เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"กำลังเห็น ครอบครัวอยู่ที่ไหน" (หมายถึงครอบครัวเป็นเรื่องราวบัญญัติหรือครับ) พจนาท่านอาจารย์ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยกรุณาเพิ่มเติมด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กำลังเห็น ก็แค่เพียงเห็น ไม่มีครอบครัว ไม่มีใคร กล่าวได้ว่าอยู่ในโลกคนเดียวกับความคิด
ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มีแต่สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ดังนั้นที่บัญญัติ สมมติว่าเป็นคนนั้น คนนี้ ก็เพราะมี จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้นประชุมรวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นใคร เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นคนที่ชื่อนั้น ชื่อนี้ครับ ดังนั้นจึงไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์บุคคลมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดับไปครับ
ซึ่งจากที่ผู้ถาม ถามว่า เราอยู่บนโลกนี้คนเดียวจริงๆ หรือ ก็ต้องเข้าใจคำนี้ครับว่า กำลังสื่อถึงอะไร ขณะนี้ในความคิดของเราคือ มีพ่อ มีแม่ มีเพื่อน มีคนที่รู้จัก มีผู้คนในประเทศไทย มีผู้คนในโลก มีสัตว์ต่างๆ มากมาย ที่เรารู้ว่ามีคนมีสัตว์มากมายเพราะอะไรครับ เพราะมีจิตที่คิด ถ้าไม่มีจิตที่คิดก็จะไม่มีคน ไม่มีสัตว์มากมาย ดังนั้น เราจึงอยู่คนเดียวในโลกของความคิด นี่คือ ความหมายครับ อยู่คนเดียวในโลกของความคิดของตนเอง ที่คิดว่ามีคนมากมาย ในโลกนี้ หากไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการคิดนึก ไม่มีจิต ก็จะไม่มีอะไรเลย ดังนั้นอยู่ในโลกของความคิดของตนเองคนเดียวจริงๆ มีเงินเมื่อไหร่ครับ เมื่อคิด ขณะหลับเงินอยู่ไหน มีเพราะคิดทั้งนั้น อยู่ในโลกความคิดของตนเองคนเดียวจริงๆ ตอนนี้กำลังอ่านที่ผมเขียน ขณะที่กำลังอ่าน มีเพื่อนไหมครับ มีคนที่รู้จักไหมครับ ขณะที่กำลังอ่านเพราะกำลังอ่าน กำลังเห็นและคิดในสิ่งที่เห็น แต่ไม่ได้คิดถึงใคร ขณะที่กำลังอ่านก็ไม่มีใครอีกเช่นกันครับ จึงอยู่ในโลกของความคิดนึกคนเดียวครับ นี่คือคำอุปมาเพื่อเปรียบเทียบว่าอยู่คนเดียวในโลกของความคิด แต่หากลึกละเอียดลงไปอีกครับ ตัวเราก็ไม่มี เราก็ไม่มีในโลกใบนี้ เพราะสำคัญผิดว่ามีเรา แต่ความจริงก็มีแต่ธรรมทีเป็น จิตที่คิด จิตไม่ใช่เรา เป็นธรรมครับ ดังนั้น เราอยู่บนโลกนี้คนเดียว คือ อยู่ในโลกของความคิดของตนเอง เป็นการเปรียบเทียบให้เข้าใจในเรื่องอยู่ในความคิดนึกว่ามีคนอื่นๆ มากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีเราจริงๆ ครับ ดังนั้นก็ต้องเข้าใจว่า คำนั้นกำลังสื่อถึงอะไรนั่นเองครับ
เราก็ไม่มี คนอื่นก็ไม่มี มีแต่ธรรมทีเกิดขึ้นและดับไป เข้าใจยากเพราะเป็นเรื่องของปัญญา แต่สามารถอบรมได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปทีละน้อยครับ
คำบรรยายจากท่านอ.สุจินต์ วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2550
จริงๆ นะคะ เราเกิดมาในโลกคนเดียวหรือเปล่า เวลาเราเห็น เราเห็นคนเดียวหรือเปล่า จิตหนึ่งขณะค่ะ ไม่เป็นของใครเลย แต่หลังจากเกิดแล้วมีเห็น จำ จำได้ว่าเป็นคน เป็นหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดของตัวเอง หลังเห็น แล้วแต่ว่าเราจะคิดอะไรใช่ไหมคะ จะคิดถึงเพื่อน จะคิดถึงญาติจะคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่าขณะที่คิดเนี่ยค่ะ เหมือนมีหลายคน ทั้งโลก ทั้งประเทศ แต่ความจริงคือ หนึ่งขณะจิตที่คิด
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กำลังเห็น คือ อะไร? เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ คือ จิตเกิดขึ้นทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะนั้น เห็น เกิดขึ้น รู้อารมณ์คือสีที่ปรากฏทางตา ไม่ได้รู้อารมณ์อย่างอื่นเลย ไม่ได้คิด ในขณะที่กำลังเห็น และเห็น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เห็นแล้วก็คิด แม้ไม่ได้เห็น ก็คิดได้ ความคิด นั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมได้แก่จิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นไปทางใจ เพราะตามปกติแล้ว จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด แล้ว ต่อด้วยวิถีจิตทางใจ โดยมีภวังคจิตคั่น นี้คือความเป็นจริงของธรรม หรือ แม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้ถูกต้องกระทบสัมผัส ก็คิดนึกได้ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็นเคยได้ยิน เป็นต้น สภาพธรรมที่คิด มีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชา ไม่ให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย เพราะธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย ประโยชน์ที่ควรพิจารณา คือ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ตาม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
หมายความว่าเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาและกำลังจะต้องพบในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์เป็นสภาพธรรมที่จะต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เข้าใจในสภาพธรรมนั้นๆ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตก็จะทำให้เกิดกรรมอีกต่อๆ ไปหรือครับ? ขออนุโมทนาครับ
เรียนความคิดเห็นที่ ๓ ครับ ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ ก็ยังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้กิเลสเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการล่วงเป็นทุจริตกรรม ประการต่างๆ หรือไม่ ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น ก็สะสมเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไป แต่ถ้ามีกำลังกล้า ล่วงเป็นทุจริตกรรม เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ก็เป็นอกุศลกรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดวิบากในภายหน้าได้ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ papon และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ