ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๔
~ คำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วย ถ้าไม่รู้ประโยชน์ของการเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ไกล แต่เป็นคำสอนที่ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม
~ เห็นพระคุณยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? เคยเห็นผิดมานานเท่าไหร่ทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ แม้ก่อนจะได้ฟังพระธรรม ก็เห็นผิด แต่สามารถเริ่มเห็นถูกได้ จึงเคารพบูชาสูงสุดในผู้ที่ทำให้สามารถรู้ความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าฟังต่อไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งถึงวาระที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ เมื่อนั้นจะไม่มีความสงสัยในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ คำสั้นๆ แต่ลึกซึ้งที่สุด ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มรู้จักธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ต้องเข้าใจไตร่ตรองว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ หรือเปล่า?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อทุกคนที่สะสมมาแต่ละอัธยาศัยที่เมื่อฟังแล้วจะเป็นประโยชน์ คือ ยากที่จะละอกุศล แต่อย่างน้อยที่สุดรู้ว่า อกุศล ควรละ ก็ยังเป็นหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น จนกระทั่งปัญญามีกำลังและปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญาได้
~ ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ก็มีเห็น เดี๋ยวนี้ก็มีได้ยิน ทั้งหมดคือธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราก็ต้องฟังต่อไปอีก เพราะไม่เคยรู้ความจริงของธรรมซึ่งเกิดแล้วดับปรากฏสืบต่อจนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา
~ ชีวิตจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้เลย เดี๋ยวนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น "ทำความดีและเข้าใจพระธรรม" หวังว่าทุกคนจะมั่นคงในพระธรรมยิ่งขึ้น เพราะเป็นประโยชน์สูงสุด ไม่มีประโยชน์ใดเท่าเทียมได้เลย เพราะประโยชน์สูงสุด ก็คือ ได้เข้าใจความจริงขณะนี้ว่า ไม่มีเรา ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
~ อกุศลทั้งหมดทุกชนิดมากน้อย ไม่นำสิ่งที่ดีมาให้เลย ต้องเห็นโทษภัยของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยว่า กั้นไม่ให้มีความเข้าใจพระธรรมในขณะที่เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ เห็นคุณของกุศล จึงไม่ละเว้นโอกาสที่จะเป็นกุศล
~ คนที่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็เป็นผู้ที่มีความหวังดีต่อคนอื่น เป็นมิตรซึ่งกันและกัน และช่วยเหลือกันทุกประการที่จะให้ทุกคนละความไม่ดีและเพิ่มความดีขึ้น
~ ถ้าท่านยังเป็นผู้ที่ขาดความอ่อนโยน จิตในขณะนั้นก็เป็นอกุศลได้ เพราะว่าชีวิตในแต่ละวันก็ย่อมประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่ายินดีหลายอย่าง ในบางเหตุการณ์ก็ประสบกับคำพูดซึ่งไม่น่ายินดี หรือว่าได้เห็นการกระทำกิริยาอาการของบุคคลอื่นที่ไม่น่ายินดี ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่อ่อนโยน ไม่มีความอดทน จิตในขณะนั้นย่อมหยาบกระด้าง หรือว่าแข็งกระด้าง ซึ่งจะเป็นเหตุให้มีการเบียดเบียนต่อบุคคลอื่นทางกาย ทางวาจา หรือแม้ทางความคิดในใจก็ได้
~ อกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดเหลือเกิน แม้เพียงการไม่อ่อนโยนก็เป็นอกุศลธรรมเสียแล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะดับกิเลสหมด ต้องดับแม้ความไม่อ่อนโยนของจิตใจ ก็จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่สะสมกุศล เกิดความอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้าง ก็จะทำให้ตัดการที่จะคิดเบียดเบียนบุคคลอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลายก็จะนำมาซึ่งกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป และอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ก็ย่อมจะนำมาซึ่งอกุศลธรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ ต่อๆ ไปด้วย
~ เรื่องของบุคคลอื่นจะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ แต่เรื่องของบุคคลที่อบรมเจริญกุศลที่จะต้องประพฤติปฏิบัติและศึกษา สังเกต สำเหนียกจิตใจของตนเองว่า เป็นกุศลหรืออกุศล และประพฤติในสิ่งที่เป็นกุศล นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ส่วนบุคคลอื่นจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนสะสมมาที่จะต้องเป็นอย่างนั้น
~ เราฟังธรรม เพื่อจะรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด เพราะก่อนฟัง ก็เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น สามารถจะทนให้พิสูจน์รู้ความจริงของสิ่งนั้นได้
~ ถ้าสามารถห่างจากโลภะได้มากกว่านี้ ความรู้สึกเป็นอิสระแม้เล็กน้อยจะมีได้ เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงการพ้นจากโลภะตามลำดับขั้นของพระอริยบุคคล จะปีติหรือเห็นคุณของการสามารถพ้นจากความเป็นทาสของโลภะได้ แต่เวลานี้อยู่กับโลภะและชอบโลภะ แล้วอยากเป็นทาสของโลภะไปเรื่อยๆ เพราะปัญญาไม่เกิด เพราะฉะนั้น ที่จะรู้จริงๆ ปัญญาก็จะเจริญขึ้นๆ จนสามารถเข้าใจธรรมที่เป็นกุศลและอกุศลได้ว่า ฝ่ายใดเป็นโทษมากน้อยแค่ไหน และฝ่ายใดเป็นประโยชน์ที่จะอบรมต่อไป
~ ทุกคนหวังว่าชาติหน้าคงจะดีกว่าชาตินี้ แต่ว่าชาติหน้าที่จะดีกว่าชาตินี้ได้ ก็ต้องต่อเมื่อดีตั้งแต่ชาตินี้ ชาติหน้าถึงจะดีกว่าชาตินี้ได้ แต่ถ้าหวังแต่เพียงว่า ชาติหน้าจะดีกว่าชาตินี้ แต่ชาตินี้ก็ยังคงไม่ดี เพราะฉะนั้น ชาติหน้าก็จะดีกว่าชาตินี้ไม่ได้เลย ชาติหน้าจะดีกว่าชาตินี้ ก็เมื่อชาตินี้ดี กำลังดีขึ้นๆ ชาติหน้าถึงจะดีกว่าชาตินี้ได้
~ ถ้าไม่มีปัญญา จะรู้ได้ไหมว่า มีกุศลมากหรือมีอกุศลมาก เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินคำไหน ความเป็นผู้ละเอียด ทำให้ได้รับสาระจากพระธรรมที่ได้ฟัง ถ้าข้ามไปๆ จะไม่ได้สาระประโยชน์ เพราะอะไร? เป็นเราฟัง เป็นเราอยากจะเป็นอย่างนั้น พอได้ยินคำว่า ดี อยากจะดี อยากก็คือเรา เพราะฉะนั้น ฟังธรรมหรือเปล่าว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม
~ ขณะใดที่สามารถเป็นเพื่อน หวังดี ต่อหน้า ลับหลัง กาย วาจา ใจทั้งหมด เป็นประโยชน์กับคนอื่น และขณะนั้นเป็นประโยชน์กับตนเอง เพราะขณะนั้น เป็นกุศลจิตอย่างแท้จริง
~ ถ้าจากโลกนี้ไป จิตที่ทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพจากความเป็นบุคคลนี้ที่เราเรียกว่า จิตขณะสุดท้าย ทำจุติกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เป็นจิตขณะแรกในชาติต่อไป คือ ปฏิสนธิ ก็มีทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมจากจิตขณะก่อน แล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยทำให้สภาพธรรมใดเกิด ก็เกิดได้ เพราะมีการสะสมของสภาพธรรมนั้นๆ อยู่แล้ว
~ ประเสริฐที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ สามารถเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มิฉะนั้น ก็หลับไม่ตื่นตลอดทุกภพทุกชาติ เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงชั่วขณะ ทุกขณะของชีวิตชั่วคราว คำว่า “ชั่วคราว” สั้นแสนสั้น เกินกว่าที่เราจะคิดประมาณได้
~ ทุกอย่างต้องอาศัยการอบรม เพราะว่าคิดถึงจิตแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว สะสมอะไรมาก อกุศลมาก กระด้าง หยาบ แข็ง ไม่อ่อน ไม่ควรแก่การงานที่จะเป็นกุศลเลย แม้ว่าได้ฟังพระธรรมที่ทรงชี้โทษของอกุศล และประโยชน์ของกุศลมากมายสักเท่าไร จิตใจก็ยังไม่อ่อนที่จะเกิดเป็นกุศลในขณะนั้นได้ จนกว่าพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว จะทำให้สภาพที่แข็งกระด้างของจิตค่อยๆ อ่อนลง จนสามารถเป็นกุศลได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นอุปนิสัย
~ การโกรธนั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ทั้งเขาทั้งเรา
~ สังคม คือ แต่ละบุคคลรวมกันเป็นสังคมหนึ่งสังคมใด เพราะถ้าใช้คำว่า สังคม ก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนเดียว สังคมหนึ่งจะต้องประกอบด้วยบุคคลหลายคน เพราะฉะนั้น การที่จะแก้สังคม ช่วยสังคม หรือทำให้สังคมดีขึ้น จะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าแต่ละบุคคลไม่แก้ตัวเองซึ่งแต่ละบุคคลมารวมกันเป็นสังคม เพราะฉะนั้น ถ้ามีอวิชชา คือ ความไม่รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยความถูกต้อง เช่น ไม่เข้าใจเรื่องของกุศลและอกุศล ไม่เข้าใจเรื่องผลของกุศลและผลของอกุศล ไม่มีทางใดเลยที่จะทำให้ตัวเองและสังคมดีขึ้น
~ ควรเจริญกุศลทุกทางทุกโอกาส เพราะเมื่อเป็นโอกาสของกุศลแล้วไม่ทำกุศล โอกาสของกุศลก็หมดไป โอกาสทำกุศลเป็นโอกาสที่หายากในชีวิต ในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาว่าอกุศลมากหรือกุศลมาก เมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลทางใด ก็ไม่ควรให้โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อกุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด
~ ควรพิจารณาเห็นอกุศลตามความเป็นจริงและเห็นโทษ เพียรที่จะละคลายอกุศลทุกประการ และคิดถึงบุคคลอื่นในทางที่เป็นกุศล พร้อมกันนั้น เป็นผู้ที่ทำความดีเสมอและเพิ่มขึ้น เพราะว่า อกุศลมีมาก ซึ่งทางเดียวที่จะคลายอกุศลได้ คือ ด้วยการเจริญกุศล
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๐๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาคะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ กราบอนุโมทนาค่ะ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ทางสื่อเฟสบุคดี เลิศล้ำ อาจารย์สุจินต์นำวิถี ทางถูก ฟังแห่งความจริงค้ำ เด่นด้วยปัญญา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์ และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ