน ได้ฟัง กำหนด พิจารณา ตรวจตราแล้ว ซึ่งถ้อยคำ คำเป็นคลอง คำแสดง คำสั่งสอน ของ อุปัชฌาย์เป็นต้นเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน คือ ขวยเขิน อึดอัด กระดากอาย เสียใจ.
คำว่า ผู้เป็นเช่นนั้น ได้แก่ ภิกษุผู้หมุนไปผิดนั้น ย่อมเป็นผู้ เช่นนั้น คือ เป็นผู้เหมือนกันเช่นนั้น เป็นผู้ดำรงอยู่อย่างนั้น เป็นผู้มี ประการอย่างนั้น เป็นผู้มีส่วนเปรียบอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ได้ ยินเสียงติเตียนของชนเหล่าอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน เป็นผู้ เช่นนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ภิกษุนั้น ถึงพร้อมด้วยความดำริ ย่อมซบเซา เหมือนคนกำพร้า ได้ยินเสียงติเตียนของชนเหล่าอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เก้อเขิน เป็นผู้เช่นนั้น.
[๒๔๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นถูกวาทะของชนเหล่าอื่นตัก เตือน ย่อมกระทำศัสตรา การกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่นั้นเป็น เครื่องผูกพันภิกษุนั้น ภิกษุนั้นย่อมหยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูด เท็จ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 680
[๒๔๗] คำว่า ลำดับนั้น ภิกษุนั้นถูกวาทะของชนเหล่าอื่น ตักเตือน ย่อมกระทำศัสตรา มีความว่า ศัพท์ว่า อถ เป็นบทสนธิ เชื่อมบท เป็นปทปูรณะควบอักษร เป็นศัพท์มีพยัญชนะสละสลวย เป็น ลำดับบท.
คำว่า ศัสตรา ได้แก่ ศัสตรา ๓ อย่าง คือ ศัสตราทางกาย ๑ ศัสตราทางวาจา ๑ ศัสตราทางใจ ๑. กายทุจริต ๓ อย่าง เป็นศัสตรา ทางกาย วจีทุจริต ๔ อย่าง เป็นศัสตราทางวาจา มโนทุจริต ๓ อย่าง เป็นศัสตราทางใจ.
คำว่า ถูกวาทะของชนเหล่าอื่นตักเตือน ความว่า ภิกษุนั้น อันอุปัชฌาย์บ้าง อาจารย์บ้าง ชนชั้นอุปัชฌาย์บ้าง ชนชั้นอาจารย์บ้าง มิตรบ้าง คนที่เคยเห็นกันบ้าง คนที่เคยคบกันบ้าง สหายบ้าง ตักเตือน แล้ว ย่อมกล่าวเท็จทั้งรู้ คือย่อมกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ายินดี ยิ่งในบรรพชา แต่ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงมารดา ฉะนั้นจึงต้องลาสิกขา ข้าพเจ้า ต้องเลี้ยงบิดาต้องเลี้ยงพี่ชายน้องชาย ต้องเลี้ยงพี่สาวน้องสาวต้องเลี้ยงบุตร ต้องเลี้ยงธิดา ต้องเลี้ยงมิตรต้องเลี้ยงอำมาตย์ต้องเลี้ยงญาติ ต้องเลี้ยงคน ที่สืบเชื้อสาย ฉะนั้นจึงต้องลาสิกขา ดังนี้ชื่อว่าย่อมทำศัสตราทางวาจา คือ ย่อมให้ศัสตราทางวาจาเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้นพร้อม ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ลำดับนั้น ภิกษุนั้น ถูกวาทะของชนเหล่าอื่น ตักเตือน ย่อมกระทำศัสตรา.
[๒๔๘] คำว่า การกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่นั้น เป็นเครื่องผูกพัน ภิกษุนั้น มีความว่า การกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่นั้น เป็นเครื่องผูกพัน คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 681
เป็นป่าใหญ่ เป็นป่าชัฎใหญ่ เป็นทางกันดารให้ เป็นทางไม่เสมอมาก. เป็นทางคดมาก เป็นหล่มมาก เป็นเปือกตมมาก เป็นเครื่องกังวลมาก เป็น เครื่องผูกรัดมาก ของภิกษุนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า การกล่าวเท็จทั้ง รู้อยู่นั้นเป็นเครื่องผูกพันภิกษุนั้น.
[๒๔๙] คำว่า ภิกษุนั้นหยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูดเท็จ มีความ ว่า มุสาวาท เรียกว่า ความเป็นผู้พูดเท็จ บุคคลบางตนในโลกนี้ อยู่ใน สภาก็ดี อยู่ในที่ประชุมก็ดี อยู่ท่ามกลางญาติก็ดี อยู่ท่ามกลางสมาคมก็ดี อยู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี ถูกเขานำไปถามเป็นพยานว่า มาเถิดบุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใด ก็จงบอกสิ่งนั้น บุคคลนั้น เมื่อไม่รู้ก็บอกว่ารู้บ้าง เมื่อรู้ก็ บอกว่าไม่รู้บ้าง เมื่อไม่เห็นก็บอกว่าเห็นบ้าง เมื่อเห็นก็บอกว่าไม่เห็น บ้าง ย่อมกล่าวเท็จทั้งเพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง เพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อยบ้าง ด้วยประการดังนี้ นี้เรียกว่าความเป็นผู้พูด เท็จ อีกอย่างหนึ่ง มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๓ อย่าง คือในเบื้องต้น บุคคลนั้นมีความรู้ว่า เราจักพูดเท็จ เมื่อพูดอยู่ก็รู้ว่าเรากำลังพูดเท็จ เมื่อ พูดแล้วก็รู้ว่าเราพูดเท็จแล้ว มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๓ อย่างเหล่านี้ อีก อย่างหนึ่ง มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๔ อย่าง ย่อมมีด้วยอาการ ๕ อย่าง ย่อมมีด้วยอาการ ๖ อย่าง ย่อมมีด้วยอาการ ๗ อย่าง ย่อมมีด้วยอาการ ๘ อย่าง คือในเบื้องต้นบุคคลนั้นมีความรู้ว่า เราจักพูดเท็จ เมื่อพูดอยู่ก็รู้ว่าเรา กำลังพูดเท็จ เมื่อพูดแล้วก็รู้ว่าเราพูดเท็จแล้ว ปิดบังซึ่งทิฏฐิ ความควร ความชอบใจ ความสำคัญ ความจริง มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๘ อย่าง เหล่านี้. คำว่า ย่อมหยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูดเท็จ ความว่า ย่อมหยั่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 682
ลง ก้าวลงยึดถือเข้าไปสู่ความเป็นผู้พูดเท็จ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ย่อม หยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูดเท็จ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ว่า :-
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นถูกวาทะของชนเหล่าอื่นตัก เตือน ย่อมกระทำศัสตรา การกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่นั้น เป็น เครื่องผูกพันภิกษุนั้น ภิกษุนั้นย่อมหยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูด เท็จ.
[๒๕๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ภิกษุเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นบัณฑิต อธิษฐานความ ประพฤติผู้เดียว แม้ภายหลังประกอบเมถุนธรรม จักเศร้า หมอง เหมือนคนโง่ฉะนั้น.
ว่าด้วยต้นตรงปลายคด
[๒๕๑] คำว่า ภิกษุเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นบัณฑิต มีความว่า ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้อันชนทั้งหลายสรรเสริญเกียรติคุณว่า เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูตร มีถ้อยคำไพเราะ มี ปฏิภาณดี ทรงจำพระสูตรบ้าง ทรงจำพระวินัยบ้าง เป็นพระธรรมกถึก บ้าง ฯลฯ เป็นผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติบ้าง ในกาลก่อน คือ ในคราวเป็นสมณะ เป็นผู้อันประชุมชนรู้ หมายรู้ เลื่องลือกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภิกษุเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นบัณฑิต.
[๒๕๒] คำว่า อธิษฐานความประพฤติผู้เดียว มีความว่า อธิษฐานความประพฤติผู้เดียวด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยส่วนบรรพชา ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 683
ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ ๑ อธิษฐานความประพฤติผู้เดียวด้วยส่วน บรรพชาอย่างไร? ภิกษุตัดกังวลในฆราวาสทั้งหมด ฯลฯ อธิษฐานความ ประพฤติผู้เดียวด้วยส่วนบรรพชาอย่างนี้ อธิษฐานความประพฤติผู้เดียว ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ อย่างไร? ภิกษุนั้นบวชแล้วอย่างนั้น เป็นผู้เดียวซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะและป่าทึบ อันสงัด ฯลฯ อธิษฐานความประพฤติผู้เดียว ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อธิษฐานความประพฤติผู้เดียว.
[๒๕๓] คำว่า แม้ภายหลังประกอบในเมถุนธรรม มีความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ ฯลฯ เพราะเหตุนั้นจึงเรียก ว่า เมถุนธรรม. คำว่า แม้ภายหลังประกอบในเมถุนธรรม ความ ว่าสมัยต่อมา ภิกษุนั้นบอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิกขา แล้วเวียนมาเป็นคฤหัสถ์ ประกอบ ประกอบทั่ว ประกอบด้วยความเอื้อเฟื้อ ประกอบด้วยดี ในเมถุนธรรม เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า แม้ภายหลัง ประกอบเมถุนธรรม.
ว่าด้วยการลงโทษ
[๒๕๔] คำว่า จักเศร้าหมอง เหมือนคนโง่ฉะนั้น มีความว่า บุคคลนั้นจักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมอง เหมือนคนกำพร้า เหมือน คนหลงใหล ฉะนั้น. คือ ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ตัดที่ต่อบ้าง ปล้นโดยไม่เหลือบ้าง ปล้นเรือนหลังเดียวบ้าง ดักปล้นที่หนทางเปลี่ยวบ้าง คบหาภรรยาของผู้อื่นบ้าง กล่าวเท็จบ้าง จักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมอง แม้อย่างนี้ พระราชารับสั่งให้จับกุมบุคคลนั้นแล้ว ให้ทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 684
กรรมกรณ์ต่างๆ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแส้บ้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ตีด้วย ไม้พลองบ้าง ให้ตัดมือบ้าง ให้ตัดเท้าบ้าง ให้ตัดมือและเท้าบ้าง ให้ตัด ใบหูบ้าง ให้ตัดจมูกบ้าง ให้ตัดใบหูและจมูกบ้าง วางก้อนเหล็กแดงบน ศีรษะบ้าง ถลกหนังศีรษะออกแล้วขัดให้ขาวเหมือนสังข์บ้าง ใส่ไฟลุก โพลงเข้าไปในปากจนโลหิตไหลออกเต็มปากเหมือนปากราหูบ้าง พันตัว ด้วยผ้าชุบน้ำมันแล้วเผาทั้งเป็นบ้าง พ้นมือด้วยผ้าจุดไฟให้ลุกเหมือนประทีป บ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอลงมาถึงข้อเท้า ลุกเดินเหยียบหนังนั้นจนล้มลงบ้าง ถลกหนังตั้งแต่คอลงมาถึงบันเอว ทำให้เป็นดังนุ่งผ้าคากรองบ้าง สวม ปลอกเหล็กที่ข้อศอกและเข่าทั้งหมดแล้วเสียบหลาวเหล็ก ๕ ทิศ ตั้งไว้เผา ไฟบ้าง เอาเบ็ดเกี่ยวหนังเนื้อเอ็นออกมาบ้าง เอามีดเฉือนเนื้อออกเป็น แว่นๆ ดังเหรียญกษาปณ์บ้าง เฉือนหนังเนื้อเอ็นออกเหลือแต่กระดูกบ้าง เอาหลาวเหล็กแทงที่ช่องหูจนทะลุถึงกัน เสียบติดดินแล้วจับขาหมุนไปโดย รอบบ้าง ทุบให้กระดูกละเอียดแล้วถลกหนังออกเหลือแต่กองเนื้อดังตั่งใบ ไม้บ้าง เอาน้ำมันเดือดพล่านรดตัวบ้าง ให้สุนัขกัดกินจนเหลือแต่กระดูก บ้าง เสียบหลาวยกขึ้นนอนหงายทั้งเป็นบ้าง เอาดาบตัดศีรษะบ้าง บุคคล นั้นจักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมองแม้อย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง บุคคล นั้นถูกกามตัณหาครอบงำแล้ว มีจิตอันกามตัณหาตรึงไว้แล้ว เมื่อแสวงหา โภคทรัพย์ ย่อมแล่นไปสู่มหาสมุทรด้วยเรือ ฝ่าหนาว ฝ่าร้อน ถูกสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานเบียดเบียน ถูกความหิว กระหายเบียดเบียนอยู่ ไปคุมพรัฐ ไปตักโกลรัฐ ไปตักกสิลรัฐ ไปกาลมุขรัฐ ไปมรณปารรัฐ ไปเวสุงครัฐ ไปเวราปถรัฐ ไปชวรัฐ ไปกมลิรัฐ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 685
ไปวังกรัฐ ไปเอฬวัททนรัฐ ไปสุวัณณกูฏรัฐ ไปสุวัณณภูมิรัฐ ไปตัมพปัณณิรัฐ ไปสุปปารรัฐ ไปภรุกรัฐ ไปสุรัทธรัฐ ไปอังคเณกรัฐ ไป คังคณรัฐ ไปปรมคังคณรัฐ ไปโยนรัฐ ไปปีนรัฐ ไปอัลลสันทรัฐ ไป มรุกันดารรัฐ เดินทางที่ต้องไปด้วยเข่า เดินทางที่ต้องไปด้วยแกะ เดินทาง ที่ต้องไปด้วยแพะ เดินทางที่ต้องโหนไปด้วยเชือกและหลัก เดินทางที่ ต้องโดดลงด้วยร่มหนังแล้วจึงเดินไปได้ เดินทางที่ต้องไปด้วยพะองไม้ไผ่ เดินทางตามทางนก เดินทางตามทางหนู เดินทางตามทางซอกภูเขา เดิน ทางตามลำธารที่ท้องไต่ไปตามเส้นหวาย จักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมองแม้อย่างนี้ เมื่อแสวงหาไม่ได้ ย่อมเสวยทุกข์และโทมนัสแม้มี ความไม่ได้เป็นมูล จักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมองแม้อย่างนี้ เมื่อ แสวงหาได้ ครั้นได้แล้วก็เสวยทุกข์และโทมนัสแม้มีความรักษาเป็นมูล ด้วยวิตกอยู่ว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ พระราชาจึงจะไม่ริบโภคทรัพย์ของเรา พวกโจรจะไม่ลักไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดไป พวกทายาทอัปรีย์จะ ไม่ขนเอาไป เมื่อรักษาปกครองอย่างนี้ โภคทรัพย์ย่อมสลายไป บุคคล นั้นก็เสวยทุกข์และโทมนัส แม้มีความสลายไปแห่งทรัพย์เป็นมูล จักลำบาก จักเศร้าหมอง มัวหมองแม้อย่างนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าจักเศร้าหมอง เหมือนคนโง่ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ภิกษุเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นบัณฑิต อธิษฐานความ ประพฤติผู้เดียว แม้ภายหลังประกอบเมถุนธรรม จักเศร้า หมองเหมือนคนโง่ ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 686
[๒๕๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
มุนีทราบโทษนั้น ในความเป็นฆราวาสอื่นแต่ความ เป็นสมณะก่อนในธรรมวินัยนี้ พึงทำความประพฤติผู้เดียว ให้มั่น ไม่พึงเสพเมถุนธรรม.
ว่าด้วยปฏิปทาของมุนี
[๒๕๖] คำว่า มุนีทราบโทษนั้น ในความเป็นฆราวาสอื่น แต่ความเป็นสมณะก่อน ในธรรมวินัยนี้ มีความว่า คำว่า นั้น ได้แก่ มุนี ทราบ รู้ เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้ง ซึ่ง สมบัติและวิบัตินั้น คือ ยศและเกียรติในกาลก่อน คือ ในคราวเป็น สมณะ ย่อมกลายเป็นความเสื่อมยศและเสื่อมเกียรติ ของภิกษุผู้บอกคืน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิกขาแล้วเวียนมาเป็นคฤหัสถ์ใน ภายหลัง.
คำว่า มุนี ความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ได้แก่ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเพียงดังข่าย ดำรง อยู่ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า มุนี.
คำว่า ในธรรมวินัยนี้ ได้แก่ ในทิฏฐิ ในความควร ในความ ชอบใจ ในเขตแดน ในธรรม ในวินัย ในธรรมวินัย ในปาพจน์ ใน พรหมจรรย์ ในสัตถุศาสน์ ในอัตภาพ ในมนุษยโลกนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มุนีทราบโทษนั้น ในความเป็นฆราวาสอื่นแต่ความเป็น สมณะก่อน ในธรรมวินัยนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 687
[๒๕๗] คำว่า พึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง มีความ ว่าพึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยส่วน บรรพชา ๑, ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ ๑.
พึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง ด้วยส่วนบรรพชาอย่างไร? มุนีตัดกังวลในฆราวาสทั้งหมด ตัดกังวลในบุตรและภรรยา ตัดกังวลใน ญาติ ตัดกังวลในมิตรและอมาตย์ ตัดกังวลในความสั่งสมแล้ว ปลงผม และหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว เข้าถึง ความเป็นผู้ไม่มีกังวล พึงเป็นผู้เดียวประพฤติ คือ อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็นไป ยิ่งอัตภาพให้เป็นไป มุนีพึงทำความประพฤติ ผู้เดียวให้มั่นคง ด้วยส่วนบรรพชาอย่างนี้.
พึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ อย่างไร? มุนีนั้นบวชแล้วอย่างนั้น พึงเป็นผู้เดียวซ่องเสพเสนาสนะอัน เป็นป่าละเมาะและป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่ การหลีกเร้น มุนีนั้นพึงเดินผู้เดียว พึงยืนผู้เดียว นั่งผู้เดียว นอนผู้เดียว เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาตผู้เดียว กลับผู้เดียว นั่งในที่ลับผู้เดียว อธิษฐาน จงกรมผู้เดียว เป็นผู้เดียวประพฤติ คือ อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็นไป มุนีพึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง ด้วยการละความ คลุกคลีด้วยหมู่อย่างนี้ มุนีพึงทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคงถาวร มี การสมาทานมั่นคง มีการสมาทานตั้งลงในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า พึงกระทำความประพฤติผู้เดียวให้มั่นคง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 688
[๒๕๘] คำว่า ไม่พึงเสพเมถุนธรรม มีความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ ฯลฯ เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่าเมถุนธรรม มุนีไม่พึงเสพ ไม่พึงซ่องเสพ ไม่พึงร่วม ไม่พึงเสพเฉพาะ ซึ่งเมฤุนธรรม เพาะฉะนั้นจึงชื่อว่า ไม่พึงเสพเมถุนธรรม เพราะเหตุนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
มุนีทราบโทษนั้น ในความเป็นฆราวาสอื่นแต่ความ เป็นสมณะก่อน ในธรรมวินัยนี้ พึงทำความประพฤติ ผู้เดียวให้มั่น ไม่พึงเสพเมถุนธรรม.
[๒๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลพึงศึกษาวิเวกนั่นเทียว เพราะความประพฤติ วิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของพระอริยะทั้งหลาย บุคคล ไม่พึงสำคัญว่า เราเป็นผู้ประเสริฐด้วยความประพฤติวิเวก นั้น บุคคลนั้นแลย่อมเข้าไปใกล้พระนิพพาน.
[๒๖๐] คำว่า บุคคลพึงศึกษาวิเวกนั้นเทียว มีความว่า คำว่า วิเวก ได้แก่ วิเวก ๓ อย่างคือ กายวิเวก ๑ จิตตวิเวก ๑ อุปธิวิเวก ๑ กายวิเวกเป็นไฉน? ฯลฯ นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก ก็กายวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้ มีกายหลีกออกแล้ว ยินดียิ่งในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิต บริสุทธิ์ถึงซึ่งความเป็นผู้มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง อุปธิวิเวกย่อมมีแก่บุคคล ผู้หมดอุปธิ ถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นวิสังขาร.
คำว่า ศึกษา ได้แก่ สิกขา ๓ อย่าง คืออธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าอธิปัญญาสิกขา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 689
คำว่า บุคคลพึงศึกษาวิเวกนั่นเทียว ความว่าพึงศึกษา พึง ประพฤติเอื้อเฟื้อ พึงประพฤติด้วยดี พึงสมาทานประพฤติวิเวกนั่นเทียว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลพึงศึกษาวิเวกนั่นเทียว.
[๒๖๑] คำว่า ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุด ของพระอริยะทั้งหลาย มีความว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า เรียกว่า พระอริยะ ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจ อันเลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นใหญ่ สูงสุด บวร ของพระอริยะทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ความประพฤติวิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของ พระอริยะทั้งหลาย.
[๒๖๒] คำว่า บุคคลไม่พึงสำคัญว่า เราเป็นผู้ประเสริฐด้วย ความประพฤติวิเวกนั้น มีความว่าบุคคลไม่พึงทำความกำเริบขึ้น ไม่พึง ทำความยกตน ไม่พึงทำความถือตัว ไม่พึงทำความกระด้างด้วยความ ประพฤติวิเวกนั้น คือ ไม่พึงยังความถือตัวให้เกิด ไม่พึงทำความผูกพัน ด้วยความประพฤติวิเวกนั้น ไม่พึงเป็นผู้กระด้าง เย่อหยิ่ง หัวสูง ด้วย ความประพฤติวิเวกนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลไม่พึงสำคัญว่า เรา เป็นผู้ประเสริฐด้วยความประพฤติวิเวกนั้น.
[๒๖๓] คำว่า บุคคลนั้นแลย่อมเข้าไปใกล้พระนิพพาน มี ความว่า บุคคลนั้นย่อมเข้าไปในที่ใกล้ ในที่ใกล้รอบ ในที่ใกล้เคียง ไม่ ห่างไกล ใกล้ชิดต่อพระนิพพาน เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลนั้นแล ย่อมเข้าไปใกล้พระนิพพาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 690
บุคคลพึงศึกษาวิเวกนั่นเทียว เพราะความประพฤติ วิเวกนั้น เป็นกิจอันสูงสุดของพระอริยะทั้งหลาย บุคคล ไม่พึงสำคัญว่า เราเป็นผู้ประเสริฐด้วยความประพฤติวิเวก นั้น บุคคลนั้นแลย่อมเข้าไปใกล้พระนิพพาน.
[๒๖๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
หมู่สัตว์ผู้ยินดีในถามทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อมุนี ผู้ประพฤติว่าง ไม่มีอาลัยในกามทั้งหลาย ผู้ข้ามโอฆะ ได้แล้ว.
[๒๖๕] คำว่า ต่อมุนีผู้ประพฤติว่าง มีความว่า คำว่า ว่าง คือ ผู้ว่าง ผู้เปล่า ผู้สงัด จากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โนหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความ แข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่นท่าน ความเมา ความประมาท กิเลส ทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง.
คำว่า มุนี ความว่า ญาณเรียกว่าโมนะ ได้แก่ปัญญา ความรู้ ทั่ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องต้องและตัณหาเพียงดังข่าย ดำรงอยู่ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้วบุคคลนั้นชื่อว่ามุนี คำว่า ผู้ประพฤติ ความว่า ผู้เที่ยวไป อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็นไป ยังอัตภาพให้เป็นไป เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ต่อมุนีผู้ประพฤติว่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 691
[๒๖๖] คำว่า ไม่มีอาลัยในกามทั้งหลาย มีความว่า คำว่า กาม ได้แก่ กาม ๒ อย่างโดยหัวข้อ คือ วัตถุกาม ๑. กิเลสกาม ฯลฯ นี้เรียกว่าวัตถุกาม ฯลฯ นี้เรียกว่ากิเลสกาม มุนีกำหนดรู้วัตถุกาม ละเว้น บรรเทา ทำให้สิ้นให้ถึงความไม่มีซึ่งกิเลสกาม ชื่อว่าไม่มีอาลัยในกาม ทั้งหลาย คือ สละ สำรอก ปล่อย ละ สละคืนกามเสียแล้ว ปราศจาก ราคะ คือ สละ สำรอก ปล่อย ละ สละคืนราคะเสียแล้ว เป็นผู้หมด ตัณหา ดับแล้ว เย็นแล้ว เสวยความสุข มีตนเป็นผู้ประเสริฐอยู่ เพราะ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ไม่มีอาลัยในกามทั้งหลาย.
[๒๖๗] คำว่า หมู่สัตว์ผู้ยินดีในกามทั้งหลายย่อมรักใคร่ ... ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว มีความว่า คำว่า ปชา เป็นชื่อของสัตว์ หมู่สัตว์ ผู้กำหนัด ปรารถนา ยินดี ติดใจ ลุ่มหลง ข้อง เกี่ยว พัวพัน ในกาม ทั้งหลาย หมู่สัตว์เหล่านั้นย่อมอยากได้ ยินดี ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ ต่อมุนีผู้ข้าม คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง ล่วงเลย เป็นไปล่วงซึ่ง กามโอฆะ ภวโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ อวิชชาโอฆะ และทางแห่งสงสารทั้งปวง ผู้ไปสู่ฝั่งถึงฝั่งแล้ว ไปสู่ส่วนสุดถึงส่วนสุดแล้ว ไปสู่ที่สุดถึงที่สุดแล้ว ไปสู่ ส่วนสุดรอบถึงส่วนสุดรอบแล้ว ไปสู่ที่จบถึงที่จบแล้ว ไปสู่ที่ต้านทานถึง ที่ต้านทานแล้ว ไปสู่ที่ลี้ลับถึงที่ลี้ลับแล้ว ไปสู่ที่พึ่งถึงที่พึ่งแล้ว ไปสู่ที่ไม่มี ภัยถึงที่ไม่มีภัยแล้ว ไปสู่ที่ไม่เคลื่อนถึงที่ไม่เคลื่อนแล้ว ไปสู่อมตะถึงอมตะ แล้ว ไปสู่นิพพานถึงนิพพานแล้ว พวกลูกหนี้ย่อมปรารถนารักใคร่ความ เป็นผู้หมดหนี้ ฉันใด พวกป่วยไข้ย่อมปรารถนารักใคร่ความเป็นผู้หายโรค ฉันใด พวกติดอยู่ในเรือนจำย่อมปรารถนารักใคร่ความพ้นจากเรือนจำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 692
ฉันใด พวกเป็นทาสย่อมปรารถนารักใคร่ความเป็นไท ฉันใด พวกเดิน ทางกันดารย่อมปรารถนารักใคร่ภาคพื้นที่เกษม ฉันใด หมู่สัตว์ผู้กำหนัด ปรารถนา ยินดี ติดใจ ลุ่มหลง ข้อง เกี่ยว พัวพันในกามทั้งหลาย หมู่สัตว์เหล่านั้นย่อมอยากได้ ยินดี ปรารถนา รักใคร่ ชอบใจ ต่อมุนี ผู้ข้ามคือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง ล่วงเลย เป็นไปล่วงซึ่งกามโอฆะ ภวโอฆะ ฯลฯ ไปสู่นิพพานถึงนิพพานแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะ ฉะนั้น จึงชื่อว่า หมู่สัตว์ผู้ยินดีในกามทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ ... ผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
หมู่สัตว์ ผู้ยินดีในกามทั้งหลาย ย่อมรักใคร่ต่อมุนี ผู้ประพฤติว่าง ไม่มีอาลัยในกามทั้งหลาย ผู้ข้ามโอฆะ ได้แล้ว ดังนี้.
จบ ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 693
อรรถกถาติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส
ในติสสเมตเตยยสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เมถุนมนุยุตฺตสฺส ความว่า ผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม.
บทว่า อิติ ความว่า ท่านพระติสสเมตเตยยะกราบทูลอย่างนี้.
บทว่า อายสฺมา เป็นคำแสดงความรัก.
บทว่า ติสฺโส เป็นชื่อของพระเถระนั้น พระเถระแม้นั้นก็ปรากฏ โดยชื่อว่า ติสสะ พระเถระนี้ได้ปรากฏด้วยสามารถแห่งโคตรนั่นแลว่า เมตเตยยะ เพราะฉะนั้น ในอัตถุปปัตติกถาท่านจึงกล่าวว่า มีสหาย ๒ คน ชื่อติสสเมตเตยะ.
บทว่า วิฆาตํ ได้แก่ ความเข้าไปกระทบ.
บทว่า พฺรูหิ แปลว่า โปรดบอก.
บทว่า มาริส เป็นคำแสดงความรัก ท่านอธิบายว่า ท่านผู้นิรทุกข์.
บทว่า สุตฺวาน ตว สาสนํ ความว่า ฟังพระดำรัสของพระองค์ แล้ว. ท่านพระติสสเมตเตยยะกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรมปรารภ สหาย ก็พระเถระนั้นเป็นผู้มีการศึกษาดีทีเดียว.
บทว่า เมถุนธมฺโม นาม นี้เป็นบทอุทเทสเมถุนธรรมที่พึงชี้แจง.
บทว่า อสทฺธมฺโม ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษคือชนชั้นต่ำ.
บทว่า คามธมฺโม ได้แก่ ธรรมที่พวกชาวบ้านประพฤติ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 694
บทว่า วสลธมฺโม ได้แก่ ธรรมของคนถ่อย อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วสลธรรม เพราะอรรถว่า เป็นธรรมชั่ว ดุจฝน เพราะกิเลสรั่วรด.
บทว่า ทุฏฐุลฺโล ความว่า ชื่อว่า ชั่วหยาบ เพราะอรรถว่า ชื่อ ว่าชั่ว เพราะกิเลสประทุษร้าย ชื่อว่าหยาบเพราะไม่ละเอียด ก็เพราะความ เห็นก็ดี ความยึดถือก็ดี ความลูบคลำก็ดี ความถูกต้องก็ดี ความกระทบ ก็ดี ที่เป็นบริวารของธรรมนั้น ชั่วหยาบ ฉะนั้น ธรรมที่ชั่วหยาบนั้น จึงเป็นเมถุนธรรม.
บทว่า โอทกนฺติโก ความว่า ชื่อว่า มีน้ำเป็นที่สุด เพราะอรรถ ว่า ถือเอาน้ำ เพื่อความบริสุทธิ์ในที่สุดแห่งธรรมนั้น อุทกันตะนั่นแหละ เป็นโอทกันติกะ ชื่อว่า เป็นธรรมอันพึงทำในที่ลับ เพราะเป็นธรรมที่ พึงทำในที่ลับ คือในโอกาสที่ปกปิด ปาฐะว่า วินเย ปน ทุฏฐุลฺลํ โอทกนฺติกํ รหสฺสํ ดังนี้ก็มี.
ในบท ๓ บทเหล่านั้น พึงเปลี่ยนบท โย โส ประกอบเป็น ยํ ตํ ความว่า อันใดชั่วหยาบ อันนั้นเป็นเมถุนธรรม, อันใดมีน้ำเป็นที่สุด อันนั้นเป็นเมถุนธรรม, อันใดพึงทำในที่ลับ อันนั้นเป็นเมถุนธรรม. แต่ ในที่นี้ พึงทราบการประกอบบท อย่างนี้ว่า ธรรมใดเป็นธรรมของ อสัตบุรุษ ธรรมนั้นเป็นเมถุนธรรม ฯลฯ ธรรมใดเป็นธรรมอันพึงทำ ในที่ลับ ธรรมนั้นเป็นเมถุนธรรม ชื่อว่าธรรมคือความถึงพร้อมด้วยธรรม ของคนคู่กัน เพราะเป็นธรรมอันคนคู่ๆ กันพึงถึงพร้อม ประกอบความ ในบทนั้นว่า ความถึงพร้อมด้วยธรรมของคนคู่กันนั้น ชื่อว่าเมถุนธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 695
บทว่า กึการณา วุจฺจติ เมถุนธมฺโม ความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม ด้วยเหตุอะไร ด้วยปริยายอะไร พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงเหตุนั้น ซึ่งท่านกล่าวด้วยประการฉะนี้ จึงกล่าวว่า อุภินฺนํ รตฺตานํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุภินฺนํ รตฺตานํ ความว่า แห่งหญิง และชาย ๒ คน อันราคะย้อมแล้ว.
บทว่า อวสฺสุตานํ ความว่า ชุ่มแล้วด้วยกิเลส.
บทว่า ปริยุฏฺิตานํ ความว่า กำจัดและย่ำยีอาจาระที่เป็นกุศลตั้ง อยู่ ดุจในประโยคว่า โจรปล้นในหนทาง เป็นต้น.
บทว่า ปริยาทินฺนจิตฺตานํ ความว่า ผู้มีจิตกำจัดกุศลจิต คือทำให้ สิ้นไปตั้งอยู่.
บทว่า อุภินฺนํ สทิสานํ ความว่า ทั้ง ๒ คนมีกิเลสพอกัน.
บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สภาวะ.
บทว่า ตํ การณา ความว่า เพราะเหตุนั้น.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะยังความข้อนั้นให้สำเร็จด้วยอุปมา จึงกล่าวว่า อุโภ กลหการกา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุโภ กลหการกา ความว่า ในกาล อันเป็นส่วนเบื้องต้น คน ๒ คนทำความทะเลาะกัน.
บทว่า เมถุนกาติ วุจฺจนฺติ ความว่า เรียกว่า คนเป็นเช่นเดียวกัน.
บทว่า ภณฺฑนการกา ความว่า ไปการทำความมุ่งร้ายกันในที่นั้นๆ.
บทว่า ภสฺสการกา ความว่า ทำความทะเลาะกันด้วยวาจา.
บทว่า วิวาทการกา ความว่า กระทำคำพูดต่างๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 696
บทว่า อธิกรณการกา ความว่า กระทำเหตุพิเศษที่ถึงการวินิจฉัย.
บทว่า วาทิโน ความว่า กล่าวและกล่าวตอบกัน.
บทว่า สลฺลาปกา ความว่า กล่าวเจรจา.
บทว่า เอวเมวํ เป็นคำเปรียบเทียบด้วยอุปมา.
บทว่า ยุตฺตสฺส ความว่า ประกอบพร้อม.
บทว่า ปยุตฺตสฺส ความว่า ประกอบโดยเอื้อเฟื้อ.
บทว่า อายุตฺตสฺส ความว่า ประกอบเป็นพิเศษ.
บทว่า มายุตฺตสฺส ความว่า ประกอบโดยความเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า ตญฺจริตสฺส ความว่า กระทำเมถุนธรรมนั้น.
บทว่า ตพฺพหุลสฺส ความว่า กระทำเมถุนธรรมนั้นให้มาก.
บทว่า ตคฺครุกสฺส ความว่า กระทำเมถุนธรรมนั้นให้หนัก.
บทว่า ตนฺนินฺนสฺส ความว่า มีจิตน้อมไปในเมถุนธรรมนั้น.
บทว่า ตปฺโปณสฺส ความว่า มีกายน้อมไปในเมถุนธรรมนั้น.
บทว่า ตปฺปพฺภารสฺส ความว่า มีกายมุ่งหน้าไปในเมถุนธรรมนั้น.
บทว่า ตทธิมุตฺตสฺส ความว่า มีใจเที่ยวไปในเมถุนธรรมนั้น.
บทว่า ตทาธิปเตยฺยสฺส ความว่า กระทำเมถุนธรรมนั้นให้เป็น ใหญ่เป็นหัวหน้าเป็นไป.
บทว่า วิฆาตํ เป็นบทอุทเทสแห่งบทที่จะพึงชี้แจง.
บทว่า วิฆาตํ ความว่า ความเบียดเบียน.
บทว่า อุปฆาตํ ความว่า ความเบียดเบียนทำใกล้ๆ.
บทว่า ปีฬนํ ความว่า ความกระทบกระทั่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 697
บทว่า ฆฏฺฏนํ ความว่า ความบีบคั้น บททุกบทเป็นไวพจน์กัน และกันทั้งนั้น.
บทว่า อุปทฺทวํ ความว่า ความเบียดเบียน.
บทว่า อุปสคฺคํ ความว่า อาการที่เข้าไปเบียดเบียนในที่นั้นๆ.
บทว่า พฺรูหิ แปลว่า โปรดตรัสบอก.
บทว่า อาจิกฺขุ แปลว่า โปรดวิสัชนา.
บทว่า เทเสหิ แปลว่า โปรดแสดง.
บทว่า ปญฺาเปหิ แปลว่า โปรดให้ทราบ.
บทว่า ปฏฺเปหิ แปลว่า โปรดตั้งไว้.
บทว่า วิวร แปลว่า โปรดทำให้ปรากฏ.
บทว่า วิภช แปลว่า โปรดจำแนก.
บทว่า อุตฺตานีกโรหิ แปลว่า โปรดให้ถึง.
บทว่า ปกาเสหิ แปลว่า โปรดทำให้ปรากฏ.
บทว่า ตุยฺหํ วจนํ แปลว่า พระดำรัสของพระองค์.
บทว่า พฺยปถํ แปลว่า พระดำรัส.
บทว่า เทสนํ แปลว่า พระดำรัสบอก.
บทว่า อนุสาสนํ แปลว่า พระโอวาท.
บทว่า อนุสิฏฺึ แปลว่า พระดำรัสพร่ำสอน.
บทว่า สุตฺวา ความว่า ฟังแล้วด้วย โสตวิญญาณ
บทว่า สุณิตฺวา เป็นไวพจน์ของบทว่า สุตฺวา นั่นแหละ.
บทว่า อุคฺคเหตฺวา ความว่า ถือเอาโดยชอบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 698
บทว่า อุปธารยิตฺวา ความว่า ไม่ให้ลืม.
บทว่า อุปลกฺขยิตฺวา ความว่า กำหนดไว้.
บทว่า มุสฺสเต วาปิ สาสนํ ความว่า คำสั่งสอนทั้งสองอย่าง คือปริยัติและปฏิบัติ ย่อมเสียหาย.
บทว่า วาปิ สักว่าเป็นปทปูรณะ.
บทว่า เอตํ ตสฺมึ อนาริยํ ความว่า นี้คือมิจฉาปฏิปทา เป็น ธรรมอันไม่ประเสริฐในบุคคลนั้น.
บทว่า คารวาธิวจนํ เป็นคำกล่าวถึงความเคารพต่อครูผู้สูงสุดของ สัตว์ผู้ประเสริฐด้วยคุณ เพราะเหตุนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า :-
คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐสุด คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรง ควรแก่ความเคารพโดยฐานเป็นครู ฉะนั้นจึงทรงพระนาม ว่า ภควา.
จริงอยู่ นามมี ๔ อย่าง คือ อาวัตถิกนาม ๑ ลิงคิกนาม ๑ เนมิตตกนาม ๑ อธิจจสมุปปันนนาม ๑.
มีคำอธิบายว่า นามที่ตั้งขึ้นตามความปรารถนา ตามโวหารของ ชาวโลก ชื่อว่า อธิจจสมุปปันนนาม.
บรรดานามเหล่านั้น นามเป็นต้นว่า ลูกโค โคถึก โคงาน อย่าง นี้ชื่อว่า อาวัติถิกนาม.
นามเป็นต้นว่า คนมีไม้เท้า คนมีร่ม สัตว์มีหงอน สัตว์มีงวง อย่างนี้ชื่อว่า ลิงคิกนาม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 699
นามเป็นต้นว่า ผู้ได้วิชา ๓ ผู้ได้อภิญญา ๖ อย่างนี้ชื่อว่า เนมิตตกนาม.
นามเป็นต้นว่า เจริญศรี เจริญทรัพย์ ซึ่งตั้งขึ้นโดยมิได้เพ่งเนื้อ ความของถ้อยคำ อย่างนี้ชื่อว่า อธิจจสมุปปันนนาม.
ก็พระนามว่า ภควา นี้เป็น เนมิตตกนาม พระนางสิริมหามายา ก็มิได้ทรงขนาน พระเจ้าสุทโธทนมหาราชก็มิได้ทรงขนาน พระญาติแปด หมื่นก็มิได้ทรงขนาน เทวดาวิเศษทั้งหลายมีท้าวสักกเทวราชและท้าวสัน ดุสิตเทวราชเป็นต้น ก็มิได้ทรงขนาน จริงอยู่ พระสารีบุตรเถระกล่าว ไว้ว่า พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดาก็มิได้ทรงขนาน ฯลฯ พระ นามว่า ภควา นี้เกิดขึ้นที่สุดแห่งวิโมกข์ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ แก่พระ ผู้มีพระภาคผู้พุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมกับการได้เฉพาะซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้โพธิ อีกนัยหนึ่งว่า :-
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีโชค ทรงหักกิเลส ทรงประ ประกอบด้วยภคธรรม ทรงจำแนกแจกธรรม ทรงคบธรรม และทรงคายกิเลสเป็นเครื่องไปในภพทั้งหลายได้แล้ว เหตุ นั้นจึงทรงพระนามว่า ภควา.
ในคาถานั้น ท่านกล่าวนิรุตติศาสตร์ไว้ ๕ อย่าง คือ การลงอักษร ใหม่ ๑ การเปลี่ยนอักษร ๑ การแปลงอักษร ๑ การลบอักษร ๑ และการ ประกอบด้วยความสมบูรณ์แห่งเนื้อความของธาตุทั้งหลาย บัณฑิตพึงถือ เอาลักษณะแห่งนิรุตติศาสตร์ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ทราบความสำเร็จแห่ง บทด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 700
บรรดานิรุตติศาสตร์ ๕ อย่างนั้น ก็ลงอักษรซึ่งไม่มีอยู่ ดุจการ ลง ร อักษรในประโยคนี้ว่า นกฺขตฺตราชาริว ตารกานํ ดังนี้ ชื่อว่า การลงอักษรใหม่.
การเปลี่ยนอักษรที่มีอยู่ โดยเอาข้างหน้าไว้ข้างหลังดุจเมื่อควรจะ กล่าวว่า หึสนา หึโส ก็กล่าวเสียว่า สีโห ดังนี้ ชื่อว่า การเปลี่ยน อักษร.
การแปลงอักษรให้เป็นอักษรอื่น ดุจการแปลง อ อักษรเป็น เอ อักษร ในประโยคนี้ว่า นวิจฺฉนฺทเก ทาเน ทิยติ ดังนี้ ชื่อว่าการ แปลงอักษร.
การลบอักษรที่มีอยู่ ดุจเมื่อควรจะกล่าวว่า ชีวนสฺส มุโต ชีวนมุโต ก็ลบ ว อักษร และ น อักษรเสีย เป็น ชีมุโต ดังนี้ ชื่อ ว่าการลบอักษร.
การประกอบเนื้อความเป็นพิเศษตามที่ประกอบในที่นั้นๆ ดุจการทำ บทว่า ปกฺรุพฺพมาโน ในประโยคนี้ ว่า ผรุสาหิ วาจาหิ ปกฺรุพฺพ มาโน อาสชฺช มํ ตฺวํ วทสิ กุมาร ให้สำเร็จเนื้อความว่า อติภวมาโน ดังนี้ ชื่อว่าการประกอบด้วยความสมบูรณ์แห่งเนื้อความของธาตุทั้งหลาย.
เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภาคยะที่ถึงฝั่งมีทานและศีลเป็น ต้น ซึ่งให้บังเกิดโลกิยสุขและโสกุตตรสุข ฉะนั้น เมื่อควรจะถวายพระ นามว่า ภาคฺยวา พึงทราบว่า ท่านถือเอาลักษณะแห่งนิรุตติศาสตร์ อย่างนี้หรือถือเอาลักษณะคือการเพิ่มศัพท์มีปิโสทร๑ ศัพท์เป็นต้น โดยนัย แห่งศัพท์ศาสตร์ ถวายพระนามว่า ภควา.
๑. ปิโสทร - ที่ท้องมีรอยจุด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 701
อนึ่ง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงหักกิเลส เครื่องกระวนกระวาย เครื่องเร่าร้อนทุกอย่างนับแสน มีประเภทคือ โลภะ โทสะ โมหะ มนสิการวิปริต อหิริกะ อโนตตัปปะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ ตัณหา อวิชชา อกุศลมูล ๓ ทุจริต ๓ สังกิเลส ๓ วิสมสัญญา ๓ วิตก ๓ ปปัญจะ ๓ วิปริเยสะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๘ โอฆะ ๔ โยคะ ๔ อคติ ๔ ตัณหา ๔ อุปาทาน ๔ เจโตขีละ ๕ วินิพันธะ ๕ นิวรณ์ ๕ อภินันทนะ ๕ วิวาทมูล ๖ กองตัณหา ๖ อนุสัย ๗ มิจ- ฉัตตะ ๘ ตัณหามูล ๙ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทิฏฐิ ๖๒ ตัณหาวิปริต ๑๐๘ หรือโดยย่อ ซึ่งมาร ๕ คือ กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร ฉะนั้น เมื่อควรจะถวายพระนามว่า ภคฺควา เพราะทรง หักอันตรายเหล่านี้ได้แล้ว แต่ถวายพระนามว่า ภควา อนึ่ง ท่านกล่าว ไว้ในที่นี้ว่า :-
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงหักราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว ทรงหาอาสวะมิได้ ธรรมอันลามกทั้งหลาย พระองค์ก็ทรงหักเสียแล้ว เหตุนั้นจึงทรงพระนามว่า ภควา.
อนึ่ง สมบัติแห่งรูปกายของพระองค์ผู้ทรงบุญลักษณะตั้งร้อย เป็น อันท่านแสดงแล้วด้วยความที่พระองค์ทรงมีภาคยะ สมบัติแห่งธรรมกาย ของพระองค์ เป็นอันท่านแสดงแล้วด้วยความที่พระองค์ทรงหักโทสะเสียได้ อนึ่ง ความที่พระองค์เป็นผู้อันโลกิยชนและอริยบุคคลทั้งหลายนับถือแล้ว มาก ความเป็นผู้อันคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลายพึงเข้าเฝ้า ความเป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 702
สามารถกำจัดทุกข์กายทุกข์ใจ ของคนผู้เข้าเฝ้าเหล่านั้น ความเป็นผู้มี อุปการะด้วยอามิสทานและธรรมทาน ความเป็นผู้สามารถประกอบคนเหล่า นั้นไว้ด้วยโลกิยสุขและโลกุตตรสุข เป็นต้นท่านแสดงแล้ว. อนึ่ง เพราะ ภค ศัพท์ เป็นไปในธรรม ๖ ประการในโลก คือ อิสสริยะ ธรรม ยศ สิริ กาม และความขวนขวาย ก็พระผู้มีพระภาค เจ้าพระองค์นั้น ทรงมีอิสสริยะในพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง หรือทรงมี อิสสริยะบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ที่ชาวโลกรู้กันแล้ว มีหายตัวและล่อง หนเป็นต้น.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงมีโลกุตตรธรรม ทรงมี พระยศบริสุทธิ์ยิ่งนัก ที่ทรงบรรลุด้วยพระคุณตามที่เป็นจริง อันระบือไป ในโลกทั้ง ๓ มีพระสิริแห่งอังคาพยพน้อยใหญ่ทุกส่วน บริบูรณ์ด้วยอาการ ทั้งปวง สามารถยังความเลื่อมใสให้เกิดแก่ตาและใจของชนผู้ขวนขวายใน การชมพระรูปกาย ทรงมีความปรารถนาที่รู้กันแล้วว่า ความสำเร็จประโยชน์ที่ทรงปรารถนา เพราะไม่ว่าประโยชน์ใดๆ ที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ปรารถนา จะเป็นประโยชน์คนหรือประโยชน์ผู้อื่นก็ตาม ประโยชน์นั้นๆ สำเร็จได้ดังนั้นทีเดียว อนึ่ง พระองค์ทรงมีความขวนขวาย กล่าวคือความ พยายามชอบ อันเป็นตัวเหตุให้เกิดความเป็นครูของโลกทั้งปวง เพราะ ฉะนั้น บัณฑิตจึงถวายพระนามว่า ภควา ด้วยอรรถนี้ว่า เพราะพระองค์ ทรงมีภคธรรม แม้เพราะทรงประกอบด้วยภคธรรมเหล่านี้.
อนึ่ง เพราะเหตุที่พระองค์ทรงแจก คือจำแนก เปิดเผย มีอธิบาย ว่า แสดง ซึ่งธรรมทั้งปวง โดยประโยคเภทมีกุศลเป็นต้น. หรือซึ่งธรรมมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 703
กุศลเป็นต้น โดนประเภทเป็นต้นว่า ขันธ์ อายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทรีย์ และปฏิจจสมุปบาท. หรือซึ่ง ทุกขอริยสัจ ด้วยอรรถว่าบีบคั้น อันปัจจัย ปรุงแต่ง ทำให้เร่าร้อนและแปรปรวน. ซึ่ง สมุทัยอริยสัจ ด้วยอรรถว่า เหตุประมวลมา เป็นเหตุมอบให้ซึ่งผล เป็นเหตุประกอบและเป็นเหตุกังวล. ซึ่ง นิโรธอริยสัจ ด้วยอรรถว่าเป็นเครื่องสลัดออก เป็นความสงัด ไม่มี ปัจจัยปรุงแต่ง และเป็นธรรมไม่ตาย. ซึ่ง มรรคอริยสัจ ด้วยอรรถว่า เป็นเครื่องนำออกเป็นเหตุ เป็นทัศนะ และเป็นใหญ่. ฉะนั้น เมื่อควร ถวายพระนามว่า วิภตฺตวา แต่ถวายพระนามว่า ภควา. อนึ่ง พระองค์ทรงคบ คือทรงเสพ ทรงกระทำให้มาก ซึ่งทิพยวิหาร พรหมวิหาร และอริยวิหาร ซึ่งกายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก ซึ่งสุญญตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ และอนิมิตตวิโมกข์ และซึ่งอุตตริ- มนุษยธรรมเหล่าอื่น ทั้งที่เป็นโลกิยะทั้งที่เป็นโลกุตตระ ฉะนั้น เมื่อควร ถวายพระนามว่า ภตฺตวา แต่ถวายพระนามว่า ภควา.
อนึ่ง เพราะพระองค์ทรงคายการไป กล่าวคือ ตัณหาในภพ ๓ เสียแล้ว ฉะนั้น เมื่อควรถวายพระนามว่า ภเวสุ วนฺตคมโน ทรงคาย การไปในภพทั้งหลาย. ท่านถือเอา ภ อักษร จาก ภว ศัพท์, ค อักษร จาก คมน ศัพท์. ว อักษร จาก วนฺต ศัพท์ ทำให้เป็นทีฆะแล้วถวาย พระนามว่า ภควา เหมือนในทางโลก เมื่อควรจะกล่าวว่า เมหนสฺส ขสฺส มาลา เครื่องประดับของลับ ก็กล่าวว่า เมขลา เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง พระสารีบุตรเถระเมื่อจะชี้แจงปริยายแม้อื่นอีก จึง กล่าวว่า ภคฺคราโคติ ภควา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น พระผู้มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 704
พระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ภัคคราคะ เพราะพระองค์ทรงทำลายราคะได้ แล้ว แม้ในบท ภคฺคโทโส เป็นต้น ก็นัยนี้นั่นเอง.
บทว่า กณฺฏโก ได้แก่ กิเลสนั้นแล ด้วยอรรถว่าแทงตลอด.
บทว่า ภชิ ความว่า ทรงจำแนกเป็นส่วนด้วยสามารถแห่งอุทเทส.
บทว่า วิภชิ ความว่า ทรงจำแนกเป็นอย่างๆ ด้วยสามารถแห่ง นิทเทส.
บทว่า ปฏิภชิ ความว่า ทรงจำแนกวิเศษโดยประการด้วยสามารถ แห่งปฏินิทเทส. ทรงจำแนกด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้เป็นอุคฆติตัญญู, ทรงจำแนกวิเศษด้วย สามารถแห่งบุคคลผู้เป็นวิปจิตัญญู. ทรงจำแนกวิเศษ เฉพาะด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้เป็นเนยยะ.
บทว่า ธมฺมรตนํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกเป็น ๓ อย่าง ซึ่งธรรมรัตนะที่ทรงสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า :-
เครื่องใช้สอยของสัตว์อย่างเยี่ยม ทำไว้งดงามและ มีค่ามาก ไม่มีที่เปรียบ หาดูได้ยาก เรียกว่า รัตนะ นั่นแล.
บทว่า ภวานํ อนฺตกโร ความว่า ทรงกระทำ กำหนด คือ ที่สุด รอบ ทางรอบ แห่งภพ ๙ มีกามภพ เป็นต้น.
บทว่า ภาวิตกาโย ความว่า มีพระกายอันเจริญแล้ว แม้ในบท นอกนี้ก็เหมือนกัน.
บทว่า ภชิ ได้แก่ ทรงเสพแล้ว.
บทว่า อรญฺวนปตฺถานิ ความว่า นอกเสาเขื่อนของบ้านก็ตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 705
ของเมืองก็ตาม ชื่อว่า ป่าละเมาะ ไพรสณฑ์ที่เลยบริเวณรอบๆ ถิ่นมนุษย์ ชื่อว่าป่าทึบ.
บทว่า ปนฺตานิ ความว่า เสนาสนะไกล ไม่เป็นที่ไถหว่านของ พวกมนุษย์ แต่อาจารย์บางท่านกล่าวว่า :-
บทว่า วนปตฺถานิ ความว่า เพราะเสือโคร่งเป็นต้น มีอยู่ในป่าใด เสือโคร่งเป็นต้นเหล่านั้นย่อมคุ้มครองรักษาป่านั้น ฉะนั้น เสนาสนะเหล่า นั้นชื่อว่า วนปัตถะ เพราะเสือโคร่งเป็นต้นเหล่านั้นรักษา.
บทว่า เสนาสนานิ ความว่า ชื่อว่า เสนาสนะ เพราะอรรถว่า เป็นที่นอนและที่นั่ง.
บทว่า อปฺปสทฺทานิ ความว่า มีเสียงน้อย ด้วยเสียงของคำพูด. บทว่า อปฺปนิคโฆสานิ ความว่า ปราศจากเสียงกึกก้อง ด้วยเสียง กึกก้องในบ้านและเมืองเป็นต้น.
บทว่า วิชนวาตานิ ความว่า เว้นจากลมสรีระของชนผู้สัญจรภาย ใน ปาฐะว่า วิชนวาทานิ ก็มี ความว่า เว้นจากวาทะของชนภายใน ปาฐะว่า วีชนวาตานิ ก็มี ความว่า เว้นจากคนสัญจร.
บทว่า มนุสฺสราหเสยฺยกานิ ความว่า เป็นที่กระทำกรรมลับของ พวกมนุษย์.
บทว่า ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ ความว่า เหมาะแก่วิเวก. บทว่า ภาคี วา ความว่า ชื่อว่าทรงมีส่วน เพราะอรรถว่า พระองค์ทรงมีส่วน คือส่วนมีจีวรเป็นต้น ชื่อว่าทรงมีส่วน เพราะอรรถ ว่า พระองค์ทรงมีส่วนแห่งอรรถรสเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งการได้เฉพาะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 706
บทว่า อตฺถรสสฺส ได้แก่ อรรถรสกล่าวคือความถึงพร้อมแห่งผล ของเหตุ.
บทว่า ธมฺมรสสฺส ได้แก่ ธรรมรสกล่าวคือความถึงพร้อมแห่งเหตุ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ญาณในผลของเหตุ ชื่อว่าอรรถปฏิสัมภิทา ญาณ ในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา.
บทว่า วิมุตฺติรสสฺส ได้แก่ วิมุตติรสกล่าวคือความถึงพร้อมแห่ง ผล สมจริงดังที่ตรัสไว้ร่า เรียกว่า รส ด้วยอรรถว่าความถึงพร้อมแห่ง กิจ.
บทว่า จตุนฺนํ ฌานานํ ได้แก่ ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น.
บทว่า จตุนฺนํ อปฺปมญฺานํ ได้แก่ พรหมวิหาร ๔ มีเมตตา เป็นต้น ที่เว้นจากประมาณในการแผ่ คือ แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ.
บทว่า จตุนฺนํ อรูปสมาปตฺตีนํ ได้แก่ อรูปฌาน มีอากาสานัญจายตนฌานเป็นต้น.
บทว่า อฏฺนฺนํ วิโมกฺขานํ ได้แก่ วิโมกข์ ๘ ที่พ้นจากอารมณ์ ซึ่งท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายดังนี้.
ฌานทั้งหลายชื่อว่า อภิภายตนะ ในบทว่า อภิภายตนานํ นี้ เพราะอรรถว่า ฌานเหล่านั้นมีอายตนะเป็นยิ่ง.
บทว่า อายตนานิ ได้แก่ ฌานมีกสิณเป็นอารมณ์ กล่าวคือ อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งอารมณ์อย่างมั่นคง จริงอยู่บุคคลผู้ยิ่งด้วย ญาณ มีญาณบริสุทธิ์ ย่อมเข้าสมบัติครอบงำอารมณ์เหล่านั้นว่า เราจะพึง เข้าสมาบัติในอารมณ์นี้ทำไม ภาระในการการทำเอกัคคตาจิตไม่มีในเรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 707
อธิบายว่า ทำอัปปนาให้บังเกิดในอารมณ์นี้พร้อมกับความเกิดขึ้นแห่งนิมิต นั้นเอง ฌานที่ให้เกิดขึ้นอย่างนี้ เรียกว่า อภิภายตนะ แห่งอภิภายตนะ ๘ เหล่านั้น.
บทว่า นวนฺนํ อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺตีนํ ความว่า ชื่อว่า อนุปุพพวิหารสมาบัติ เพราะพึงอยู่ คือพึงเข้าถึง ตามก่อนๆ คือตามลำดับ อธิบายว่า พึงเข้าถึงตามลำดับ แห่งอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เหล่านั้น.
บทว่า ทสนฺนํ สญฺาภาวนานํ ได้แก่ สัญญาภาวนา ๑๐ มี อนิจจสัญญาเป็นต้น ที่นาในคิริมานนทสูตร.
บทว่า ทสนฺนํ กสิณสหาปตฺตีนํ ได้แก่ ฌาน ๑๐ มีปถวีกสิณฌานเป็นต้น กล่าวคือกสิณ ด้วยอรรถว่าทั่วไป.
บทว่า อานาปานสฺสติสมาปตฺติยา ได้แก่ สมาธิที่สัมปยุตด้วย อานาปานสติ.
บทว่า อสุภสมาปตฺติยา ได้แก่ การเข้าฌานมีอสุภะเป็นอารมณ์.
บทว่า ทสนฺนํ ตถาคตพลานํ ได้แก่ ญาณอันเป็นกำลังของ พระทศพล ๑๐ ประการ.
บทว่า จตุนฺนํ เวสารชฺชานํ ได้แก่ เวสารัชชธรรม ๔ ซึ่งเป็น ความแกล้วกล้า.
บทว่า จตุนฺนํ ปฏิสมฺภิทานํ ได้แก่ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔.
บทว่า ฉนฺนํ อภิญฺานํ ได้แก่ อภิญญา ๖ มีอิทธิวิธเป็นต้น.
บทว่า ฉนฺนํ พุทฺธธมฺมานํ ได้แก่ พุทธธรรม ๖ ที่มาในเบื้อง บนโดยนัยเป็นต้นว่า กายกรรมทุกอย่างเป็นไปตามญาณ. จีวรเป็นต้น ใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 708
บทนั้นท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งภาคยสมบัติ. อรรถรสตุกะ ท่านกล่าว ด้วยสามารถแห่งปฏิเวธ. อธิสีลติกะ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งปฏิบัติ. ฌานติกะ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งรูปฌานและอรูปฌาน. วิโมกขติกะ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งสมาบัติ สัญญาพาจตุกกะ ท่านกล่าวด้วยสามารถ แห่งอุปจาระและอัปปนา. สติปัฏฐาน เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ.
บทว่า ตถาคตพลานํ เป็นต้น พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยสามารถ แห่งธรรมพิเศษ.
บทว่า ภควาติ เนตํ นามํ เป็นต้น ต่อจากนี้ ทานกล่าวเพื่อให้ ทราบว่า บัญญัตินี้ไปตามเนื้อความ.
ในบทว่า สมณพฺราหฺมเณหิ นั้น ได้แก่ พวกสมณะ พวก พราหมณ์ที่เข้าบรรพชา มีวาทะว่าเจริญ สงบบาปหรือลอยบาปแล้ว เทวดา มีท้าวสักกะเป็นต้น และพรหมทั้งหลาย.
บทว่า วิโมกฺขนฺติกํ ได้แก่ วิโมกข์ คือ อรหัตตมรรค ที่สุด แห่งวิโมกข์ คืออรหัตตผล มีในที่สุดแห่งวิโมกข์นั้น ชื่อว่า วิโมกขันติกะ ด้วยว่า ความเป็นพระสัพพัญญูย่อมสำเร็จด้วยอรหัตตมรรค คือเป็นอัน สำเร็จแล้วด้วยการบรรลุอรหัตตผล ฉะนั้น ความเป็นสัพพัญญูจึงมีในที่สุด แห่งวิโมกข์ แม้เนมิตตกนามนั้น ก็เป็นนามที่มีในที่สุดแห่งวิโมกข์ เหตุ นั้นท่านจึงกล่าวว่า วิโมกฺขนฺติกเมตํ พุทฺธานํ ภควนฺตานํ ดังนี้.
บทว่า โพธิยา มูเล สห สพฺพญฺญุตญาณสฺส ปฏิลาภา ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 709
ว่า กับการได้เฉพาะพระสัพพัญญุตญาณ ในขณะตามที่กล่าวแล้ว ณ โคน ต้นมหาโพธิ.
บทว่า สจฺฉิกา ปญฺตฺติ ความว่า เป็นบัญญัติที่เกิดด้วยการทำให้ แจ้งพระอรหัตตผล หรือด้วยการทำให้แจ้งธรรมทั้งปวง.
บทว่า ยทิทํ ภควา ความว่า บัญญัติว่า ภควา นี้.
บทว่า ทฺวีหิ การเณหิ ได้แก่ ด้วยส่วน ๒.
บทว่า ปริยตฺติสาสนํ ได้แก่ พุทธพจน์ คือพระไตรปิฎก.
บทว่า ปฏิปตฺติ ความว่า ชื่อว่า ปฏิบัติ เพราะอรรถว่า เป็น เครื่องถึงเฉพาะ.
บทว่า ยํ ตสฺส ปริยาปุตํ ความว่า คำสั่งสอนใดอันบุคคลนั้น ศึกษาแล้ว คือ สาธยายแล้ว. คำว่า ตสฺส นั้นเป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงใน อรรถแห่งตติยาวิภัตติ ปาฐะว่า ปริยาปุฏํ ก็มี.
บทว่า สุตฺตํ ความว่า คัมภีร์อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร มงคลสูตร รตนสูตร ตุวฏกสูตรในสุตตนิบาต และพระดำรัสของพระ ตถาคตที่ได้นามว่าสูตรแม้อื่น พึงทราบว่า สุตตะ พระสูตรที่มีคาถาแม้ ทั้งหมด.
พึงทราบบทว่า เคยยะ สคาถวรรคแม้ทั้งสิ้นในสังยุต. พึงทราบว่า เคยยะ เป็นพิเศษ.
บทว่า เวยฺยากรณํ ความว่า พระอภิธรรมปิฎก ทั้งสิ้น พระสูตร ที่ไม่มีคาถา และพระพุทธพจน์ที่มิได้สงเคราะห์ด้วยองค์ ๘ นั้นพึงทราบว่า เวยยากรณะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 710
บทว่า คาถา ความว่าคาถาธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถาและคาถา ล้วนๆ ที่มิได้ชื่อว่าพระสูตร ในสุตตนิบาต พึงทราบว่าคาถา.
บทว่า อุทานํ ความว่า พระสูตร ๘๒ สูตร ที่ปฏิสังยุตด้วยคาถา เจือด้วยโสมนัสญาณ พึงทราบว่า อุทาน.
บทว่า อิติวุตฺตกํ ความว่า พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่เป็นไปโดย นัยเป็นต้นว่า วุตฺตํ เหตํ ภควตา ดังนี้ พึงทราบว่า อิติวุตตกะ.
บทว่า ชาตกํ ความว่า ชาดก ๕๕๐ เรื่อง มีอปัณณกชาดกเป็นต้น พึงทราบว่า ชาดก.
บทว่า อพฺภูตธมฺมํ ความว่า พระสูตรที่ปฏิสังยุตด้วยอัพภูตธรรม น่าอัศจรรย์ทั้งปวงที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อจฺฉริ- ยา อพฺภูตธมฺมา อานนฺเท ภิกษุทั้งหลาย ข้ออัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ อย่างนี้ หาได้ในอานนท์ ดังนี้ พึงทราบว่า อัพภูตธรรม.
บทว่า เวทลฺลํ ความว่า พระสูตรแบบถามตอบซึ่งผู้ถามได้ทั้ง ความรู้และความพอใจ ถามต่อไป แม้ทั้งหมด มีจูฬเวทัลลสูตร มหา เวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และ มหาปณณมสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า เวทัลละ.
บทว่า อิทํ ปริยตฺติสาสนํ ความว่า พระพุทธวจนะคือพระไตร ปิฎก ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วนี้ ชื่อว่าคำสั่งสอนทางปริยัติ เพราะทำ วิเคราะห์ว่า ชื่อว่าปริยัติ เพราะอรรถว่าพึงเล่าเรียน ซึ่งว่าคำสั่งสอน เพราะอรรถว่าพร่ำสอน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 711
บทว่า ตมฺปิ มุสฺสติ ความว่า คำสั่งสอนทางปริยัติแม้นั้น ย่อม สูญหาย.
บทว่า ปริมุสฺสติ ความว่า ย่อมสูญหายแต่ต้น.
บทว่า ปริพาหิโร โหติ ความว่า ต่อหน้า.
บทว่า กตมํ ปฏิปตฺติสาสนํ ความว่า ส่วนเบื้องต้นแต่โลกุตตร ธรรม ชื่อว่าปฏิบัติ เพราะอรรถว่าอันบุคคลปฏิบัติอรรถนั้น ชื่อว่าคำ สั่งสอน เพราะอรรถว่า อันศาสดาสั่งสอนเหล่าเวไนยทั้งหลายในอรรถนี้.
บทว่า สมฺมาปฏิปทา เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า ปาณมฺปิ หนติ ความว่า ฆ่าอินทรีย์คือชีวิตบ้าง.
บทว่า อทินฺนมฺปิ อาทิยติ ความว่า ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของ หวงแหนบ้าง.
บทว่า สนฺธิมปิ ฉินฺทติ ความว่า ตัดที่ต่อของเรือนบ้าง.
บทว่า นิลฺโลปมฺปิ หรติ ความว่า ประหารชาวบ้านทั้งหลายทำ การปล้นใหญ่บ้าง.
บทว่า เอกาคาริกมฺปิ กโรติ ความว่า ล้อมจับเป็นเรียกค่าไถ่ ด้วยทรัพย์ประมาณ ๕๐ บ้าง ๖๐ บ้าง.
บทว่า ปริปนฺเถปิ ติฏติ ความว่า ทำการรีดเงินที่หนทาง เปลี่ยว.
บทว่า ปรทารมฺปิ คจฺฉติ ความว่า ถึงความประพฤติในภรรยา ของผู้อื่น.
บทว่า มุสาปิ ภณติ ความว่า กล่าวเท็จหักประโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 712
บทว่า อนริยธมฺโม ความว่า มิใช่สภาวะที่ประเสริฐ.
บทว่า เอโก ปุพฺเพ จริตฺวาน ความว่า เทียวไปในเบื้องต้น คือ ในโลก ด้วยส่วนบรรพชาก็ตาม ด้วยการละความคลุกคลีด้วยหมู่ก็ตาม.
บทว่า ยานํ ภนฺตํว ตํ โลเก หีนมาหุ ปุถุชฺชนํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้น คือผู้หมุนไปผิด ว่าเป็นปุถุชนคนเลว เหมือนยวดยานที่หมุนไปฉะนั้น ด้วยการขึ้นสู่ทางที่ไม่เรียบมีกายทุจริตเป็น ต้น ด้วยการทำลายตนในนรกเป็นต้น และด้วยการตกลงในเหวคือชาติ เป็นต้น เหมือนยวดยานมียานช้างเป็นต้น ที่ไม่ได้ฝึกย้อมขึ้นสู่ทางที่ไม่ เรียบบ้าง ทำลายคนขี่เสียบ้าง ตกลงในเหวบ้าง ฉะนั้น.
บทว่า ปพฺพชฺชาสงฺขาเตน ความว่า ด้วยส่วนบรรพชาก็ตาม คือด้วยการขึ้นสู่การนับว่าเป็นบรรพชิต ว่าเป็นสมณะ ก็ตาม.
บทว่า คณาววสฺสคฺคฏเน วา ความว่า ด้วยการสละความยินดี ในความคลุกคลีด้วยหมู่เทียวไปก็ตาม.
บทว่า เอโก ปฏิกฺกมติ ความว่า ผู้เดียวเท่านั้นกลับจากบ้าน.
บทว่า โย นิเสวติ เป็นบทอุทเทสของบทที่จะต้องชี้แจง
บทว่า อเปเรน สมเยน ความว่า ในกาลอื่น คือ ในกาลอัน เป็นส่วนอื่นอีก.
บทว่า พุทฺธํ ได้แก่ พระพุทธเจ้าผู้สัพพัญญู.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระธรรมซึ่งประกอบด้วยคุณมีความเป็น ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 713
บทว่า สงฺฆํ ได้แก่ พระสงฆ์ผู้ประกอบด้วยคุณมีความเป็นผู้ ปฏิบัติดีเป็นต้น.
บทว่า สิกฺขํ ได้แก่ สิกขาที่ต้องศึกษา มีอธิสีลสิกขาเป็นต้น.
บทว่า ปจฺจกฺขาย ความว่า ห้ามพระพุทธเจ้าเป็นต้น.
บทว่า หีนาย ความว่า เพื่อความเป็นคนเลว คือเพื่อความเป็น คฤหัสถ์.
บทว่า อาวตฺติตฺวา ความว่า กลับ.
บทว่า เสวติ ความว่า เสพครั้งเดียว.
บทว่า นิเสวติ ความว่า เสพหลายวิธี.
บทว่า สํเสวติ ความว่า เสพชุ่ม.
บทว่า ปฏิเสวติ ความว่า เสพบ่อยๆ.
บทว่า ภนฺตํ ความว่า หมุนไปผิด.
บทว่า อทนฺตํ ความว่า มิได้นำเข้าไปสู่ความเป็นสัตว์อันเขาฝึก แล้ว.
บทว่า อการิตํ ความว่า ไม่ได้รับการศึกษากิริยาที่ศึกษาดีแล้ว.
บทว่า อวินิตํ ความว่า ไม่ได้ศึกษาด้วยอาจารสมบัติ.
บทว่า อุปฺปถํ คณฺหาติ ความว่า ยานมีประการดังกล่าวแล้ว ประกอบด้วยความเป็นสัตว์อันเขามิได้ฝึกเป็นต้นหมุนไป ย่อมเข้าถึงทางที่ ไม่เรียบ.
บทว่า วิสมํ ขาณุมฺปิ ปาสาณมฺปิ อภิรูหติ ความว่า ย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 714
ขึ้นบนตอไม้ตะเคียนเป็นต้นตั้งอยู่ไม่เรียบบ้าง กองหินบนภูเขาที่ตั้งอยู่ไม่ เรียบอย่างนั้นบ้าง.
บทว่า ยานมฺปิ อาโรหกมฺปิ ภญฺชติ ความว่า ย่อมทำลาย ยานมีวอเป็นต้นบ้าง ทำลายมือเท้าเป็นต้นของผู้ที่ขึ้นขี่ขับไปบ้าง.
บทว่า ปปาเตปิ ปปตติ ความว่า ย่อมตกไปในเหวแห่งเงื้อมผา ที่ขาดด้านเดียวบ้าง.
บทว่า โส วิพฺภนฺตโก ความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ถอยกลับ.
บทว่า ภนฺตยานปาฏิภาโค ความว่า เช่นกับยานที่ไม่ตั้งมั่น.
บทว่า อุปฺปถํ คณฺหาติ ความว่า ถอยกลับจากกุศลกรรมบถเข้า ไปนอกทาง คือทางผิด ซึ่งเป็นทางแห่งอบาย.
บทว่า วิสมํ กายกมฺมํ อภิรูหติ ความว่า ย่อมขึ้นสู่กายกรรม อันไม่เสมอ กล่าวคือกายทุจริต อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความเสมอ แม้ใน บทที่เหลือทั้งหลายก็นัยนี้แหละ.
บทว่า นิรเย อตฺตานํ ภญฺชติ ความว่า กระทำอัตภาพให้ แหลกละเอียด ในนรก กล่าวคือที่หาความยินดีมิได้.
บทว่า มนุสฺสโลเก อตฺตานํ ภญฺชติ ความว่า ย่อมทำลาย ด้วยสามารถแห่งการกระทำกรรมมีอย่างต่างๆ.
บทว่า เทวโลเก อตฺตานํ ภญฺชติ ความว่า ด้วยสามารถแห่ง ทุกข์ มีทุกข์เกิดแต่ความพลัดพรากจากของรักเป็นต้น.
บทว่า ชาติปปาตมฺปิ ปปตติ ความว่า ตกไปในเหวคือชาติ บ้าง แม้ในบทว่า ชราปปาต เป็นต้น ก็นัยนี้แหละ. พระสารีบุตร เถระแสดงโลกที่ประสงค์ในที่นี้นั่นแล ด้วยบทว่า มนุสฺสโลเก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 715
บทว่า ปุถุชฺชนา เป็นบทอุทเทสแห่งบทที่จะต้องชี้แจง บรรดา บทที่จะต้องชี้แจง บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุถุชฺชนา ความว่า :-
ชื่อว่าปุถุชน ด้วยเหตุทั้งหลายมีการยังกิเลสหนา ให้เกิดเป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ชนนี้ชื่อว่ามีกิเลสหนา เพราะหยั่งลงภายในชนที่มีกิเลสหนา ดังนี้แล.
ก็ชนนั้นชื่อว่าปุถุชน ด้วยเหตุทั้งหลายมีการยังกิเลสเป็นต้นที่หนา คือมีประการต่างๆ ให้เกิดเป็นต้น เพื่อจะแสดงปุถุชนนั้นโดยวิภาค พระ สารีบุตรเถระจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปุถู กิเลเส ชเนนฺติ ดังนี้ ชื่อว่า ปุถุชนในนิทเทสนั้นเพราะอรรถว่า ยังสักกายทิฏฐิเหล่านั้นให้เกิด หรือ อันสักกายทิฏฐิเหล่านั้นให้เกิด เพราะยังกำจัดสักกายทิฏฐิมีประการต่างๆ เป็นอันมากไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง ชนศัพท์ ย่อมกล่าวถึงว่ายังกำจัดไม่ได้ นั่นเอง.
ในบทว่า ปุถุ สตฺถารานํ มุขุลฺโลกิกา นี้มีเนื้อความของคำว่า ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่า มีปฏิญญาต่อศาสดาทั้งหลายมากคือต่างๆ.
ในบทว่า ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฏิตา นี้ชื่อว่า เกิดคติ เพราะ อรรถว่าพึงให้เกิด หรือเป็นที่เกิด ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า มีกิเลส เกิดมาก ชื่อว่า เกิดอภิสังขารเป็นต้น เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเกิดกิเลส นอกนี้ ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า มีอภิสังขารเหล่านี้ พึงเห็นว่าชนศัพท์มีเนื้อความว่าปรุงแต่งเป็นต้นนั่นเอง.
บทว่า นานาสนฺตาเปหิ สนฺตปฺปนฺติ ความว่า ความเดือด ร้อนทั้งหลายมีไฟคือราคะเป็นต้น เหล่านั้นแหละ หรือแม้ทั้งหมด ชื่อว่า กิเลสเครื่องเร่าร้อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 716
ในบทว่า ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ นี้ชื่อว่า ชน เพราะอรรถ ว่าเกิด ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า มีการเกิด มีอาทิอย่างนี้ว่า ความ กำหนัด ความต้องการมาก อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นว่าชนศัพท์ลงในอรรถ ว่า กำหนัดเป็นต้นนั่นเอง อย่างนี้ว่า เกิดแล้ว กำหนัดแล้ว มาก.
บทว่า ปลิพุทฺธา ความว่า พัวพัน.
บทว่า อาวุฏา ความว่า ร้อยรัด.
บทว่า นิวุฏา ความว่า กั้น.
บทว่า โอผุฏา ความว่า ปิดเบื้องบน.
บทว่า ปิหิตา ความว่า ปิดเบื้องล่าง.
บทว่า ปฏิจฺฉนฺนา ความว่า ไม่ปรากฏ.
บทว่า ปฏิกุชฺชิตา ความว่า ครอบไว้.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน แม้เพราะหยั่งลงภายในของพวกกิเลส หนา หรือของเหล่าชนผู้หันหลังให้อริยธรรม ประพฤติเอื้อเฟื้อธรรมต่ำ ทราม ซึ่งเหลือที่จะนับได้. ชื่อว่า ปุถุชน แม้เพราะอรรถว่า บุคคลนี้ มีกิเลสหนาบ้าง เป็นชนผู้ถึงการนับ คือคลุกคลีด้วยอริยชนผู้ประกอบด้วย คุณมีศีลและสุตะเป็นต้นบ้าง ปุถุชนอย่างนี้ ได้แก่ปุถุชน ๒ พวกที่ท่าน กล่าวว่า :-
พระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ตรัสปุถุชน ๒ จำพวก คืออันธพาลปุถุชน ๑ กัลยาณปุถุชน ๑.
ใน ๒ จำพวกนั้น อันธพาลปุถุชนพึงทราบว่า เป็นผู้ที่ท่านกล่าวถึง.
บทว่า ยโส กิตฺตี จ ได้แก่ลาภสักการะและความสรรเสริญ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 717
บทว่า ปุพฺเพ ได้แก่ ในความเป็นบรรพชิต.
บทว่า หายเต วาปิ ตสฺส สา ความว่า ยศนั้นด้วย เกียรติ นั้นด้วย ของภิกษุนั้นคือผู้หมุนไปผิด ย่อมเสื่อมไป.
บทว่า เอตมฺปิ ทิสฺวา ความว่า เห็นการได้ยศและเกียรติในกาล ก่อน และความเสื่อมในภายหลังแม้นั้น.
บทว่า สิกฺเขถ เมถุนํ วิปฺปหาตเว ความว่า พึงศึกษาสิกขา ๓ เพื่อเหตุอะไร เพื่อละเมถุนธรรม มีอธิบายว่า เพื่อต้องการละเมถุนธรรม.
บทว่า กิตฺติวณฺณภโต ความว่า ภิกษุผู้ได้รับสรรเสริญเกียรติคุณ ย่อมเป็นผู้ยกเสียงสรรเสริญ และคุณที่พรรณนาขึ้นกล่าว ชื่อว่า มีถ้อยคำ ไพเราะ เพราะอรรถว่า มีการกล่าวโดยนัยต่างๆ ไพเราะ.
บทว่า กลฺยาณปฏิภาโณ ความว่า มีปัญญาดี.
บทว่า หายติ เป็นบท อุทเทส แห่งบทที่ต้องชี้แจง.
บทว่า ปริหายติ ความว่า ย่อมเสื่อมไปโดยรอบ.
บทว่า ปริธํสติ ความว่า ย่อมตกไปเบื้องต่ำ.
บทว่า ปริปตฺติ ความว่า ย่อมไปปราศโดยรอบ.
บทว่า อนฺตรธายติ ความว่า ย่อมถึงการเห็นไม่ได้.
บทว่า วิปฺปลุชฺชติ ความว่า ย่อมทำลาย.
บทว่า ขุทฺทโก สีลกฺขนฺโธ ได้แก่ ถุลลัจจัยเป็นต้น.
บทว่า มหนฺโต สีลกฺขนฺโธ ได้แก่ ปาราชิกและสังฆาทิเสส.
บทว่า เมถุนธมฺมสฺส ปหานาย ความว่า เพื่อต้องการละด้วย ตทังคปหานเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 718
บทว่า วูปสมาย ความว่า เพื่อต้องการเข้าไปสงบมลทินทั้งหลาย.
บทว่า ปฏินิสฺสคฺคาย ความว่า เพื่อต้องการแล่นไป สละขาด และสละคืน.
บทว่า ปฏิปสฺสทฺธิยา ความว่า เพื่อต้องการผล กล่าวคือความ สงบระงับ.
ก็ภิกษุใดไม่ละเมถุนธรรม ภิกษุนั้นถึงพร้อมด้วยความดำริ ย่อม ซบเซา เหมือนคนกำพร้าได้ยินเสียงติเตียนของชนเหล่าอื่นแล้ว ย่อมเป็น ผู้เก้อเขิน เป็นผู้เช่นนั้นแล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปเรโต ความว่า ประกอบ.
บทว่า ปเรสํ นิคฺโฆสํ ความว่า คำติเตียนของอุปัชฌาย์เป็นต้น.
บทว่า มงฺกุ โหติ ความว่า เป็นผู้เสียใจ.
บทว่า กามสงฺกปฺเปน ความว่า อันวิตกที่ปฏิสังยุตด้วยกามแม้ ในบทที่ตั้งอยู่เหนือๆ ขึ้นไป ก็นัยนี้แหละ.
บทว่า ผุฏฺโ ความว่า อันวิตกทั้งหลายถูกต้องแล้ว.
บทว่า ปเรโต ความว่า ไม่เสื่อมรอบ.
บทว่า สโมหิโต ความว่า ปลง คือเข้าไปในภายในโดยชอบ.
บทว่า กปโณ วิย ความว่า เหมือนคนตกยาก.
บทว่า มนฺโท วิย ความว่า เหมือนคนไม่มีความรู้.
บทว่า โมมูโห วิย ความว่า เหมือนคนลุ่มหลง.
บทว่า ฌายติ ความว่า ย่อมคิด.
บทว่า ปชฺฌายติ ความว่า ย่อมคิดหนัก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 719
บทว่า นิชฺฌายติ ความว่า ย่อมคิดหลายอย่าง.
บทว่า อวชฺฌายติ ความว่า ย่อมคิดนอกไปจากนั้น.
บทว่า อุลูโก ได้แก่ นกเค้าแมว.
บทว่า รุกฺขสาขายํ ความว่า ที่กิ่ง ซึ่งตั้งขึ้นบนต้นไม้ หรือที่ ค่าคบ.
บทว่า มูสิกํ คมยมาโน ความว่า แสวงหาหนู, อาจารย์บาง ท่านกล่าวว่า มคฺคยมาโน ดังนี้ก็มี.
บทว่า โกตฺถุ ได้แก่ สุนัขจิ้งจอก.
บทว่า วิลาโร ได้แก่ แมว.
บทว่า สนฺธิสมลสปงฺกตีเร ความว่า ในระหว่างเรือน ๒ หลังที่ ท่อน้ำ เปือกตม ที่ทิ้งหยากเยื่อ และที่เนินค่าย.
บทว่า วหจฺฉินฺโน ความว่า มีเนื้อหลังและคอขาดไป คาถาต่อ จากนี้ปรากฏความเกี่ยวเนื่องกันแล้วทั้งนั้น.
บทว่า สตฺถานิ ในคาถานั้น ได้แก่ กายทุจริตเป็นต้น ก็กาย ทุจริตเป็นต้นเหล่านั้น ท่านเรียกว่า ศัสตรา เพราะอรรถว่า ตัดทั้งตน และผู้อื่น ก็ภิกษุนี้ เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้าสึกเพราะเหตุนี้ ชื่อว่าย่อมกระทำ ศัสตรา คือกล่าวเท็จแต่ต้นก่อนโดยวิเสส ในบรรดาศัสตราเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เอส ขฺวสฺส มหา เคโธ โมสวชฺชํ ปคาหติ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอส ขฺวสฺส ตัดบทเป็น เอโส โข อสฺส.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 720
บทว่า มหาเคโธ ได้แก่ เครื่องผูกพันใหญ่หากจะถามว่า เป็น ไฉน? ก็ได้แก่ การหยั่งลงสู่มุสาวาท พึงทราบว่า เป็นเครื่องผูกพันของ ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นย่อมหยั่งลงสู่ความเป็นผู้พูดเท็จ.
บทว่า ตีณิ สตฺถามิ ได้แก่ เครื่องตัด ๓ อย่าง กายทุจริตทั้ง หลายชื่อว่าศัสตราทางกาย แม้ในศัสตราทางวาจาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือน กันเพื่อจะแสดงศัสตรานั้นเป็นส่วนๆ พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า ติวิธํ กายทุจฺจริตํ กายสตฺถํ ดังนี้.
บทว่า สมฺปชานมุสา ภาสติ ความว่า รู้อยู่กล่าววาจาไร้ ประโยชน์.
บทว่า อภิรโต อหํ ภนฺเต อโหสึ ปพฺพชฺชาย ความว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้มิได้เว้นจากความยินดียิ่งต่อการบรรพชาในพระศาสนา.
บทว่า มาตา เม โปเสตพฺพา ความว่า ข้าพเจ้าเลี้ยงดูมารดา.
บทว่า เตนฺมหิ วิพฺภนฺโตติ ภณติ ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ก้าวกลับคือลาสิกขา. แม้ในบทว่า ปิตา มยา โปเสตพฺโพ ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงบิดา เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า เอโส ตสฺส มหาเคโธ ความว่า การกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ นั้นเป็นเครื่องผูกพันใหญ่ของบุคคลนั้น.
บทว่า มหาวนํ ได้แก่ ป่าใหญ่.
บทว่า คหณํ ได้แก่ ก้าวล่วงได้ยาก.
บทว่า กนฺตาโร ความว่า เช่นกับกันดารเพราะโจรเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 721
บทว่า วิสโม ความว่า ไม่เสมอเพราะหนาม.
บทว่า กุฏิโล ความว่า เช่นกับโค้ง.
บทว่า ปงฺโก ความว่า เช่นกับสระน้อย.
บทว่า ปลิโป ความว่า เช่นกับเปือกตม.
บทว่า ปลิโพโธ ความว่า เข้าถึงได้ยากมาก.
บทว่า มหาพนฺธนํ ความว่า เครื่องผูกรัดใหญ่เปลื้องได้ยาก.
บทว่า ยทิทํ สมฺปชานมุสาวาโท ความว่า การกล่าวเท็จทั้งรู้ อยู่นี้ใด.
บทว่า สภคฺคโต วา ความว่า อยู่ในสภาก็ดี.
บทว่า ปริสคฺคโต วา ความว่า อยู่ในที่ประชุมชาวบ้านก็ดี.
บทว่า าติมชฺฌคโต วา ความว่า อยู่ท่ามกลางทายาททั้งหลาย ก็ดี.
บทว่า ปูคมชฺฌคโต วา ความว่า อยู่ท่ามกลางกองทหารก็ดี.
บทว่า ราชกุลมชฺฌคโต วา ความว่า อยู่ในที่วินิจฉัยใหญ่ท่าม กลางราชสกุลก็ดี.
บทว่า อภินีโต ความว่า ถูกนำไปเพื่อต้องการถาม.
บทว่า สกฺขิปุฏฺโ ความว่า ถูกถามเป็นพยาน.
บทว่า เอหิ โภ ปุริส นี้เป็นคำร้องเรียก.
บทว่า อตฺตเหตุ วา ปรเหตุ วา ความว่า เพราะเหตุแห่ง อวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นบ้าง เพราะเหตุแห่งทรัพย์บ้าง ของตนบ้างของ ผู้อื่นบ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 722
บทว่า อามิส ในบทว่า อามิสกิญฺจิกฺขเหตุ วา นี้ ท่าน ประสงค์เอาลาภ.
บทว่า กิญฺจิกฺขํ ความว่า อามิสอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีประมาณ น้อยโดยที่สุดเพียงนกกระทา นกกระจาบ ก้อนเนยใสและก้อนเนยข้นเป็น ต้น อธิบายว่า เพราะเหตุแห่งลาภบางอย่าง.
บทว่า สมฺปชานมุสา ภาสติ ความว่า รู้อยู่นั่นแลทำมุสาวาท.
อนึ่ง พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงปริยายอื่นอีก จึงกล่าวคำเป็น ต้นว่า ตีหากาเรหิ มุสาวาโท โหติ ปุพฺเพวสฺส โหติ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตีหากาเรหิ ความว่า ด้วยเหตุ ๓ อย่าง ซึ่งเป็นองค์ของสัมปชานมุสาวาท.
บทว่า ปุพฺเพวสฺส โหติ ความว่า ในกาลอันเป็นส่วนเบื้องต้น นั่นแล บุคคลนั้นมีความรู้อย่างนี้ว่า เราจักพูดเท็จ.
บทว่า ภณนฺตสฺส โหติ ความว่าเมื่อกำลังพูดก็รู้.
บทว่า ภณิตสฺส โหติ ความว่า เมื่อพูดแล้วบุคคลนั้นก็รู้ อธิบาย ว่า เมื่อกล่าวคำที่พึงกล่าวนั้นแล้ว ก็รู้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ภณิตสฺส ความว่าเมื่อกล่าวออกไปแล้ว คือ พูดจบแล้ว ก็รู้ ในข้อนี้ท่านแสดงเนื้อความดังนี้ว่า บุคคลใดย่อมรู้แม้ ในกาลอันเป็นส่วนเบื้องต้น คือแม้กำลังกล่าวอยู่ก็รู้ แม้ภายหลังก็รู้ ว่าเรา กล่าวเท็จแล้ว บุคคลนั้นเมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ ย่อมถูกมัดด้วยกรรมคือกล่าว เท็จ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 723
ในข้อนี้ท่านแสดงเนื้อความไว้แล้วก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีเนื้อ ความพิเศษ ดังต่อไปนี้ :- ถามก่อนว่า กาลอันเป็นส่วนเบื้องต้นว่าเราจัก กล่าวเท็จ มีอยู่, กาลอันเป็นส่วนภายหลังว่า เรากล่าวเท็จแล้ว ไม่มี. เพียง คำที่กล่าวเท่านั้น ใครๆ ก็ลืมได้ จะเป็นมุสาวาทแก่บุคคลนั้นหรือไม่? คำถามนั้นท่านวิสัชนาไว้แล้วในอรรถกถาทั้งหลายอย่างนี้ ในตอนแรก รู้ว่าเราจักกล่าวเท็จ และเมื่อกล่าวอยู่ ก็รู้ว่าเรากำลังกล่าวเท็จ. ในตอนหลัง รู้ว่าเรากล่าวเท็จแล้ว ใครๆ ไม่อาจที่จะไม่เป็น แม้หากจะไม่เป็นก็คงเป็น มุสาวาทอยู่นั่นเอง ด้วยว่า ๒ องค์แรกนั่นแลเป็นประมาณ. แม้ผู้ใดใน ตอนแรกไม่ตั้งใจว่าเราจักกล่าวเท็จ แต่เมื่อกล่าว รู้ว่าเรากำลังกล่าวเท็จ แม้เมื่อกล่าวแล้ว ก็รู้ว่าเรากล่าวเท็จแล้ว ไม่พึงปรับผู้นั้นด้วยมุสาวาท เพราะตอนแรกเป็นประมาณกว่า เมื่อไม่เป็นมุสาวาท ย่อมเป็นการกล่าว เล่นหรือกล่าวเสียงร้องเท่านั้น.
อนึ่ง พึงสละภาวะคือญาณในมุสาวาทนั้น และการประชุมแห่งญาณ ในข้อนี้เสีย.
บทว่า ตญฺาณตา ปริจฺจิตพฺพา ความว่า บุคคลย่อมรู้ว่า เราจักกล่าวเท็จ ด้วยจิตดวงใด ย่อมรู้ว่าเรากล่าวเท็จ และว่าเรากล่าวเท็จ แล้ว ด้วยจิตดวงนั้นนั่นเอง ย่อมรู้ในขณะ ๓ ด้วยจิตดวงเดียวนั่นแหละ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้ ฉะนั้นจึงควรสละภาวะคือญาณในมุสาวาทนั้นอัน นี้เสีย ด้วยว่าบุคคลไม่อาจจะรู้จิตดวงนั้นด้วยจิตดวงนั้นนั่นเองได้เหมือน ไม่อาจจะใช้ดาบเล่มนั้นนั่นเองฟันดาบเล่มนั้นได้ ก็จิตดวงแรกๆ เป็น ปัจจัยตามที่เกิดขึ้นของจิตดวงหลังๆ แล้วดับไป เพราะเหตุนั้นท่านจึง กล่าวว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 724
กาลอันเป็นส่วนเบื้องต้นแลเป็นประมาณ เมื่อกาล อันเป็นส่วนเบื้องต้นนั้นมีอยู่ กาลทั้ง ๒ นั้นจึงไม่มี วาจา ประกอบด้วยองค์ ๓ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า าณสโมธานํ ปริจฺจชิตพฺพํ ความว่าจิต ๓ ดวงเหล่า นี้ไม่พึงถือเอาว่า ย่อมเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ก็ชื่อว่าจิตนี้ :-
เมื่อดวงแรกยังไม่ดับ ดวงหลังย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะ เกิดขึ้นติดๆ กัน จึงปรากฏเหมือนดวงเดียว.
ต่อแต่นี้ บุคคลนี้ใดไม่รู้อยู่เลย กล่าวเท็จทั้งรู้โดยนัยเป็นต้นว่า เรา รู้เพราะบุคคลนั้นมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า นี้ไม่จริง บุคคลนั้นก็มีลัทธิอยู่ดังนี้เท่า นั้น. อนึ่งบุคคลนั้นเห็นด้วยและชอบใจอย่างนี้ว่า นี้ไม่จริง บุคคลนั้นมี ความสำคัญอย่างนี้ มีสภาวะอย่างนี้เท่านั้น และมีจิตว่า นี้ไม่จริง. แต่ เมื่อใดประสงค์จะกล่าวเท็จ เมื่อนั้นเขาปิดบัง คือทอดทิ้ง ปกปิด ซึ่ง ทิฏฐินั้นบ้าง, ซึ่งความควรกับทิฏฐิบ้าง, ซึ่งความชอบใจกับทิฏฐิและ ความควรบ้าง, ซึ่งความสำคัญกับทิฏฐิความควรและความชอบใจบ้าง, ซึ่งความจริงกับทิฏฐิความควรความชอบใจและความสำคัญบ้าง ย่อมกล่าว ไม่เด่นชัด ฉะนั้นเพื่อจะแสดงประเภทขององค์ด้วยสามารถแห่งทิฏฐิเป็น ต้นแม้เหล่านั้น พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า อปิจ จตูหากาเรหิ เป็นต้น.
บทว่า วินิธาย ทิฏึ ในที่นี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการ ปิดบังธรรมที่มีกำลัง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 725
บทว่า วินิธาย ขนฺตึ เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการ ปิดบังธรรมที่ทุรพลกว่านั้น.
แต่บทว่า วินิธาย สญฺํ นี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการปิด บังธรรมที่ทุรพลทั้งหมดในที่นี้. ข้อว่าบุคคลไม่ปิดบังชื่อแม้เพียงความ สำคัญ จักกล่าวเท็จทั้งรู้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้แล.
บทว่า มนฺโทว ปริกิสฺสติ ความว่า กระทำการฆ่าสัตว์เป็นต้น เสวยทุกข์ซึ่งมีเหตุเกิดแต่การฆ่าสัตว์เป็นต้นนั้น กระทำการแสวงหาและ การรักษาโภคสมบัติ ย่อมเศร้าหมองเหมือนคนหลงใหล.
บทว่า ตเมนํ ราชาโน คเหตฺวา วิวิธา กมฺมกรณา กาเรนฺติ ความว่า พระราชาทั้งหลายมิได้ทรงกระทำเอง พวกบุรุษผู้จัดแจงของ พระราชากระทำกรรมกรณ์มีอย่างต่างๆ.
บทว่า กสาหิปิ ตาเฬนฺติ ความว่า คุกคามด้วยท่อนแส้บ้าง.
บทว่า เวตฺเตหิ ได้แก่ เส้นหวาย.
บทว่า อฑฺฒทณฺฑเกหิ ได้แก่ ไม้ค้อนหรือไม้พลองที่ตัดท่อน ละ ๔ ศอก ๒ ท่อน ถือเอาเพื่อให้สำเร็จการประหาร.
บทว่า พิลงฺคถาลิกํ ได้แก่ กรรมกรณ์แบบหม้อข้าวต้ม เมื่อ กระทำกรรมกรณ์นั้น เปิดกระโหลกศีรษะ เอาคีมจับก้อนเหล็กแดงที่ร้อน ใส่เข้าในกระโหลกศีรษะนั้น มันสมองเดือดล้นออกเพราะเหตุนั้น.
บทว่า สงฺขมุณฺฑิกํ ได้แก่ กรรมกรณ์แบบทำให้เกลี้ยงเหมือน สังข์เมื่อการทำกรรมกรณ์นั้น เฉือนหนัง กำหนดเหนือริมฝีปากถึงจอนหู
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 726
สองข้างวงไปรอบคอ แล้วรวบเส้นผมทั้งหมดเป็นขมวดพันท่อนไม้เพิก ขึ้นหนังกับผมทั้งหลายจะตั้งขึ้น ต่อนั้นเอาก้อนกรวดหยาบๆ ขัดกระโหลก ศีรษะ ล้างทำให้มีสีเหมือนสังข์.
บทว่า ราหุมุขํ ได้แก่ กรรมกรณ์แบบหน้าราหู เมื่อกระทำ กรรมกรณ์นั้น เปิดปากด้วยหอกแล้วเอาไฟลุกโพลงใส่ภายในปาก หรือ เอาสิ่วเจาะตั้งแต่จอนหูทั้งสองข้างจนถึงปาก เลือดไหลออกเต็มปาก.
บทว่า โชติมาลิกํ ความว่า เอาผ้าชุบน้ำมันพันสรีระทั้งสิ้นแล้ว เอาไฟเผา. บทว่า หตฺถปชฺโชติกํ ความว่า เอาผ้าชุบน้ำมันพันมือทั้งสอง แล้วจุดไฟให้ลุกโพลงต่างประทีป.
บทว่า เอรกวตฺติกํ ได้แก่ กรรมกรณ์แบบเป็นไปบนตะใคร่น้ำ เมื่อการทำกรรมกรณ์นั้น ถลกหนังหุ้มตัวตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้า ลำดับ นั้นเอาเชือกผูกเขาแล้วฉุดไป เขาเหยียบๆ หนังหุ้มตัวของตนล้มลง.
บทว่า จิรกวาสิกํ ได้แก่ กรรมกรณ์แบบนุ่งผ้าคากรอง เมื่อ กระทำกรรมกรณ์นั้น ถลกหนังหุ้มตัวเหมือนอย่างนั้นแลลงไปแค่สะเอว แล้วถลกหนังตั้งแต่สะเอวลงไปถึงข้อเท้า หนังตอนบนหุ้มห่อสรีระตอน ล่างเหมือนนุ่งผ้าคากรอง.
บทว่า เอเณยฺยกํ ได้แก่ กรรมกรณ์แนบเนื้อทราย เมื่อกระทำ กรรมกรณ์นั้น สวมปลอกเหล็กที่ข้อศอกสองข้าง และเข่าสองข้างแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 727
เสียบหลาวเหล็ก เขาอยู่บนพื้นดินด้วยหลาวเหล็ก ๔ เล่ม ลำดับนั้น คน ทั้งหลายใส่ไฟรอบตัวเขา เขาเหมือนเนื้อทรายที่ไฟติดโชติช่วง แม้ใน อาคตสถานท่านก็กล่าวดังนี้แหละ ด้วยประการฉะนี้ คนทั้งหลายถอน หลาวออกจากที่เสียบแล้ววางเขาไว้ด้วยปลายกระดูก ๔ ท่อนเท่านั้น นอก จากเหตุเห็นปานนี้ไม่มีอะไรเหลือ.
บทว่า พฬิสมํสิกํ ความว่า เอาเบ็ดสองหน้าเกี่ยวหนังเนื้อเอ็น ออกมา.
บทว่า กหาปณกํ ความว่า เอามีดคมๆ เฉือนสรีระทั้งสิ้น ตั้งแต่ ศีรษะออกเป็นแว่นๆ เท่าเหรียญกษาปณ์.
บทว่า ขาราปตจฺฉิกํ ความว่า ใช้อาวุธต่างๆ ทิ่มแทงสรีระตาม ที่นั้นๆ แล้วเอาขี้เถ้าขัดถูด้วยแปรงหวายจนหนังเนื้อเอ็นหลุดไหลออก เหลือตั้งอยู่แต่โครงกระดูกเท่านั้น.
บทว่า ปลิฆปริวตฺติกํ ความว่า ให้นอนตะแคงข้างหนึ่งแล้วเสียบ หลาวเหล็กในช่องหูทะลุลงติดแผ่นดิน ต่อนั้นก็จับเท้าเขาหมุนไปรอบๆ.
บทว่า ปลาลปีกํ ความว่า ผู้รู้เหตุการณ์ที่ฉลาดถลกหนังออก แล้วใช้ที่รองหินลับมีดทุบกระดูกทั้งหลาย จับที่ผมยกขึ้นเป็นกองเนื้อที่ เดียว ต่อนั้นก็หุ้มห่อเขาด้วยผมทั้งหลายนั่นแหละจับไว้ พันทำเป็นเหมือน ดั่งใบไม้.
บทว่า สุนเขหิปิ ความว่า ให้สุนัขที่หิวเพราะไม่ให้อาหารมา ๒ - ๓ วันกัดกิน ครู่เดียวพวกสุนัขเหล่านั้นก็กัดกินเหลือแต่โครงกระดูกเท่า นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 728
บทว่า เอวมฺปิ กิสฺสติ ความว่า ย่อมถึงความพิฆาตแม้ด้วย ประการฉะนี้.
บทว่า ปริกิสฺสติ ความว่า ย่อมถึงความพิฆาตโดยส่วนทั้งปวง.
บทว่า ปริกิลิสฺสติ ความว่า ย่อมถึงความหวาดเสียว.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงเหตุการณ์อย่างอื่นอีก จึงกล่าวคำเป็น ต้นว่า อถวา กามตณฺหาย อภิภูโต ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามตณฺหาย ได้แก่ ความโลภที่ ประกอบด้วยกามคุณ ๕.
บทว่า อภิภูโต ความว่า ย่ำยีแล้ว.
บทว่า ปริยาทินฺนจิตฺโต ความว่า มีจิตถูกกามตัณหายึดไว้ยัง อาจาระที่เป็นกุศลให้สิ้นไป.
บทว่า โภเคปริเยสนฺโต ความว่า แสวงหาทรัพย์.
บทว่า นาวาย มหาสมุทฺทํ ปกฺขนฺทติ ความว่า เข้าไปสู่สาคร ที่มีเกลือด้วยเรือกล่าวคือเรือกำปั่น.
บทว่า สีตสฺส ปุรกฺขโต ความว่า ผจญหนาว.
บทว่า อุณฺหสฺส ปุรกฺขโต ความว่า ผจญร้อน.
บทว่า ฑํสา ได้แก่ แมลงวันเหลืองอ่อน.
บทว่า มกสา ได้แก่ ยุงนั่นเอง.
บทว่า ริสฺสมาโน ความว่า ถูกสัมผัสแห่งเหลือบเป็นต้นเบียดเบียน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 729
บทว่า ขุปฺปิปาสาย ปีฬิยมาโน ความว่า ถูกความหิวความ กระหายย่ำยี.
บท ๒๔ บท มีบทว่า คุมฺพํ คจฺฉติ เป็นต้น มีบทว่า มรุกนฺตารํ คจฺฉติ เป็นที่สุด ท่านกล่าวโดยนามของรัฐ.
บทว่า มรุกนฺตารํ คจฺฉาติ ความว่า เดินทางทะเลทรายโดยใช้ ดาวเป็นสำคัญ.
บทว่า ชณฺณุปถํ ได้แก่ ทางที่ต้องไปด้วยเข่า.
บทว่า อชปถํ ได้แก่ ทางที่ต้องไปด้วยแพะ แม้ในทางที่ต้องไป ด้วยแกะ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สงฺกุปถํ ได้แก่ ทางที่ต้องไปด้วยหลัก ซึ่งต้องดอกหลัก ทั้งหลายแล้วก้าวลงไปตามหลักเหล่านั้น เมื่อจะไปทางนั้น ยืนที่เชิงเขาเอา เชือกผูกกระจับเหล็กโยนขึ้นไปให้คล้องภูเขาแล้วโหนเชือกขึ้นไป แล้วเอา เหล็กสกัดซึ่งมีปลายแข็งเหมือนเพชรเจาะภูเขาตอกหลัก ยืนบนหลักนั้น แขวนเชือกหนังไว้ ถือเชือกหนังนั้นลงไปผูกที่หลักอันล่าง มือซ้ายจับ เชือก มือขวาถือค้อน แก้เชือกถอนหลักออกแล้วขึ้นสูงขึ้นไปอีก คือตอก ทอย โดยอุบายนี้ เขาขึ้นถึงยอดเขาข้ามลงไปเบื้องหน้า ตอกหลักบนยอด เขาก่อนโดยนัยแรกนั่นแหละ ผูกเชือกที่กระเช้าหนัง พันหลักไว้ ตัวเอง นั่งภายในกระเช้า โรยเชือกลงโดยอาการแมลงมุมชักใย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทางที่ต้องตอกหลักทั้งหลายแล้วก้าวลงไปตามหลักเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 730
บทว่า ฉตฺตปถํ ได้แก่ ทางที่ต้องถือร่มหนังอุ้มลมร่อนไปเหมือน นกทั้งหลาย.
บทว่า วํสปถํ ความว่า บทว่า วํสปถํ คจฺฉติ พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายเอาทางที่บุคคลเมื่อทำทางใช้มีดสำหรับตัดตัดกอไผ่ ใช้ขวาน ผ่าต้นไม้ ทำบันไดในป่าไผ่ ขึ้นบนกอไผ่ ตัดไม้ไผ่ให้ล้มทับไผ่กออื่น แล้วเดินไปตามยอดกอไผ่นั่นแหละ.
บทว่า คเวสนฺโต น วินฺทติ อลาภมูลกมฺปิ ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติ ความว่า ย่อมได้รับทุกข์กายทุกข์ใจแม้มีความไม่ได้เป็นมูล.
บทว่า ลทฺธา แปลว่า ครั้นได้แล้ว.
บทว่า อารกฺขมูลกํ ความว่า แม้มีการรักษาเป็นมูล.
บทว่า กินฺติ เม โภเค ความว่า ด้วยวิตกอยู่ว่า ด้วยอุบายอะไร พระราชาจึงจะไม่ริบโภคทรัพย์ของเรา พวกโจรจะไม่ลักไป ไฟจะไม่ไหม้ น้ำจะไม่พัดไป พวกทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่ขนเอาไป.
บทว่า โคปยโต ความว่า คุ้มครองด้วยหีบเป็นต้น.
บทว่า วิปฺปลุชฺชนฺติ ความว่า พินาศ.
บทว่า เอตมาทีนวํ ตฺวา มุนิ ปพฺพาปเร อิธ ความว่า มุนี ทราบโทษนั้น คือความเป็นฆราวาสอื่นแต่ความเป็นสมณะก่อน ที่กล่าว ไว้จำเดิมแต่นี้ว่า ยศและเกียรติที่เสื่อมไปในกาลก่อนนั้นของภิกษุนั้น ใน ความเป็นฆราวาสอื่นแต่ความเป็นสมณะก่อน คือในความเป็นผู้สึกจาก ความเป็นสมณะในศาสนานี้.
บทว่า ทฬฺหํ กเรยฺย เป็นบทอุทเทสของบทที่จะต้องชี้แจง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 731
บทว่า ถิรํ กเรยฺย ความว่า พึงกระทำให้ไม่ย่อหย่อน.
บทว่า ทฬฺหสมาทาโน อสฺส ความว่า พึงเป็นผู้มีปฏิญญามั่นคง.
บทว่า อวฏฺิตสมาทาโน ความว่า มีปฏิญญาตั้งลงพร้อม.
บทว่า เอตทริยานมุตฺตมํ ความว่า ความประพฤติวิเวกนั้น เป็น กิจอันสูงสุดของพระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น อธิบายว่า เพราะ ฉะนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาวิเวกทีเดียว.
บทว่า น เตน เสฏฺโ มญฺเถ ความว่า ไม่พึงสำคัญตนว่า เราเป็นผู้ประเสริฐสุด ด้วยความสงัดนั้น ท่านอธิบายว่า ไม่พึงเป็นผู้กระ ด้างเพราะมานะด้วยความสงัดนั้น.
บทว่า อุณฺณตึ ได้แก่ การยกขึ้น.
บทว่า อุณฺณมํ ได้แก่ การตั้งตนขึ้นไว้สูง.
บทว่า มานํ ได้แก่ ความก้าวร้าวด้วยความถือดี.
บทว่า ถมฺภํ ได้แก่ ทำตามอำเภอใจ.
บทว่า พนฺติ ได้แก่ เหตุผูกพัน.
บทว่า ถทฺโธ ได้แก่ ไม่อ่อนโยน.
บทว่า ปตฺถทฺโธ ได้แก่ ไม่อ่อนโยนโดยพิเศษ.
บทว่า ปคฺคหิตสิโร ได้แก่ หัวสูง.
บทว่า สมนฺตา ได้แก่ ไม่ห่าง.
บทว่า อาสนฺเน ได้แก่ ไม่ไกล.
บทว่า อวิทูเร ได้แก่ ใกล้.
บทว่า อุปกฏฺเ ได้แก่ ในสำนัก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 732
บทว่า ริตฺตสฺส ความว่า ว่าง คือเว้นจากกายทุจริตเป็นต้น.
บทว่า โอฆติณฺณสฺส ปิหยนฺติ กาเมสุ คธิตา ปชา ความว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ข้องอยู่ในวัตถุกามย่อมรักใคร่ต่อมุนีนั้น ผู้ข้ามโอฆะ ๔ ได้ แล้ว เหมือนคนเป็นหนี้รักใคร่ต่อคนไม่เป็นหนี้ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาด้วยยอดคือพระอรหัตต์ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ริตฺตสฺส ได้แก่ ว่างจากกิเลสทุกอย่าง.
บทว่า วิวิตฺตสฺส ได้แก่ เปล่า.
บทว่า ปวิวิตฺตสฺส ได้แก่ ผู้เดียว.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงกิเลสทั้งหลายที่มุนีว่างเว้น จึง กล่าวคำเป็นต้นว่า กายทุจฺจริเตน ริตฺตสฺส ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความว่าง ๒ อย่างคือ ตามลำดับกิเลส อย่าง ๑ ตามลำดับมรรคอย่าง ๑ พึงทราบตามลำดับกิเลสก่อน มุนีเป็น ผู้ว่างจากกิเลส ๖ อย่างเหล่านี้ คือ ราคะ โมหะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ มทะ ด้วยอรหัตตมรรค. เป็นผู้ว่างจากกิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ โทสะ โกธะ อุปนาหะ ปมาทะ ด้วยอนาคามิมรรค. เป็นผู้ว่างจากกิเลส ๗ อย่าง เหล่านี้ คือ อติมานะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ด้วยโสดาปัตติมรรค.
ส่วนตามลำดับมรรค พึงทราบดังต่อไปนี้ มุนีเป็นผู้ว่างจากกิเลส ๗ อย่างเหล่านี้ คือ อติมานะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ด้วยโสดาปัตติมรรค. เป็นผู้ว่างจากกิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ โทสะ โกธะ อุปนาหะ ปมาทะ ด้วยอนาคามิมรรค. เป็นผู้ว่างจากกิเลส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 733
๖ อย่างเหล่านี้ คือ ราคะ โมหะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ มทะ ด้วย อรหัตตมรรค. แม้กิเลสที่เหลือลงทั้งหลาย ก็พึงประกอบตามที่ประกอบไว้ โดยนัยเป็นต้นว่า ตีณิ ทุจฺจริตานิ สพฺพกิเลเสหิ ดังนี้.
บทว่า วตฺถุกาเม ปริชานิตฺวา ความว่า รู้วัตถุกามทั้งหลายที่ เป็นไปในภูมิ ๓ ด้วยสามารถเข้าถึงแล้วด้วยญาณปริญญาและตีรณปริญญา.
บทว่า กิเลสกาเม ปหาย ความว่า กิเลสกามทั้งหลายมีฉันทะ เป็นต้น ด้วยปหานปริญญา.
บทว่า พฺยนฺตีกริตฺวา ความว่า กระทำให้มีที่สุดไปปราศแล้ว คือ ให้ปราศจากที่สุด.
บทว่า กาโมฆํ ติณฺณสฺส ความว่า ข้ามกาโมฆะกล่าวคือ การ วนเวียนตั้งอยู่ ด้วยอนาคามิมรรค.
บทว่า ภโวฆํ ความว่า ข้ามภโวฆะ ด้วยอรหัตตมรรค.
บทว่า ทิฏฺโฆํ ความว่า ข้ามทิฏโฐฆะ ด้วยโสดาปัตติมรรค.
บทว่า อวิชฺโชฆํ ความว่า ข้ามอวิชโชฆะ ด้วยอรหัตตมรรค.
บทว่า สพฺพสงฺขารปถํ ความว่า ข้ามทางกล่าวคือ ลำดับแห่ง ขันธ์ ธาตุ และอายตนะทั้งปวงตั้งอยู่ ด้วยอรหัตตมรรคนั่นแหละ.
ข้ามขึ้นโดยโสดาปัตติมรรค, ข้ามพ้นด้วยสกทาคามิมรรค, ก้าวล่วง กามธาตุด้วยอนาคามิมรรค, ล่วงเลยภพทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค, เป็นไป ล่วงด้วยสามารถแห่งผลสมาบัติ.
บทว่า ปารํ คตสฺส เป็นต้น ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งพระนิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 734
บทว่า ยถา อิณายิถา อานณฺยํ ความว่า พวกกู้หนี้ที่มีดอกเบี้ย ย่อมปรารถนาความหมดหนี้.
บทว่า ปฏฺเนฺติ ความว่า ยังความปรารถนาให้เกิดขึ้น.
บทว่า อาพาธิกา อาโรคฺยํ ความว่า ผู้กระสับกระส่ายเพราะโรค ดีพิการเป็นต้น ย่อมปรารถนาความสงบโรค คือความไม่มีโรค ด้วย ประกอบเภสัช.
บทว่า ยถา พนฺธนฺพนฺธา ความว่า ในวันนักขัตฤกษ์ พวกที่ติด อยู่ในเรือนจำ ย่อมปรารถนาความพ้นจากเรือนจำ.
บทว่า ยถา ทาสา ภุชิสฺสํ ความว่า เพราะคนที่เป็นไทย่อมทำ อะไรๆ ได้ตามปรารถนา ไม่มีใครจะให้เขากลับจากการกระทำนั้นได้ด้วย พลการ ฉะนั้น ทาสทั้งหลายจึงปรารถนาความเป็นไท.
บทว่า ยถา กนฺตารทฺธานํ ปกฺขนฺนา ความว่า เพราะพวกคน ที่มีกำลัง จับช้างสาร ตระเตรียมอาวุธ พร้อมด้วยบริวาร เดินทางกันดาร พวกโจรเห็นเขาแล้วย่อมหนีไปแต่ไกลทีเดียว พวกเขาพ้นทางกันดาร ถึง แดนเกษมด้วยความสวัสดี ย่อมร่าเริงยินดี ฉะนั้น พวกเดินทางกันดาร จึงปรารถนาภาคพื้นที่เกษม.
เวลาจบเทศนา พระติสสเถระบรรลุโสดาปัตติผล ภายหลังบวชได้ กระทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตต์ดังนี้แล.
สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถามหานิทเทส
อรรถกถาติสสเมตเตยยสุตตนิทเทส
จบ สูตรที่ ๗