๓. พรหมเทวสูตร ว่าด้วยพระพรหมเทวะโปรดมารดา
โดย บ้านธัมมะ  30 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 36371

[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 132

๓. พรหมเทวสูตร

ว่าด้วยพระพรหมเทวะโปรดมารดา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 25]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 132

๓. พรหมเทวสูตร

ว่าด้วยพระพรหมเทวะโปรดมารดา

    [๕๖๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามแห่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.

    ก็สมัยนั้นแล บุตรแห่งนางพราหมณีคนหนึ่ง ชื่อพรหมเทวะ ออกบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล ท่านพระพรหมเทวะเป็นผู้เดียว หลีกออกแล้ว ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้วอยู่ ไม่นานเท่าไร ก็ได้กระทำให้แจ้งประโยชน์ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องประสงค์อันนั้นอย่างยอดเยี่ยม เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ เพราะรู้แจ้งชัดเองในปรัตยุบันนี้แหละเข้าถึงอยู่ ท่านได้ทราบว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี ก็แหละท่านพรหมเทวะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์แล้ว.

    [๕๖๔] ครั้งนั้นแล ท่านพระพรหมเทวะ ในเวลารุ่งเช้านุ่งห่มแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ท่านเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีตามลำดับตรอก เข้าไปยังนิเวศน์แห่งมารดาของตนแล้ว.

    ก็สมัยนั้นแล นางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะถือการบูชาบิณฑะแก่พรหมเป็นนิตย์.

    ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหมคิดว่า นางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะนี้แล ถือการบูชาบิณฑะแก่พรหมเป็นนิตย์ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปหานางแล้วทำให้สลดใจ.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 133

    [๕๖๕] ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมหายไปในพรหมโลกปรากฏแล้วในนิเวศน์ของมารดาแห่งท่านพระพรหมเทวะ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าแล้ว หรือพึงคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น.

    ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหมลอยอยู่ในอากาศ ได้กล่าวกะนางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทวะด้วยคาถาทั้งหลายว่า

    ดูก่อนนางพราหมณี ท่านถือการบูชาด้วยก้อนข้าวแก่พรหมใด มั่นคงเป็นนิตย์ พรหมโลกของพรหมนั้นอยู่ไกลจากที่นี้ ดูก่อนนางพราหมณี ภักษาของพรหมไม่ใช่เช่นนี้ ท่านไม่รู้จักทางของพรหม ทำไมจึงบ่นถึงพรหม.

    ดูก่อนนางพราหมณ์ ก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนั้น เป็นผู้หมดอุปธิกิเลส ถึงความเป็นอติเทพ ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกังวล มีปกติขอ ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น ท่านพระพรหมเทวะที่เข้าสู่เรือนของท่านเพื่อบิณฑบาต เป็นผู้สมควรแก่บิณฑะที่บุคคลพึงนำมาบูชา ถึงเวท มีตนอบรมแล้ว สมควรแก่ทักษิณาทานของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ลอยบาปเสียแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว เป็นผู้เยือกเย็นกำลังเที่ยวแสวงหาอาหารอยู่.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 134

    อดีตอนาคตไม่มีแก่ท่านพระพรหมเทวะนั้น ท่านพระพรทมเทวะเป็นผู้สงบระงับ ปราศจากควัน ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง วางอาชญาในปุถุชนผู้ยังมีความหวาดหวั่นและในพระขีณาสพผู้มั่นคงแล้ว ขอท่านพระพรหมเทวะนั้นจงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน.

    ท่านพระพรหมเทวะซึ่งเป็นผู้มีเสนามารไปปราศแล้ว มีจิตสงบระงับ ฝึกตนแล้ว เที่ยวไปเหมือนช้างตัวประเสริฐ ไม่หวั่นไหว เป็นภิกษุมีศีลดี มีจิตพ้นวิเศษแล้ว ขอท่านพระพรหมเทวะนั้น จงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศที่สำหรับบูชาพรหมของท่าน.

    ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักษิเณยยบุคคล ดูก่อนนางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้วจงทำบุญ อันจะนำความสุขต่อไปมาให้.

    ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทวะนั้นเป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้ง


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 135

ทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักษิเณยยบุคคล ดูก่อนนางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้มีโอฆะอันข้ามแล้ว ได้ทำบุณอันจะนำความสุขต่อไปมาให้แล้ว.

อรรถกถาพรหมเทวสูตร

    ในพรหมเทวสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

    บทว่า เอโก ความว่า เป็นผู้ผู้เดียว คืออยู่คนเดียวในอิริยาบถทั้งหลายมียืนเป็นต้น. บทว่า วูปกฏฺโ ได้แก่ปลีกตัวไป คือปราศจากการคลุกคลีด้วยกาย. บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ อยู่ในความเป็นผู้ไม่ปราศจากสติ. บทว่า อาตาปี ได้แก่ ประกอบด้วยความเพียรเครื่องเผากิเลส. บทว่า ปหิตตฺโต ได้แก่ มีตนส่งไปแล้ว. บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่ กุลบุตรผู้มีมารยาท. บทว่า สมฺมเทว ความว่า ไม่ใช่บวชเพราะเป็นหนี้ ไม่ใช่บวชเพราะมีภัย ไม่ใช่บวชเลี้ยงชีพ. แม้ผู้ที่บวชไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ บำเพ็ญปฏิปทาที่สมควร ก็ชื่อว่าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบทั้งนั้น. บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่อริยผลอันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์. บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม ได้แก่ในอัตภาพนี้เอง. บทว่า สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ได้แก่ รู้ด้วยตนเองคือทำให้ประจักษ์. บทว่า อุปสมฺปชฺช ได้แก่ ได้เฉพาะคือสำเร็จผลอยู่แล้ว. ก็ท่านพระพรหมเทวะอยู่ด้วยประการฉะนี้ ได้รู้ชัดแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงปัจจเวกขณภูมิของท่าน ด้วยบทนี้.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 136

    ถามว่า ก็ชาติไหนของท่านพรหมเทวะนั้นสิ้นแล้ว และท่านพรหมเทวะรู้ชัด ข้อนั้นได้อย่างไร. ตอบว่า ชาติส่วนอดีตของท่านพรหมเทวะนั้น ชื่อว่าสิ้นแล้วไม่ได้ก่อน เพราะสิ้นไปในกาลก่อนเสียแล้ว ชาติส่วนอนาคต ชื่อว่าสิ้นแล้วก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความพยายามในชาตินั้น ชาติส่วนปัจจุบันก็ชื่อว่าสิ้นแล้วไม่ได้เพราะยังมีอยู่. แต่ชาติใดต่างโดยเป็นขันธ์เดียว ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕ ในบรรดาเอกโวการภพ จตุโวการภพและปัญจโวการภพ พึงเกิดขึ้นเพราะยังมิได้อบรมมรรค ชาตินั้นชื่อว่าสิ้นแล้ว เพราะถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะอบรมมรรคแล้ว. ท่านพรหมเทวะนั้นพิจารณากิเลสที่ละได้ด้วยมรรคภาวนา ย่อมรู้ชาตินั้นว่า กรรมแม้มีอยู่ก็ไม่เป็นเหตุให้ปฏิสนธิต่อไปเพราะไม่มีกิเลส.

    บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่แล้ว อยู่รอบแล้ว อธิบายว่า กระทำแล้ว ประพฤติแล้ว คือให้สำเร็จแล้ว. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์. บทว่า กตํ กรณียํ ความว่า กิจแม้ ๑๖ อย่าง คือ ปริญญากิจ ปหานกิจ สัจฉิกิริยากิจและภาวนากิจ ด้วยมรรคทั้ง ๔ ในสัจจะ ๔ [๔ x ๔=๑๖] ทำสำเร็จแล้ว. บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า บัดนี้ มรรคภาวนาเพื่อความเป็นอย่างนี้ คือเพื่อความเป็นกิจ ๑๖ อย่างอย่างนี้ หรือเพื่อความสิ้นกิเลส ไม่มีอีก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ได้แก่จากความเป็นอย่างนี้ คือจากประการอย่างนี้ ท่านพรหมเทวะได้ทราบว่า ขันธสันดานอื่นจากขันธสันดานที่เป็นไปอยู่ในบัดนี้ไม่มี แต่เบญจขันธ์เหล่านี้ ท่านกำหนดรู้แล้ว ยังตั้งอยู่ได้เหมือนต้นไม้มีรากขาดแล้ว. บทว่า อญฺตโร แปลว่า องค์หนึ่ง. บทว่า อรหตํ ความว่า ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า.


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 137

    บทว่า สปทานํ ได้แก่ เที่ยวไปตามลำดับตรอก คือเที่ยวไปตามลำดับไม่เลยเรือนที่ถึงแล้ว. บทว่า อุปสงฺกมิ ได้แก่เข้าไปอยู่. ก็มารดาของเขาพอเห็นบุตรก็ออกจากเรือนพาเข้าไปภายในที่อยู่ ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้.

    บทว่า อาหุตึ นิจฺจํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า รับของบูชาคือบิณฑะก้อนข้าวในกาลเป็นนิจ. ก็ในวันนั้นมีพลีกรรมเพื่อภูตในเรือนนั้น. ทุกเรือนทาสีเขียวมีข้าวตอกเกลื่อนกลาด. แวดล้อมด้วยทรัพย์และดอกไม้ ยกธงชัยธงปฏากขึ้นตั้งหม้อน้ำมีน้ำเต็มไว้ในที่นั้นๆ จุดประทีปสว่าง ประดับด้วยผงของหอมและดอกไม้เป็นต้น. ได้มีแว่นเวียนเทียนถือส่งต่อกันไปโดยรอบ. นางพราหมณีแม้นั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ อาบน้ำหอม ๑๖ หม้อ ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับพร้อมสรรพ. สมัยนั้น นางให้พระมหาขีณาสพนั่งแล้ว มิได้ถวายแม้เพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง คิดว่า เราจักให้มหาพรหมบริโภค บรรจุข้าวปายาสเต็มถาดทอง ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดเป็นต้น ที่หลังบ้านมีพื้นที่ที่ประดับด้วยของทาสีเขียวเป็นต้น นางถือถาดนั้นไปที่นั้น วางก้อนข้าวปายาสตรงที่ ๔ มุมและตรงกลางแห่งละก้อน ถือไปก้อนหนึ่ง มีเนยใสไหลลงถึงข้อศอกคุกเข่าบนแผ่นดิน กล่าวเชิญพรหมให้บริโภคว่า ขอท่านมหาพรหมจงบริโภค ขอท่านมหาพรหมจงนำไป ขอมหาพรหมจงอิ่มหนำ ดังนี้.

    บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดนี้ได้มีแก่ท้าวสหัมบดีพรหมผู้สูดกลิ่นศีลของพระมหาขีณาสพ ซึ่งท่วมเทวโลกฟุ้งไปถึงพรหมโลก. บทว่า สํเวเชยฺยํ ได้แก่พึงตักเตือน คือพึงให้ประกอบในสัมมาปฏิบัติ. อธิบายว่าจริงอยู่ นางพราหมณีนั้น ให้พระมหาขีณาสพผู้เป็นอัครทักขิไณยบุคคลเห็นปานนี้ นั่งแล้ว มิได้ถวายอาหารแม้เพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง คิดว่า เราจักให้มหาพรหมบริโภค ดุจทิ้งตาชั่งเสียแล้วใช้มือชั่ง ดุจทิ้งกลองเสียแล้วประโคมท้อง ดุจทิ้งไฟเสียแล้วเป่าหิ่งห้อย เที่ยวทำพลีแก่ภูต เราจักไปทำลายมิจฉา-


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 138

ทิฏฐิของนาง ยกนางขึ้นจากทางแห่งอบาย จะกระทำโดยวิธีให้นางหว่านทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ลงในพระพุทธศาสนาแล้วขึ้นสู่ทางสวรรค์.

    บทว่า ทูเร อิโต ความว่า ไกลจากที่นี้. จริงอยู่ ก้อนศิลาขนาดเท่าเรือนยอดตกจากพรหมโลก วันหนึ่งคืนหนึ่งสิ้นระยะทาง ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ใช้เวลาถึง ๔ เดือนโดยทำนองนี้ จึงตกถึงแผ่นดิน พรหมโลกชั้นที่ต่ำกว่าเขาหมดอยู่ไกลอย่างนี้. บทว่า ยสฺสาหุตึ ความว่า โลกของพรหมที่นางพราหมณีบูชาด้วยก่อนข้าว อยู่ไกล. ในบทว่า พฺรหฺมปถํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ท้าวมหาพรหมกล่าวว่า ชื่อว่า ทางของพรหม ได้แก่กุศลฌาน ๔ ส่วนวิบากฌาน ๔ ชื่อว่า เป็นทางชีวิตของพรหมเหล่านั้น เธอไม่รู้ทางของพรหมนั้น กระซิบอยู่ทำไม เพ้ออยู่ทำไม จริงอยู่ พรหมทั้งหลาย ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยฌานที่มีปีติ หาได้ใส่ข้าวสารแห่งข้าวสาลี และเคี้ยวกินน้ำนมที่เคี่ยวแล้วไม่ ท่านอย่าลำบากเพราะสิ่งที่ไม่ใช่เหตุเลย ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงประคองอัญชลี แล้วย่อตัวเข้าไปชี้พระเถระอีกกล่าวว่า ดูก่อนนางพราหมณีก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนี้ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรูปธิโก ความว่า เว้นจากอุปธิ คือกิเลสอภิสังขารและกามคุณ. บทว่า อติเทวปตฺโต ความว่า ถึงความเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ถึงความเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม. บทว่า อนญฺโปสี ความว่า ชื่อว่าไม่เลี้ยงผู้อื่น เพราะไม่เลี้ยงอัตภาพของผู้อื่นหรือบุตรและภรรยา นอกจากอัตภาพนี้.

    บทว่า อาหุเนยฺโย ความว่า ควรเพื่อจะรับบิณฑะที่เขาบูชา ปิณฑะที่เขาต้อนรับ. บทว่า เวทคู ได้แก่ถึงที่สุดทุกข์ด้วยเวทคือมรรค ๔. บทว่า ภาวิตตฺโต ได้แก่อบรมตนให้เจริญตั้งอยู่. บทว่า อนูปลิตฺโต ได้แก่อันเครื่องฉาบคือตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบแล้ว. บทว่า ฆาเสสนํ อิริยติ ได้แก่ เที่ยวแสวงหาอาหาร.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้า 139

    บทว่า น ตสฺส ปจฺฉา น ปุรตฺถมตฺถิ ความว่า ภายหลังเรียกว่าอดีต ภายหน้า เรียกว่าอนาคต. ท่านกล่าวไว้ว่า ภายหลังหรือภายหน้าย่อมไม่มีแก่ผู้เว้นจากฉันทราคะในขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคต ด้วยประการฉะนี้. ในบทว่า สนฺโต เป็นต้นมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า สนฺโต เพราะสงบกิเลสมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า วิธูมะ เพราะปราศจากควันคือความโกรธ. ชื่อว่า อนีฆะ เพราะไม่มีทุกข์. แม้ถือไม้เท้าเป็นต้นเที่ยวไป ก็ชื่อว่าวางไม้แล้ว เพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า. ในคำว่า ตสถาวเรสุ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ ปุถุชนทั้งหลายชื่อว่าผู้สะดุ้ง พระขีณาสพทั้งหลายชื่อว่าผู้มั่นคง. พระเสขบุคคล ๗ จำพวก ไม่อาจจะเรียกว่า ผู้สะดุ้งได้ ท่านเหล่านั้นมิใช่ผู้มั่นคง แต่เมื่อจะแบ่งพวก ก็แบ่งเป็นพวกมั่นคงนั่นแหละ. บทว่า โส ตฺยาหุตึ ตัดบทเป็น โส ตว อาหุตึ.

    บทว่า วิเสนิภูโค ความว่า เป็นผู้ปราศจากกองทัพโดยกองทัพคือกิเลส. บทว่า อเนโช ได้แก่ปราศจากตัณหา. บทว่า สุสีโล ได้แก่เป็นผู้มีศีลดี โดยศีลของพระขีณาสพ. บทว่า สุวิมุตฺตจิตฺโต ความว่า มีจิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี โดยผลวิมุตติ.

    บทว่า โอฆติณฺณํ ได้แก่ข้ามโอฆะ ๔ เสียได้ ด้วยกถามรรคเพียงเท่านี้ พรหมสรรเสริญคุณของพระเถระ ประกอบนางพราหมณีไว้ในสัมมาทิฏฐิ. ก็อวสานคาถา [คาถาสุดท้าย] พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายตั้งไว้แล้ว บทว่า ปติฏฺเปสิ ทกฺขิณํ ความว่า ดังทักษิณาคือปัจจัย ๔. บทว่า สุขมายติกํ ความว่า มีสุขในอนาคต คือมีสุขเป็นผลในอนาคต อธิบายว่า นำสุขมาให้.

    จบอรรถกถาพรหมเทวสูตรที่ ๓