ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย
โดย nattawan  23 ก.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48178

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้จะรู้ว่าอกุศล ไม่ดี แต่เมื่อได้เหตุปัจจัย อกุศลที่เคยสะสมมาก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ และเมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็ทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นธรรมดาของบุคคลผู้ที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส ยังดับกิเลสไม่ได้ และจะเห็นได้ความไม่รู้ ทำให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำให้ได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้จริงๆ เพราะมีความไม่รู้ คือ อวิชชา เป็นเหตุ จึงทำให้มีการกระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มากมายมีกายทุจริตเป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรบำเพ็ญ ไม่สะสมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ควรได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสะสมเหตุที่ไม่ดี

แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ตรงกันข้ามกับอวิชชาอย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ความดีประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น ทำให้ได้ในสิ่งที่ควรได้ เพราะกุศลธรรมเจริญ จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ปัญญาหรือวิชชา จึงเป็นธรรมที่นำไปสู่ความดีทั้งปวงอย่างแท้จริง ทำให้เว้นจากสิ่งที่ไม่ดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว



ความคิดเห็น 1    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

อโหสิกรรม อโหสิ (ได้มีแล้ว) + กมฺม (เจตนาซึ่งเป็นผู้กระทำ)
กรรมที่ได้มีแล้ว, กรรมที่เลิกให้ผล หมายถึง กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ได้มีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสให้ผล เพราะล่วงเลยเวลาที่จะให้ผล หรือ ถูกกรรมอื่นตัดรอนจนไม่สามารถให้ผลได้อีก เช่น เจตนาในชวนจิตดวงที่ ๑ ให้ผล ในชาติปัจจุบัน เมื่อไม่มีโอกาสให้ผลก็เป็นอโหสิกรรม

หรือ โลกุตรกุศลกรรม ตัดรอนอกุศลกรรม ที่จะให้ผลไปเกิดในอบายภูมิ ทำให้เป็นอโหสิกรรม

หรือ เมื่ออรหัตตมัคคจิตเกิดขึ้น เป็นโลกุตรกุศลที่ตัดรอนกุศลกรรม

หรืออกุศลกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต ทำให้เป็นอโหสิกรรม ไม่ให้ผลในภพชาติต่อไป

เพราะพระอรหันต์เมื่อปรินิพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก กรรมที่กระทำมาแล้วทั้งหมดในสังสารวัฏฏ์จึงเป็นอโหสิกรรม


ความคิดเห็น 2    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เจ้ากรรมนายเวรไม่มี เพราะสัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน เมื่อเหตุมีแล้ว วิบากจึงเกิดขึ้นได้ วิบาก เป็นผลของกรรม มาจากกรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งนั้น เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่พ้นไปจากการกระทำกรรม และการได้รับผลของกรรม ถึงแม้จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้ายังไม่ดับขันธปรินิพพาน กรรมในอดีตก็ยังมีโอกาสให้ผลได้ จนกว่าจะถึงกาลที่ปรินิพพาน เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่ต้องมีการกระทำกรรมและการได้รับผลของกรรมอีกต่อไป ดังนั้น ถ้ายังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ย่อมไม่พ้นจากการกระทำกรรม ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล และไม่พ้นไปจากการได้รับผลของกรรมในชีวิตประจำวันในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนา ตามสมควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว ในอดีต การอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นไป เพื่อสิ้นกรรมและสิ้นการได้รับผลของกรรม


ความคิดเห็น 3    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติ ทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้

ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และที่สำคัญ ไม่มีใครนำทรัพย์สมบัติ ข้าทาสบริวาร เป็นต้น ติดไปในภพหน้าได้ จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไว้ แต่การสะสม ที่ดี และ ไม่ดี ไม่สูญหาย สะสมสืบต่อในจิต เพราะฉะนั้น สำคัญอยู่ที่ความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของความดี ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ประมาทในการเจริญกุศลในชีวิตประจำวัน สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะชาตินี้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ชั่วคราว สั้นแสนสั้น จะประมาทไม่ได้เลย


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

ความคิด การกระทำ คำพูด ของแต่ละคนนั้นหลากหลาย ต่างกันตามการสะสมของจิต ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และในแต่ละวัน ต่างก็สะสมอกุศลมามากกว่ากุศล วันหนึ่งๆ อกุศลเกิดมากมาย แทรกสลับกับกุศลซึ่งมีเพียงเล็กน้อย เพราะถ้าไม่ได้เป็นไปในทาน การสละสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้เป็นไปในศีล การงดเว้นจากสิ่งที่ไม่ควร ไม่ได้เป็นไปในความสงบของจิต เช่น มีเมตตาเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับผู้อื่น และไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาแล้ว ก็เป็นโอกาสของอกุศลทั้งนั้น

ทั้งที่รู้ว่าอกุศลไม่ดี แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะเอาอกุศลที่สะสมมาในจิต ออกทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย เพราะตลอดมานั้น แม้แต่ละขณะๆ จะดับไป หมดไปไม่มีเหลือ แต่อกุศลก็ไม่ได้หายไปไหน สะสมไว้ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไว้อย่างมากมายมหาศาล จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรม น้อมประพฤติในสิ่งที่ควร ก็จะเป็นการขัดเกลาละคลายอกุศล ให้เบาบางลงไปได้ ตามลำดับ


ความคิดเห็น 5    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

ไม่ว่าจะภพถูมิไหน ถ้าไม่มีจิต อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ

ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ ดับหมดไม่เหลือและไม่กลับมาอีกเลย

ถ้ามีปัญญา ไม่ว่าจะเห็นผี หรือไม่ใช่ผี เห็นคน เห็นงู ปัญญาก็รู้ว่าเพียงเห็น เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น จึงไม่หวั่นไหว

ถ้าไม่มีปัญญาก็กลัว หรืออื่นๆ ตามการสะสม เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถูกอกุศลครอบงำ จึงหวั่นไหว

สนทนาพระสูตรที่ มศพ.
ส. ๒๓ ก.ค. ๕๙


ความคิดเห็น 6    โดย nattawan  วันที่ 23 ก.ค. 2567

สัญญาเป็นสภาพที่จำ เกิดกับจิตทุกขณะ กิจของสัญญาคือจำหมายในอารมณ์ แต่ที่บอกว่าจำไม่ได้ ก็เพราะตรึกไม่ได้นั่นเอง ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ แต่ว่ากิจของสัญญาย่อมไม่เปลี่ยน สัญญาเจตสิกเดิมที่จำในอารมณ์และดับไปแล้วก็สืบต่อการจำนั้นไว้ในจิตขณะต่อๆ ไป เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะมีการคิดถึงสิ่งนั้นวิตกก็ตรึกถึงสิ่งที่เคยจำ และในขณะนั้นก็ต้องมีสัญญาเจตสิกที่เกิดขึ้นทำกิจจำอีก ดังนั้น ถ้ามีการตรึกถึงสิ่งที่เคยจำในเรื่องหนึ่งเรื่องใดบ่อยๆ ก็ยิ่งมีความจำในเรื่องนั้นมั่นคงขึ้น สืบต่อสะสมการจำในเรื่องนั้น ต่อไป

สัญญาเจตสิก


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 23 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ