เคยฟังว่า มีผู้หญิงงามเมือง หรือ มีอาชีพโสเภณี ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า จากนั้นก็บรรลุโสดาบัน แต่ด้วยหน้าที่ ก็ยังประกอบอาชีพ เป็นโสเภณีอยู่ จริงหรือเปล่าครับ ที่จิตโสดาบันสามารถไปทำเรื่องแบบนั้นได้
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย สำหรับพระโสดาบันคือผู้ที่บรรลุธรรมประจักษ์พระนิพพาน ดับกิเลสได้บางส่วน เป็น
ผู้ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดาและเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ไม่ใช่ปุถุชน คณธรรมย่อมสูง
กว่า ปุถุชนหาประมาณไม่ได้ ซึ่งสำหรับการบรรลุธรรมไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร อย่างไร
ไมได้เป็นเครื่องกั้นของปัญญาเลยครับ หากผู้นั้นสะสมปัญญามาแล้วในอดีตชาติที่มี
ความเห็นถูกในพระพุทธศาสนา แม้ชาตินี้จะประกอบอาชีพที่เศร้าหมอง มีการรับจ้าง
ทิ้งอุจจาระ ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ก็มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกครับ และแม้มี
อาชีพ เป็นหญิงงามเมือง ซึ่งหญิงงามเมือง คือ เมืองนั้นจะเลือกผู้หญิงที่สวยที่สุดใน
เมือง เพื่อรับแขกบ้าน แขกเมืองจากที่อื่น หรือ อาจจะรับจ้างก็ได้ครับที่เป็นโสเภณี โดย
แลกกับเงิน เช่น นางสิริมา ซึ่งสวยงามมาก ต้องแลกด้วยเงิน 1000 กหาปณะ ในวัน
หนึ่งครับ ซึ่งแม้การทำการงานเศร้าหมองอย่างนี้ก็ไม่สามารถกั้นปัญญาที่อบรมมาที่จะ
บรรลุได้ครับ เพราะสามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ครับ
นางสิริมา ประกอบอาชีพเป็นโสเภณี สามีของอุตตรา นำนางสิริมามาที่เรือนด้วยการ
ให้เงิน แต่เมื่อนางสิริมาอยู่หลายวันเข้า ก็สำคัญว่าตนเองเป็นภรรยหลวง เป็นใหญ่ใน
เรือน เห็นนางอุตตรากำลังประกอบอาหาร ถวายพระพุทธเจ้า จึงลงไปจากปราสาท นำ
เนยใสที่ร้อน เทใส่นางอุตตราผู้เป็นพระโสดาบัน นางอุตตรามีจิตเมตตากับนางสิริมา
เนยใสที่ร้อนจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ตอนหลังนางสิริมารู้คุณของนางอุตตราและจะ
ขอขมาลาโทษกับนางอุตตรา นางอุตตราจึงให้ไปขอโทษกับบิดาของท่าน อันหมายถึง
พระพุทธเจ้า นางสิริมาจึงจัดแจงอาหาร และถวายทานกับพระพุทธเจ้าและได้เล่าเรื่อง
ให้พระพุทธเจ้ารับรู้ พระองค์แสดงธรรม นางสิริมา ผู้ทำอาชีพโสเภณี บรรลุธรรมเป็น
พระโสดาบันครับ
ดังนั้นจากคำถามที่ว่า ท่านยังทำอาชีพนั้นอยู่หรือไม่ คำตอบคือ นางสิริมาได้บรรลุ
เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ประกอบอาชีพที่เศร้าหมองนั้นอีกครับ คือไม่ประกอบอาชีพ
โสเภณีอีก เพราะด้วยการบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันนั่นเอง ขออนุโมทนาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 129
อรรถกถาสิริมาวิมาน
สิริมาวิมาน มีคาถาว่า ยุตฺตา จ เต ปรมอลงฺกตา เป็นต้น.
สิริมาวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
กรุงราชคฤห์. สมัยนั้น โสเภณีชื่อสิริมา ที่กล่าวไว้ในเรื่องติดต่อมาใน
หนหลัง [อุตตราวิมาน] สละงานที่เศร้าหมอง [ การเป็นโสเภณี ]
เพราะบรรลุโสดาปัตติผล ได้ตั้งสลากภัต ๘ กอง แก่พระสงฆ์. ตั้งแต่
ต้นมา ภิกษุ ๘ รูปก็มาเรือนนางเป็นประจำ.
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ในสังสารวัฏฏ์ ทุกคนก็สะสมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แล้วแตกรรมไหนจะให้ผล ไม่ว่า จะทำอาชีพอะไรก็ตาม ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น นายพราน มีอาชีพล่าเนื้อสัตว์ขาย แต่เขาก็สะสมปัญญามาด้วยในอดีตชาติ พอเขาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้ บรรลุเป็นพระโสดาบัน และก็เลิกฆ่าสัตว์ มีศีล 5 บริสุทธิ์ ส่วนโสเภณี หลังจากทีได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านก็เลิกอาชีพโสเภณีค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จากประเด็นดังกล่าว คงต้องพิจารณา ระหว่างก่อนการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน กับ หลังจากที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นผู้สะสมปัญญามาแล้วในอดีต เคยได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สะสมศรัทธาเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมมาแล้ว เมื่อปัญญาถึงความเจริญสมบูรณ์พร้อมก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ซึ่่งก่อนหน้านั้น กิเลสใดๆ ก็ยังไม่สามารถละได้
และตามการศึกษา ก็เข้าใจว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิด สำหรับท่านที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบันนั้น กล่าวได้ว่า ยังเป็นผู้มีภพชาติเหลืออยู่ เมื่อมีเกิดเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่ง จะเกิดในตระกูลใด และจะประกอบอาชีพอะไร ล้วนเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น บางคนเกิดในตระูกูลนายพราน ทำอาชีพล่าสัตว์ ซึ่งเป็นอาชีพทุจริต แต่พอได้ฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ต่อจากนั้นท่านก็ไม่กระทำอาชีพนั้นอีกเลยเพราะพระโสดาบัน เป็นผู้มีศีล ๕ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่สำหรับอาชีพโสเภณี ในสมัยก่อนนั้น ผู้ที่จะทำอาชีพนี้ ต้องเป็นหญิงโสดที่ไม่มีสามี พร้อมทั้งได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ด้วย จึงจะประกอบอาชีพนี้ โดยเป็นที่รู้กันทั่วไป เรียกว่า นครโสเภณี (หรือหญิงงามเมือง) การมีอาชีพอย่างนี้ไม่ขัดกับศีล ๕ แต่เป็นอาชีพที่เศร้าหมอง ในเมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ย่อมจะกระทำอาชีพนี้ ได้ แต่เมื่อได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคลแล้ว จะเป็นอย่างปุถุชนไม่ได้เลย ท่านย่อมละอาีชีพอันเศร้าหมองนี้ ตามความเจริญขึ้นของปัญญา แล้วอบรมเจริญปัญญา สะสมเพื่อการบรรลุมรรค ผลเบื้องสูงขึ้นไปจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด พระโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
* * * ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น * * *
กราบขอบพระคุณ และ อนุโมทนากุศลจิตทุกดวงครับ
* * * -------------------------------- * * *
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ