ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๓
โดย khampan.a  7 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 39966

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๓ * *



~ สิ่งที่กำลังมีตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพในการตรัสรู้ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี
(คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ที่จะให้คนอื่นหลังจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วได้เข้าใจคำของพระองค์ เพราะว่า ถ้าไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจอะไรที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระคุณที่ตรัสคำที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง และเมื่อได้ฟังแล้ว ก็จะรู้ได้จริงๆ ว่าเป็นคำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้ว พระองค์ก็จะไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากกว่าจะได้รู้ความจริง
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด ทุกสมัย เปลี่ยนไม่ได้เลย
~ ต้องเริ่มต้น ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา
(ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ด้วย ถ้าบังคับบัญชาได้ ทุกคนไม่มีความทุกข์เลย จริงไหม? มีแต่ความสุข อยากได้อะไรก็ได้หมดอยู่ในบังคับบัญชา แต่ความจริงแล้ว ธรรม ต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย
~ สิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ดับ ไม่มี ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงเป็นอย่างนี้ เห็นเมื่อกี้ ก็ดับไปแล้ว ได้ยินเมื่อกี้ ก็ดับไปแล้ว ความรู้สึก ก็ดับไปแล้ว
~ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล มีจริงๆ ใครรู้บ้าง เดี๋ยวนี้ก็มี เช่น แข็ง เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ จึงเป็นกุศล ไม่ได้ เป็นอกุศล ไม่ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้คนสวดพูดตามโดยไม่เข้าใจ หรือว่า ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้คนฟังเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง? เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้เข้าใจด้วย ว่า จะพูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วก็เสียเวลาเป็นชั่วโมง กับ การที่เวลาหนึ่งชั่วโมง จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน? ก็จะต้องเป็นผู้ตรง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏในขณะนี้ เกิดแล้วก็ดับ ไม่เหลือเลยทุกขณะ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแยกทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ นี่คือ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งหมดที่ว่าเป็นเรา ก็คือ ธรรม ทั้งนามธรรม (สภาพรู้ ธาตุรู้) และรูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) หลากหลายมาก นี่คือ ปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเมื่อไหร่ นั่นคือ ปัญญา
~ การเข้าใจธรรม จะทำให้เป็นผู้ที่ตรง คือ สัจจบารมี ที่จะทำให้สามารถตรงต่อความจริงที่จะเห็นถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏได้
~ เราจะเอากรรมของเราที่ได้กระทำแล้ว ไปให้คนอื่นรับผล เป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ คำพูดที่มักจะมีผู้กล่าว คือ ทำไมถึงต้องเป็นเรา สงสัยเหลือเกิน แต่คำตอบ ก็คือว่า เพราะต้องเป็นเรา ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เหตุและผลซึ่งเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งละเอียดยิ่ง ได้ฟังแล้ว ก็รู้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเป็นเหตุและเป็นผล
~ เวลาที่ลูกป่วย มารดาอยากจะป่วยแทนลูกได้ไหม ไม่ว่าสมัยไหน หรือ มารดาป่วย ลูกอยากจะป่วยแทนได้ไหม ไม่ว่าในสมัยไหน ก็ไม่ได้เลย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง ว่า ธรรมเป็นธรรม ละเอียดมาก หลากหลายมาก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง ซึ่งก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ไม่รู้เลยจริงๆ ความไม่รู้ ก็มีจริง เป็นธรรม คือ อวิชชา
~ โอกาสที่จะทำความดีเมื่อไหร่ ถ้าไม่ทำ ขณะนั้น ก็เป็นอกุศล ก็สะสมอกุศลต่อไป
~ ยังโกรธใครบ้างหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เป็นสหายธรรม
(ผู้ศึกษาธรรมร่วมกัน) อาจจะขุ่นเคืองใจบ้างก็ได้ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ลืมหรือยัง? ถ้ายังไม่ลืม ที่เรียนเรื่องเมตตา อยู่ที่ไหน?
~ บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ
~ ถ้าเป็นอกุศลธรรม มีใครอยากจะมี? แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด อกุศลธรรมนั้นๆ ก็ยังเกิดอยู่เรื่อยๆ และทางเดียวที่จะละคลายอกุศลธรรมได้ ก็ต้องเป็นปัญญาที่เจริญขึ้น
~ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ จากการที่ไม่เคยรู้เลยว่าขณะนี้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ กำลังเกิดดับ ก็มีความเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย
~ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นอนัตตา (ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้เลยจริงๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่มีความเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งๆ
~ ต้องเข้าใจจริงๆ ถึงภัยคือความน่ากลัวของอกุศล เกิดแล้วก็ไม่ได้ทำให้สบายเลย น่ากลัวคือทำร้ายจิต ให้ขุ่นมัวให้เศร้าหมอง และถ้าเป็นการกระทำที่สำเร็จเป็นกรรมที่เป็นอกุศล ผลก็ยิ่งมากกว่านั้น
~ ถ้าไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ ต่อๆ ไปก็จะมืดสนิทเหมือนเดิม ซึ่งไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เลย

~ ธรรมที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศล เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมที่เป็นอกุศล ก็เป็นอกุศล เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ก็จะเป็นกุศลและอกุศลไม่ได้
~
เสียง เป็นกุศลได้ไหม? เสียง มีจริง เสียง ไม่รู้อะไร เสียง ทำบุญได้ไหม? เสียง เป็นบุญได้ไหม? เสียง เป็นบาปได้ไหม? ในเมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น เสียง ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เสียง เป็นอัพยากตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล
~ มีเหตุที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจในเหตุในผล จะไม่ใช่ผู้ที่งมงาย
~ โหดร้าย คือ ขณะที่ไม่เมตตาคือไม่หวังดี ถ้ากล่าวคำคลาดเคลื่อนจากความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในความลึกซึ้งของแต่ละคำ คนนั้นทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ใช่แต่เฉพาะในขณะนั้น แต่ยังต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ โหดร้ายไหม?
~ แม้แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราเห็นเป็นความโหดร้ายต่างๆ มาจากไหน? มาจากความไม่หวังดี มาจากความไม่เป็นมิตร แล้วก็ต้องการที่จะประทุษร้าย ทำร้าย ทำลายด้วย ซึ่งถ้าทำลายสิ่งที่ถูกต้อง โหดร้ายไหม?

~ การทำลายพระพุทธศาสนาหรือการไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เป็นโทษอย่างยิ่งสำหรับบุคคลนั้นและสำหรับคนอื่นๆ ด้วย เพราะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไปหมดเลย เพราะฉะนั้น กล้าที่จะพูดความจริงให้คนอื่นรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด หรือไม่? เพราะอย่างไรก็ต้องตาย แล้วจะกลัวอะไร ในเมื่อคำนั้นเป็นประโยชน์ ยิ่งพูด ยิ่งเป็นประโยชน์



* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๒



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 7 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 7 พ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 7 พ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย natthayapinthong339  วันที่ 7 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย มังกรทอง  วันที่ 7 พ.ย. 2564

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแยกทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ นี่คือ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งหมดที่ว่าเป็นเรา ก็คือ ธรรม ทั้งนามธรรม (สภาพรู้ ธาตุรู้) และรูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) หลากหลายมาก นี่คือ ปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเมื่อไหร่ นั่นคือ ปัญญา

น้อมกราบอมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 6    โดย Jans  วันที่ 7 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 7 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนายิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย jaturong  วันที่ 8 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย Centella  วันที่ 8 พ.ย. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยเศียรเกล้า


ความคิดเห็น 10    โดย Kalaya  วันที่ 8 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย Lai  วันที่ 9 พ.ย. 2564

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย มังกรทอง  วันที่ 19 พ.ย. 2564

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแยกทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดอย่างยิ่งสุดที่จะประมาณได้ นี่คือ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งหมดที่ว่าเป็นเรา ก็คือ ธรรม ทั้งนามธรรม (สภาพรู้ ธาตุรู้) และรูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย) หลากหลายมาก นี่คือ ปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเมื่อไหร่ นั่นคือ ปัญญา น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอธุ ขอรับ