เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"มนสิการ" ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับคำนี้ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มนสิการเจตสิก เป็น เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกๆ ประเภท ทำหน้าที่ ใส่ใจในอารมณ์นั้น ซึ่งขณะใดที่จิตเป็นอกุศล ขณะนั้นก็มี มนสิการเจตสิก เกิดร่วมด้วย แต่ว่าเป็นอโยนิโสมนสิการ การใส่ใจโดยไม่แยบคาย ทำให้จิตเป็นอกุศล และขณะใดที่เป็นกุศลจิต ขณะนั้นก็มี มนสิการเจตสิก เกิดร่วมด้วย โดยเป็น โยนิโสมนสิการ คือ ความใส่ใจโดยแยบคาย จึงทำให้จิตเป็นกุศล ซึ่ง โยนิโสมนสิการ เป็น มนสิการเจตสิก ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นความเห็นถูก แต่เพราะอาศัยการใส่ใจด้วยดี ทำจิตเป็นกุศล และเกื้อกูลต่อการเกิดปัญญาด้วย ครับ ขออนุโมทนา
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"ไตร่ตรอง" เป็นมนสิการเจตสิก หรือไม่ อย่างไรครับ? ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ไตร่ตรองด้วยการคิด ด้วยปัญญาได้ ส่วน โยนิโสมนสิการ คือ การใส่ใจโดยแยบคาย ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์ของการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และสิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจนั้น ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
มนสิการ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ใส่ใจในอารมณ์ เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดกับจิตทุกขณะ จิตรู้อารมณ์ใด มนสิการก็ใส่ใจในอารมณ์นั้น มนสิการเกิดร่วมกับจิตทุกขณะ แม้ในขณะที่มีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกเกิดร่วมด้วย ก็มีมนสิการด้วยครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอาจารย์ทั้งสองท่าน ครับ.
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ทุกอย่างไม่พ้นไปจากธรรมะที่มีจริงๆ ขณะฟังธรรมเข้าใจขณะนั้นก็มีมนสิการเกิดร่วมด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาสาธุครับ